ตัวจริงของกูณฑ์

เกิดเรื่องวิกลขึ้นเสียแล้ว พิษธรไม่รู้จะทำอย่างไร มันค่อย ๆ เลื้อยเข้ามาใกล้กูณฑ์เพื่อสำรวจ ขณะที่กัจฉปานันท์หดหัวเข้าไปในกระดองอีกครั้ง

"อย่าไปยุ่งกับมันเลย" กัจฉปานันท์ว่า

พิษธรส่ายหัวอย่างหงุดหงิด นึกระอาความขี้ขลาดของเพื่อน แต่จะตำหนิมันก็ไม่ได้ กัจฉปานันท์ไม่เคยกลัวสรรพาวุธใด ๆ เพราะกระดองมันแข็งเกินกว่าอะไรจะเจาะทะลวงเข้าไปได้ มีแต่ไฟเท่านั้นที่ฆ่ามันได้

พิษธรเองก็หวาด ๆ อยู่เหมือนกัน หากไม่ใช่ไฟที่มันจุดเองแล้วไซร้ ไม่ว่าไฟนั้นจะเกิดด้วยสาเหตุอันใด ก็น่าหวั่นใจทั้งสิ้น แล้วยิ่งลุกโชติช่วงโดยไม่มีเหตุผลอย่างนี้ พิษธรเองใจหนึ่งก็เห็นด้วยกับเพื่อน ไม่อยากยุ่งกับมนุษย์ประหลาดผู้นี้อีก แต่อีกใจก็เสียดายความพยายามที่อุตส่าห์ลงทุนลงแรงมา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ลิ้มรสมนุษย์อีก

พิษธรลองใช้ปลายหางสัมผัสร่างของกูณฑ์ดู แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว รีบดึงหางออก ไฟติดมาทีหางของมันด้วย มันพยายามสะบัดให้ไฟดับ แต่ก็ไม่ได้ผล ไฟกลับยิ่งลุกลามขึ้น จากแค่ปลายหางมาตรงส่วนท้อง ถ้ามันดับไม่ได้ล่ะก็มีหวังลามไปศีรษะแน่

"ช่วยด้วย" พิษธรร้องโวยวาย เลื้อยเข้าไปหากัจฉปานันท์

กัจฉปานันท์คลานถอยหลังหนี มันเองก็ไม่อยากยุ่งกับไฟประหลาดนี้แม้แต่น้อย

"เอะอะวุ่นวายอะไรกัน" เสียงทรงอำนาจดังขึ้น

พิษธรทั้งกลัวและโล่งใจเมื่อได้สดับพระสุรเสียงของพระนางมุจลินท์ พระธิดาของท้าวมุจลินท์ที่ปกครองสระมุจลินท์แห่งนี้

"ใต้ฝ่าพระบาท" พิษธรเลื้อยเข้าไปหา "โปรดช่วยกระหม่อมด้วย"

