พระนางมุจลินท์ส่ายพระพักตร์อย่างระอาใจ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ไม่ผิดเลย สัตว์บางพวกก็เป็นบัวใต้ตมเกินกว่าจะสั่งสอนได้
"ท่านคิดว่าท่านทราบเรื่องการปฏิวัติสวรรค์ แต่สิ่งที่ท่านทราบมาเป็นเพียงปลายยอดภูเขาเท่านั้น" พระนางมุจลินท์ตรัส "ก่อนที่ท้าวมัฆวานจะเสด็จสู่สวรรค์ดาวดึงส์ บารมีของบุรพเทพก็ใกล้จะหมดอยู่แล้ว ทั้งวิมาน แลข้าวของเครื่องใช้ก็แทบจะสิ้นไป ครั้นพอท้าวมัฆวานและสหายเสด็จไปถึง วิมานและข้าวของเครื่องใช้ทิพย์ต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมาด้วยอำนาจบารมี ความจริงแล้วหากต่างคนต่างอยู่ตั้งแต่วันนั้น ก็คงไม่มีปัญหาอะไร หากแต่บุรพเทพกลับต้องการให้แบ่งกันคนละครึ่ง"
พระนางมุจลินท์จ้องพระเนตรอดีตข้ารับใช้ของนาง "ท่านพอเห็นปัญหาหรือยังเล่า"
ครั้นพิษธรไม่ตอบ พระนางจึงตรัสต่ออย่างช้า ๆ หวังว่าคำตรัสของพระนางจะแทรกซึมเข้าไปในใจของอสรพิษร้าย แม้เพียงสักกระผีกเดียวก็ยังดี
"ฝ่ายหนึ่งแทบไม่มีบารมีเหลืออยู่แล้ว วิมานและของใช้ต่าง ๆ ก็เป็นของเก่า รังแต่เสียหายและสูญหายไปตามกาลเวลา อีกฝ่ายหนึ่งมีบารมีเต็มเปี่ยม วิมานและข้าวของเครื่องใช้ใหม่ แต่จะแบ่งให้เท่า ๆ กัน ท่านจะเรียกว่ายุติธรรมได้อย่างไร เปรียบประหนึ่งผู้ลงทุนในการค้า ผู้หนึ่งลงทุนมาก อีกผู้หนึ่งลงทุนน้อย แต่เวลาได้กำไรมา จะแบ่งให้เท่ากันได้หรือ"
"ถึงกระนั้นพระอินทร์ก็ไม่ทำควรทำเยี่ยงคนขลาด มอมสุราและผลักพวกบุรพเทพตกสวรรค์" พิษธรเถียงต่ออย่างไม่ยอมแพ้
"ในเมื่อตกลงกันไม่ได้ ต่างฝ่ายก็ต้องต่างไป ท่านมองว่าเป็นการกระทำของคนขลาด แต่เรากลับมองว่าเป็นการกระทำที่กล้าหาญแลกอปรด้วยสติปัญญา พระอินทร์ไม่ได้ทรงต้องการประหัตประหารชีวิตใคร จึงใช้เพียงกลอุบายนี้เท่านั้น"
"แต่อย่างไรข้าก็ไม่เห็นด้วยกับพระองค์" พิษธรว่า
พระนางมุจลินท์เพียงแย้มพระโอษฐ์ให้ "เราไม่ได้ต้องการให้ท่านเห็นด้วยกับเรา แต่เราคงปล่อยท่านให้เป็นอิสระต่อไปไม่ได้ ท่านอันตรายเกินไป"
พระนางทรงสั่งให้วิกรม พาตัวนักโทษทั้งสองไปขังแยกกัน แต่ไม่ให้ทำทัณฑ์ทรมานใด ๆ เพียงแต่ขังไว้เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายอีกต่อไปเท่านั้น
ระหว่างที่พระนางมุจลินท์จัดการกับพวกนักโทษ บุปผาก็กำลังปวดหัวกับมนุษย์ที่พระนางมุจลินท์นำตัวมาด้วย มนุษย์ผู้นี้ยังไม่ฟื้น หากแต่ยังตะโกนไม่หยุด
"เคียว ฉันต้องการเคียว"
บุปผาได้แต่ส่ายหน้า มนุษย์ผู้นี้ต้องเคยเป็นชาวนา และผูกพันกับเคียวแน่ ไม่ต่างอะไรกับพระโพธิสัตว์ที่ครั้งหนึ่งเสวยพระชาติเป็นชาวสวน และผูกพันกับจอบ จนบวช ๆ สึก ๆ อยู่ถึงเจ็ดครั้ง ก่อนจะตัดใจทิ้งจอบลงแม่น้ำและได้สำเร็จญาณในที่สุด