พระนางมุจลินท์ทอดพระเนตรข้ารับใช้ของพระนางด้วยสีพระพักตร์ระอา การปกครองพวกอมนุษย์ช่างยากกว่าการปกครองมนุษย์นัก พวกอมนุษย์มักมีฤทธิ์มาก ลำพองในฤทธิ์ของตัว และก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน พระนางเองก็ไม่ได้มีฤทธิ์มากเหมือนพระบิดา เนื่องด้วยไม่ใช่พญานาคแท้ ๆ แต่เป็นลูกครึ่งพญานาคกับกินรี เผ่าพันธุ์ผู้รักสงบ พระนางไม่ได้ถูกเลี้ยงมาเพื่อให้ปกครองบาดาลด้วยซ้ำ หากแต่อาศัยอยู่ในคูหาอันวิจิตร ร้อยมาลัยไปตามเรื่อง จนกระทั่งมีเจ้าชายมนุษย์องค์หนึ่งมาถึงถ้ำแล้วพานางกลับเมืองไปเป็นพระมเหสี ระหว่างทางกลับก็มีอุปสรรคมากมาย แต่สุดท้ายพระนางก็ได้ครองคู่กับพระสวามีอย่างเป็นสุข และได้ให้กำเนิดพระโอรส หากแต่เวลาแห่งความสุขนั้นช่างแสนสั้น พระนางทรงลืมไปว่านางไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เป็นชาวจตุมหาราชิกาที่มีอายุขัยยืนกว่ามนุษย์หลายเท่า พระนางต้องทนทอดพระเนตรพระสวามีที่ทรงพระชราขึ้นไปทุก ๆ วัน ขณะที่นางมุจลินท์ยังคงความสาวความสวย ดังหนึ่งเป็นสาวสะพรั่ง พระจันทโครพ พระสวามีนั้น พระเกศาก็หงอก พระพักตร์ก็เหี่ยวย่น พระวรกายก็อ่อนกำลังลง แต่พระนางก็ยังอยู่เคียงข้างพระสวามี ปรนนิบัติรับใช้จนพระจันทโครพสวรรคต เมื่อพระจันทโครพสวรรคตแล้ว พระนางก็ไม่อยากประทับอยู่ในเมืองเดิมอีก เพราะทอดพระเนตรไปที่ใดก็ทำให้คิดถึงช่วงเวลาที่เคยอยู่ร่วมกัน ประกอบกับพระบิดามีความประสงค์จะไปบำเพ็ญศีลเพื่อเพิ่มพูนบารมีจึงมีกระแสรับสั่งให้พระนางกลับมาปกครองสระมุจลินท์ซึ่งพระนางก็ยอมกลับมาแต่โดยดี แต่นาน ๆ ครั้ง พระนางก็จะไปเยี่ยมเมืองพาราณสีบ้าง ปล่อยให้พวกประชาชนปกครองกันเองซึ่งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร จนมาวันนี้นี่แหละ

"พระนางมุจลินท์" เสียงของพิษธรปลุกมุจลินท์ขึ้นจากภวังค์ "โปรดช่วยกระหม่อมด้วย"

พระนางมุจลินท์ถอนพระทัย ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์ เรียกพลังเวทน้ำเพื่อดับไฟที่บัดนี้เผาไหม้มาเกือบศีรษะ หากแต่ไม่ว่าพระนางจะรวบรวมพลังสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจดับไฟได้โดยง่าย หากแต่ไฟกลับยิ่งลุกโหมขึ้นอีก

มุจลินท์ตกพระทัย แทบทำอะไรไม่ถูก พระนางไม่เคยทรงเห็นเรื่องวิกลขนาดนี้มาก่อนเลย ปกติแล้วไม่ว่าไฟจะเกิดจากเวทแบบใดก็ย่อมสงบลงได้ด้วยเวทน้ำ แต่ครั้งนี้ไม่ว่าจะร่ายเวทน้ำไปเท่าใด ไฟก็ไม่มีทีท่าว่าจะดับ พระนางจึงหยุดร่ายเวท เหตุเพราะทรงคิดว่าต่อให้ร่ายเวทไปก็ไม่มีประโยชน์

"ช่วยกระหม่อมด้วย" พิษธรว่า "หากพระองค์ไม่ช่วย กระหม่อมต้องตายแน่ ๆ"

'ต่อให้เราช่วย ท่านก็อย่าหวังว่าจะรอด'มุจลินท์ดำริในพระทัย หากแต่ไม่ได้ตรัสออกไปให้ข้ารับใช้เสียกำลังใจ

"เราพยายามเต็มที่แล้ว หากแต่เวทของเราดับไฟนี้ไม่ได้เลย ท่านไปได้ไฟประหลาดนี้มาจากไหน"

พิษธรอึกอัก พระนางมุจลินท์ทรงห้ามนักหนากับการจับมนุษย์มากิน เพราะพระนางเคยประทับอยู่กับมนุษย์ และมีความผูกพันกับสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อเป็นเหยื่อเหล่านี้ หากพระนางทรงทราบว่าพิษธรไปจับมนุษย์มา ก็อาจจะกริ้วจนไม่ยอมพระราชทานความช่วยเหลือก็ได้ แต่หากไม่ยอมบอก พระนางก็อาจหาวิธีช่วยไม่ได้ ในที่สุดพิษธรก็ใช้ลิ้นสองแฉกของมันกลับดำเป็นขาว

"ข้าแต่ใต้ฝ่าพระบาท มีมนุษย์กับภูตหนังสือบังอาจล่วงล้ำเขตแดนของเรา ครั้นพอกระหม่อมถาม กลับก้าวจาบจ้วงถึงฝ่าพระบาท กระหม่อมจึงจับตัวไว้เพื่อรอพระองค์กลับมาตัดสินโทษ แต่มนุษย์ผู้นั้นมีฤทธิ์กล้านักจึงเผากระหม่อมเสีย หากแต่กระหม่อมก็สู้จนยิบตา ทำให้มันสิ้นฤทธิ์ สลบไปได้ แต่ทำกระไรก็ไม่อาจดับไฟได้  โชคดีเหลือเกินที่พระองค์เสด็จมาทัน โปรดช่วยข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ด้วยเถิด"

มุจลินท์หรี่พระเนตร หากเป็นเมื่อก่อน พระนางคงจะเชื่อคำกล่าวของพิษธรโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ เลย แต่บัดนี้พระนางไม่ใช่ดรุณีที่แสนซื่อบริสุทธิ์อีกแล้ว พระนางยังไม่ปักพระทัยเชื่อนักว่ามนุษย์ผู้นี้บังอาจจาบจ้วง หากแต่พระนางก็ไม่ได้ทรงสำแดงว่าสงสัย ได้แต่แย้มพระโอษฐ์ ตรัสไปว่า

"ปัจจุบันนี้ หายากนักที่จะมีมนุษย์ฤทธิ์กล้า ล่วงล้ำมาถึงเมืองบาดาลของเรา เราเห็นทีต้องขอพบบุรุษผู้กล้านี้สักหน่อยแล้ว"

"ข้าแต่พระองค์ โปรดช่วยกระหม่อมก่อนเถิดพระเจ้าค่ะ มนุษย์ผู้นั้นก็เป็นแค่มนุษย์ปกติทั่วไปเท่านั้น หากแต่กระหม่อมประมาทจึงได้พลาดพลั้ง หาได้มีค่าให้พระองค์ไปทอดพระเนตรไม่" พิษธรว่า เริ่มมีกระแสความไม่พอใจอยู่ในน้ำเสียง แม้ว่าไฟจะไม่ได้ลุกท่วมมาถึงศีรษะ แต่สภาพการณ์ตอนนี้ก็น่าหวั่นใจอยู่ไม่ใช่น้อย

มุจลินท์ส่ายพระพักตร์ "เราไม่คิดว่ามนุษย์ผู้นี้เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างที่เจ้ากล่าวอ้างดอก แค่ลงมาถึงเมืองบาดาลก็เห็นได้แล้วว่าเป็นผู้มีฤทธิ์กล้า เมืองบาดาลของเราล่วงล้ำง่ายเสียเมื่อไรเล่า หากไม่มีคนในเปิดทางให้" พระเนตรของนางสบกับตาของพิษธร ราวกับต้องการค้นลึกเข้าไปในจิตใจของปีศาจงูอย่างไรอย่างนั้น

ธรรมดาของผู้มีชนักติดหลัง พิษธรร้องอุทธรณ์ขึ้นมาว่า "ข้าแต่พระองค์ เหตุใดจึงตรัสเช่นนั้น กระหม่อมเสี่ยงชีวิตสู้ถึงเพียงนี้ พระองค์ยังตรัสปรามาสราวกับกระหม่อมเป็นไส้ศึก หากพระองค์ทรงระแวงกระหม่อมถึงเพียงนี้แล้ว โปรดสั่งประหารกระหม่อมเสียเถิด"

"เราแค่พูดว่าแปลกเท่านั้น หาได้ตำหนิใด ๆ ท่านไม่" มุจลินท์ตรัส "เมืองบาดาลจองเราล่วงล้ำเข้ามายาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครล่วงล้ำเข้ามา อย่างไรเราก็ต้องขอขอบน้ำใจท่านที่ช่วยป้องกันไม่ให้อริราชศัตรูล่วงล้ำไปถึงด้านชั้นใน"

"กระหม่อมได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์และพระบิดาก็ย่อมสนองพระเดชพระคุณเต็มที่อยู่แล้วพระเจ้าค่ะ" พิษธรทูลประจบ