ฝ่ายกูณฑ์ไม่ได้รู้ถึงความคิดในใจของบุปผา เขาพยายามจะลืมตาให้ได้ เขาจะต้องไปช่วยเคียว กูณฑ์จำได้ว่าเขาถูกสัตว์ประหลาดที่มีหน้าเหมือนแม่ของเขา แต่ร่างกายเป็นงูใหญ่ รัดเขาสู่ใต้น้ำ เขาพยายามดิ้นรน แต่ก็สู้แรงงูใหญ่ไม่ไหว มันลากเขาอย่างไม่ปรานีเลยแม้แต่น้อย กูณฑ์คิดว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว เขาเริ่มเห็นภาพช่วงชีวิตก่อนหน้านี้เป็นฉาก ๆ เขาเห็นภาพที่เขาเล่นเรือกับพ่อ เขาเห็นภาพที่พวกเขาไปรับประทานอาหารด้วยกัน ไปกางเต็นท์ด้วยกัน และชีวิตก่อนหน้านั้น ทั้งสุขและทุกข์ เขายังเห็นภาพไฟไหม้ ภาพที่เขาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตอนไหน อย่างไร ไฟที่โหมกระหน่ำ สีแดงร้อนแรง ต่างจากสายน้ำที่เย็นเยือก แต่ก็เปรียบดังมัจจุราชที่พรากชีวิตได้เช่นเดียวกัน กูณฑ์พยายามดิ้นรน หากแต่น้ำที่แต่เดิมเคยได้ชื่อว่าเป็นพลังของชีวิต กลับสูบเอาชีวิตเขาไปเสียหมด เขาสลบก่อนที่จะถึงก้นแม่น้ำด้วยซ้ำ
ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิต หากกูณฑ์สลบไปแบบไม่รับรู้อะไร ก็คงดีอยู่หรอก แต่ดูเหมือนมีแต่ร่างกายของเขาที่สลบ หากแต่วิญญาณหรือจิตใจของเขายังคงมีสติรู้คิด เขารับรู้ทุกอย่าง เขารับรู้ว่าเคียวพยายามช่วยเขาอย่างเต็มที่ แต่ร่างกายที่บอบบางของเคียว ยกร่างของเขาไม่ไหว กูณฑ์รับรู้ว่าเคียวเขี้ยวพยายามสู้กับเต่าและงูหน้าคนตามลำพัง แต่เขาก็สู้แรงพวกมันไม่ไหว กูณฑ์อยากไปช่วยเคียวเหลือเกิน แต่เขากับถูกขังอยู่ในร่างกายนี้ เขาพยายามดิ้นรนต่อสู้ ร้องผรุสวาทต่าง ๆ ด้วยถ้อยคำที่หากแม่มาได้ยิน เขาคงโดนฟาดก้นแน่ แต่เขายอมให้แม่ฟาดก้น ดีกว่าต้องสูญเสียเคียวไป
"ใจเย็นก่อน" เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจของเขา กูณฑ์คิดว่าเป็นเสียงของจิตสำนึกฝ่ายดีที่มีหน้าที่คอยควบคุมไม่ให้สัญชาตญาณดิบออกมามากเกินไป
"ให้ใจเย็นอยู่ได้ยังไง" กูณฑ์โต้กลับ เขารู้สึกเหมือนตัวเองบ้าไปแล้วที่มาเถียงกับจิตใต้สำนึกของตัวเองแบบนี้
"เจ้าด่าไปแล้วช่วยอะไรได้ มีแต่ทำให้จิตเศร้าหมองเปล่า ๆ"
กูณฑ์ชักรู้สึกทะแม่ง ๆ นี่ไม่ใช่จิตสำนึกของเขาแน่ เขาไม่เคยเรียกตัวเองว่าเจ้า
"แกเป็นใครกัน" กูณฑ์คิด นี่เขาโดนวิญญาณร้ายสิงร่างเหรอ มันจะมายึดวิญญาณเขาใช่ไหม
"ข้าก็คือเจ้า" ผีปรสิตตอบ "หากเป็นเจ้าในอีกภพภูมิหนึ่ง"
"หมายความว่ายังไง" กูณฑ์ถาม ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าเขาตายจากชาติก่อนแล้วมาเกิดใหม่แล้ว เขาจะมีอีกวิญญาณหนึ่งได้ยังไง
"เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้" อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงตนว่าเหนือกว่า ทำเอากูณฑ์อยากถีบจริง ๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
"ตอนนี้ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบายใจ แต่เจ้าจงทำใจให้สงบเสียเถิด รวบรวมพลังและสมาธิ มิฉะนั้นเจ้าต้องกลายเป็นอาหารเต่ากับงูแน่"
"ให้ฉันทำยังไง" กูณฑ์ถามกลับ เขาเพิ่งอายุสิบห้า เขายังไม่อยากตาย แล้วยิ่งตายไปโดยเป็นอาหารเต่ากับงูก็ยิ่งไม่อยากใหญ่
"ทำใจให้สบาย ปล่อยให้ข้าควบคุม ข้าจะช่วยเจ้าเอง"
'แหงล่ะสิ' กูณฑ์คิดในใจอย่างประชดประชัน 'ช่วยฉันเสร็จก็ยึดร่างเสียเลย'
อีกฝ่ายหัวเราะ กูณฑ์ลืมไปเสียสนิทว่าผีปรสิตอยู่ในตัวเขาและย่อมได้ยินเสียงความคิดของเขา
"ข้าจะยึดร่างเจ้าทำไม ในเมื่อข้าก็คือเจ้า หรือว่าเจ้าอยากโดนกินก็ตามใจนะ"
กูณฑ์ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่บอกไปว่า "ช่วยหน่อยก็แล้วกัน"
"เด็กดี" ผีพูดอย่างพึงใจ
กูณฑ์รับรู้ได้ว่าอุณหภูมิร่างกายของเขาสูงขึ้น เหมือนกับตอนเขาเป็นไข้ตัวร้อน
"ทำยังงี้เพื่ออะไร" กูณฑ์ถาม ทำให้เขาเป็นไข้แล้วมีประโยชน์อะไรกัน หรือว่าจะทำให้สัตว์ประหลาดพวกนั้นไม่กล้ากินเขาเพราะกลัวติดไข้
อีกฝ่ายไม่ตอบ อุณหภูมิร่างกายของกูณฑ์สูงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับถูกไฟเผา กูณฑ์สุดที่จะอดทนอยู่ได้ นี่ไม่ใช่ว่าเขาตกนรกแล้วหรือ มันจะช่วยเขาหรือจะฆ่าเขากันแน่
"ไม่ต้องกลัว เจ้าจะไม่เป็นไรหรอก" ผีปลอบ
จะไม่ให้กลัวได้อย่างไร ตอนนี้กูณฑ์เห็นร่างเขาถูกไฟเผา ไฟประหลาดนั่นลามเลียร่างเขา แม้ว่าตอนนี้หลังเขาจะยังไม่ไหม้ แต่เนื้อหนังมังสาของมนุษย์จะทนไฟประหลาดได้นานสักแค่ไหน
"แกทำอะไรของแก" กูณฑ์โวยวาย
"ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว"
"ก็พูดง่ายนี่ ไม่ใช่ร่างแกนี่ที่ถูกเผาอยู่" กูณฑ์โต้กลับ
ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ตอบ เจ้างูประหลาดเลื้อยเข้ามาหาเขา กูณฑ์พยายามพลิกตัวหนี แต่ร่างกายของเขาไม่ตอบสนองอะไรเอาเสียเลย นี่คงเป็นภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็น งูที่หน้าเหมือนแม่ เมื่อคิดถึงแม่กูณฑ์ก็อยากร้องไห้ออกมา หากแต่น้ำตาก็ไม่ยอมไหล ตอนนี้พ่อกับแม่คงตามหาเขาให้วุ่น พ่อกับแม่จะรู้หรือเปล่าว่าลูกชายของพวกเขาคงไม่มีโอกาสกลับไปหาพวกเขาอีกแล้ว เวรกรรมอะไรกันหนอที่ทำให้กูณฑ์ต้องตบอยู่ในสภาพนี้ ตอนนี้กูณฑ์หมดหวังทุกอย่างแล้ว เขาไม่คิดว่าจะรอดไปได้ เขาระลึกถึงคุณพระที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคิดนับถือ ภาวนาขอให้ชาติหน้าได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่อีก