"แต่ที่น่าแปลกกว่านั้น" มุจลินท์ตรัสเบา ๆ ราวกับรำพึงกับองค์เอง "คือเวทไฟที่ติดตัวท่านอยู่ตอนนี้ ทำอย่างไรเรากลับดับมันไม่ได้สักที ทั้ง ๆ ที่เวทน้ำของเรานั้น แม้กระทั่งไฟกรดก็ยังดับได้ แต่ไฟนี้ก็หาได้ทำอันตรายท่านถึงชีวิตไม่ ราวกับผู้ใช้เวทนี้ยังปรานีท่านอยู่ไม่ใช่น้อย"

"ข้าแต่พระองค์ กระหม่อมหาได้ต้องการความปรานีจากข้าศึกศัตรูไม่ แม้ว่ารบแพ้ กระหม่อมยินดีที่จะพลีชีพมากกว่ามีชีวิตอยู่ให้ผู้คนหัวเราะไยไพเล่นเช่นนี้"

"เราอย่ามัวพูดกันอยู่เลย พาเราไปหามนุษย์ผู้นั้นเถิด"

พิษธรก้มศีรษะ "เชิญเสด็จตามกระหม่อมมาเถิดพระเจ้าค่ะ" พูดจบมันก็เลื้อยนำไปที่ ๆ กูณฑ์อยู่ทันที

มุจลินท์เสด็จพระราชดำเนินตามไป พิษธรเมื่อเลื้อยมาถึงรัศมีที่กูณฑ์อยู่ มันก็ไม่กล้าเข้าไปอีก เพราะเพียงแค่เลื้อยมาใกล้แค่นี้ก็รู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วสรรพางค์แล้ว มันเหลือบมองเจ้าเหนือหัวของมันที่หาได้มีปฏิกิริยาใด ๆ ไม่

"ไหนเล่ามนุษย์ของท่าน" มุจลินท์ตรัส

"ไฟกรดของมันแรงนัก กระหม่อมไม่มีปัญญาเข้ามาใกล้ได้พระเจ้าค่ะ พระองค์เองก็อย่าทรงเข้าไปเลย"

"หากเราไม่เข้าไป แล้วจะรู้เห็นเหตุการณ์ได้อย่างไร ท่านบอกว่าไฟกรด แต่เราก็หาได้รู้สึกอะไรไม่ รู้สึกแต่เพียงว่าน้ำนี้อุ่นขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น แต่หากท่านขลาดกลัวจะให้เราเข้าไปคนเดียว ก็จงรออยู่ที่นี่เถิด" มุจลินท์ตรัสเยาะ

พิษธรเมื่อได้ยินดังนั้นก็สุดที่จะทนอยู่ได้ ด้วยหน้าที่ของข้าราชบริพารที่ดีที่ควรตามเสด็จฯทุกที่ที่มีอันตรายอย่างหนึ่ง หน้าที่ของหัวใจที่มันบังอาจหลงรักพระนางมุจลินท์อย่างหนึ่ง มันไม่อาจจะปล่อยให้พระนางเข้าไปตามลำพังได้เลย

"แม้ชีวิตกระหม่อมก็ถวายให้พระองค์ได้ โปรดตามมาเถิดพระเจ้าค่ะ"

ทั้งข้าและเจ้ามาถึงที่ที่สามารถเห็นกูณฑ์สลบอยู่ หากแต่พิษธรก็ไม่กล้าเข้าไปแตะต้องอะไรมนุษย์ผู้นี้อีก ได้แต่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่

 ตอนก่อนที่มุจลินท์จะได้เห็นหน้ากูณฑ์ ก็ทรงพระราชดำริไปสารพัด หากแต่ที่ทรงพระราชดำริไว้ หาได้เหมือนภาพที่ปรากฏอยู่ขณะนี้ไม่ มนุษย์ผู้นี้แต่งกายไม่เหมือนผู้ที่ท่องไปในแดนหิมพานต์เลย หากแต่แต่งกายเหมือนมนุษย์ที่ตัดขาดจากโลกหิมพานต์อย่างชัดเจน เป็นโลกที่เห็นว่าเวทมนตร์คาถาเป็นเรื่องเหลวไหล แต่สิ่งนั้นก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าไฟที่ลุกท่วมตัวมนุษย์ผู้นี้ในขณะนี้ ไฟนั้นราวกับเกราะเพลิงที่กันไม่ให้ใครมาแตะต้องกายได้

พระนางเอื้อมพระหัตถ์ไปจะลองจับดู แต่พิษธรทูลห้ามว่า

"ข้าแต่พระองค์ อย่าได้แตะต้องชายผู้นี้เป็นอันขาด"

มุจลินท์ส่ายพระพักตร์ "เราจำเป็นต้องแก้ไขให้เขาฟื้น ไม่อย่างนั้นเราจะรู้วิธีแก้ได้อย่างไร"

"แต่มันจะเป็นอันตรายต่อพระองค์นะพระเจ้าค่ะ"

"หากมันเป็นไฟกรดอันตรายจริง เรามาอยู่ใกล้รัศมีของมันแล้ว ก็อันตรายไม่แพ้กันดอก" พระนางก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเหตุใดพระนางจึงไม่รู้สึกร้อนเลย พระนางประสานพระหัตถ์ อธิษฐานในพระทัยก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์ไปจับ ไฟนั้นไม่ได้ร้อนเลย กลับเย็นสบายอย่างที่สุด พระนางรู้สึกว่าไฟไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ พระองค์เลยกลับทำให้พระองค์มีพลังมากขึ้นราวกับดื่มน้ำอมฤตฉะนั้น

แต่เรื่องน่ามหัศจรรย์ยังไม่จบ พระนางทอดพระเนตรเห็นเทพบุตร กายสีแดงเพลิง กรหนึ่งถือหอกเอาไว้ สวมมงกุฎน้ำเต้ายอดเพลิง พระองค์ทรงแรดเป็นพาหนะ ปรากฏพระวรกายออกจากร่างมนุษย์ผู้กำลังสลบไสลอยู่  เปล่งรัศมีจ้าเสียจนพระนางต้องหลับพระเนตรด้วยความหวาดหวั่น พระนางไม่ค่อยได้ติดต่อกับเทพชั้นสูงนัก แต่ก็ทราบโดยสัญชาตญาณว่าเทพผู้นี้ต้องไม่ใช่เทพชั้นจตุมหาราชิกาแน่ อย่างต่ำต้องอยู่ดาวดึงส์ขึ้นไป

"เจ้าไม่ต้องกลัวดอก" กระแสเสียงอันเปี่ยมด้วยความเมตตาเข้ามาในพระทัยของพระนาง "ไฟของเราหาเป็นอันตรายใด ๆ ต่อเจ้าไม่"

"พระองค์คือใคร" พระนางมุจลินท์ทูลถาม แม้ว่าพระนางจะพอเดาได้ว่าเทพองค์นี้เป็นใคร แต่ก็อยากจะทราบจากพระโอษฐ์

เทพเพลิงแย้มพระโอษฐ์ "เจ้าไม่รู้จักเราจริงหรือ"

"เทพอัคนี" พระนางเอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ "เหตุใดพระองค์จึงเสด็จมายังวังบาดาลที่แสนต่ำต้อยของหม่อมฉันเล่าเพคะ"

"เราไม่ได้มาเอง มีผู้ลากเรามา" เทพอัคนีตรัสตอบ ตวัดสายพระเนตรไปหาพิษธรที่บัดนี้ยืนตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว

"ข้าแต่พระองค์" พิษธรกราบทูล "กระหม่อมไม่ทราบว่าเป็นพระองค์ กระหม่อมเพียงต้องการปกป้องเมืองบาดาลเท่านั้น ขอพระองค์โปรด.."

ยังไม่ทันพูดจบ เทพอัคนีก็ตวัดพระหัตถ์ พิษธรกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ลงไปดิ้นเร่า ๆ ราวกับไส้เดือนโดนกองขี้เถ้า

"พระองค์โปรดทรงพระเมตตาด้วย อย่าฆ่าเขาเลย" มุจลินท์ว่า "คนของข้าไม่ทราบว่าเป็นพระองค์ จึงมิได้ต้อนรับ หากพวกเขาทราบย่อมจะรับเสด็จฯอย่างดีแน่"

"ลูกสาว" พระอัคนีตรัส ทอดพระเนตรธิดาพญานาคด้วยสีพระพักตร์เอ็นดู "เรามิคิดจะฆ่าอรหันตนนี้ให้เป็นบาปกรรมดอก ตัวเราเองก็มีกรรมมากพออยู่แล้ว จึงต้องมาชดใช้กรรมโดยการเกิดเป็นมนุษย์เช่นนี้"

ตรัสจบ พระองค์ก็โบกพระหัตถ์อีกครั้งหนึ่ง พิษธรหยุดดิ้น หายใจหอบ ไฟที่เผาทั่วสรรพางค์กายก็หยุด

"เจ้าจงไปเสียเถิด เรามีธุระจะคุยกับเจ้าเหนือหัวของเจ้าเสียหน่อย"

เมื่อพิษธรได้ยินดังนั้น มันก็รีบเลื้อยออกไปทันที

"เราขอถามอะไรเจ้าหน่อย งูอรหันตนนั้น ไว้ใจได้อยู่ดอกหรือ" เทพอัคนีตรัส

"เขารับใช้หม่อมฉันมานาน แล้วก็ไม่เคยทำกระไรผิด"

"เราขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี ผู้เป็นใหญ่หลายคนพินาศด้วยบริวารนักต่อนักแล้ว ผู้มีปัญญาย่อมเสาะหาผู้มีปัญญามาไว้ข้างกาย เราเห็นว่าทั้งเต่าและงูอรหันที่เจ้าเลี้ยงไว้ สักวันหนึ่งจะนำภัยมาสู่เจ้า"

พระนางยกมือขึ้นทาบพระอุระด้วยความตกพระทัย "ข้าแต่พระองค์ จะให้หม่อมฉันทำอย่างไร"

"คุมขังทั้งสองตนนั้นไว้ให้ดี อย่าได้ปล่อยออกมาอีก" เทพอัคนีประกาศิต

"รับพระบัญชา" พระนางมุจลินท์ก้มเศียรลง และเมื่อเงยพระพักตร์ขึ้นมาอีกครั้ง พระนางก็ไม่พบกับเทพผู้เป็นเหมือนสื่อกลางของโลกมนุษย์และสวรรค์อีกแล้ว มีแต่เด็กมนุษย์ที่กำลังนอนสลบไสลอยู่ พระนางหันพระพักตร์ไปรอบ ๆ เพื่อแสวงหาว่าเทพอัคนีอยู่ที่ใด

"เจ้าไม่ต้องแสวงหาเราหรอก" กระแสเสียงอ่อนโยนเข้ามาในพระทัยของพระนาง "จงรักษาเด็กมนุษย์ผู้นั้นคือเรา และเราก็คือเด็กมนุษย์ พวกเราทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกัน"

ครั้นได้สดับพระสุรเสียงดังนั้นแล้ว พระนางมุจลินท์รีบเข้าไปแก้ไขเด็กมนุษย์คนนั้นทันที แม้จะอายอยู่บ้างที่ต้องแตะต้องตัวบุรุษเพศ แต่พระนางก็ทำพระทัยว่า มนุษย์ผู้นี้มีอายุคราวลูกหลานของพระองค์

ครั้นพอมนุษย์ฟื้นขึ้นมา คำแรกที่หลุดออกจากปากคือ

"เคียวอยู่ไหน"

ดูลักษณะท่าทางมิน่าจะเป็นชาวนาเลย พระนางมุจลินท์ป้อนน้ำอมฤตให้ ตรัสประโลมว่า

"อย่ากังวลกับสิ่งของนอกกายเลย จงพักผ่อนเสียเถิด"

เด็กมนุษย์ก็ว่าง่ายดีเหมือนกัน ดื่มน้ำราวกับลูกนกที่กลืนอาหารจากแม่ แล้วก็หลับไปง่าย ๆ

พระนางก้มพระพักตร์ แล้วแย้มพระโอษฐ์ ต่อไปนี้เมืองบาดาลคงมีสีสันขึ้นอีกมาก