งูประหลาดใช้หางแตะตัวเขา บางทีมันอาจจะทดลองดูกระมังว่าสุกพอที่จะกินได้หรือยัง แต่แล้วไฟก็ลามไปติดตัวมันด้วย ไฟประหลาดนั้นเผาร่างของมันเช่นเดียวกับที่เผาร่างของกูณฑ์ มันรีบเลื้อยกลับไปหาเพื่อนของมันทันที
"เอะอะวุ่นวายอะไรกัน" เสียงทรงอำนาจดังขึ้น
"พระนางมาแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว" เสียงผีกระซิบ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ครั้งนี้กูณฑ์เชื่อมัน เขาเชื่อจริงๆ ว่าเขาปลอดภัย หรืออย่างน้อยก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในดินแดนประหลาดที่งูหน้าเหมือนแม่ เต่าหน้าเหมือนตัวเขา และมีไฟประหลาดที่จุดติดแม้อยู่ใต้น้ำ
กูณฑ์ได้แต่เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ได้แต่ภาวนาให้เรื่องทั้งหมดจบลงด้วยดี เขาจะได้กลับไปหาพ่อกับแม่เสียที ไม่นานพระนางก็เสด็จมาพร้อมกับงูประหลาดตัวนั้น
"ข้าจะปรากฏร่างให้นางเห็น เพื่อที่เจ้าจะได้อยู่พักฟื้นในเมืองบาดาลนี้ได้ อย่างไรนางคงเกรงใจข้าอยู่บ้าง"
"เดี๋ยวก่อน" กูณฑ์ขัด "ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ฉันอยากกลับบ้าน แล้วอีกอย่างแกคิดว่าแกเป็นใคร พระนางถึงต้องเกรงใจด้วย"
ดูอย่างไรพระนางที่เสด็จมาใหม่ก็ไม่ใช่มนุษย์ เอ่อ กูณฑ์ไม่ได้หมายความในแง่ลบหรอกนะ แต่ดูยังไงพระนางก็มีสิริโฉมงดงามเกินกว่านางใดบนโลกมนุษย์จะเทียบได้ แล้วไอ้ผีปรสิตตนนี้กล้าดียังไงถึงบอกว่าพระนางต้องเกรงใจมัน
แต่เมื่อผีตนนั้นปรากฏตัวขึ้นจริง ๆ กูณฑ์ก็แทบช็อก ดูยังไงสภาพของสิ่งที่ปรากฏร่างก็ไม่ใช่ผีแน่ หากแต่ต้องเป็นเทวดาที่มีฤทธิ์มาก เพราะเปล่งรัศมีจ้า น่าหวั่นเกรงเหลือเกิน ครั้นกูณฑ์คิดไปว่าตัวเองพูดจาหยาบคายกับท่านเทพไปยังไงบ้างก็ให้หวาดหวั่น หวังว่าท่านเทพคงจะไม่กริ้วจนสาปเขาเป็นหมู เป็นหมาไปหรอกนะ
กูณฑ์ตั้งใจฟังบทสนทนาระหว่างเทพกับเทพี ทำให้กูณฑ์รู้ว่าเทพที่มาสถิตในร่างเขาคือเทพอัคนี เทพแห่งไฟ หรือว่านี่เป็นสาเหตุที่กูณฑ์มีผมสีแดงเพลิง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเชื้อฝรั่งเลยแม้แต่น้อย กูณฑ์ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเทพปกรณัมมากนัก เขาแทบไม่เคยได้ยินชื่อของเทพอัคนีด้วยซ้ำ จำไม่ได้ด้วยว่าในประเทศไทยมีศาลบูชาพระองค์หรือเปล่า แต่กูณฑ์ตั้งใจมั่นว่าหากเขารอดกลับไปได้ก็ต้องไปกราบไหว้ท่านเสียหน่อย แม้ว่าจะต้องเดินทางไปต่างประเทศก็ตามเพื่อขอบคุณที่ท่านลงมาช่วยในครั้งนี้ เพราะถ้าไม่ได้ท่านกูณฑ์ก็คงเข้าไปอยู่ในกระเพาะของสัตว์หน้าคนพวกนั้นแล้ว เขาว่าคนดีผีคุ้ม แต่กูณฑ์คงเป็นคนดีมาก ทั้งผีและเทวดาจึงแย่งกันมาคุ้มครองเขาเต็มไปหมด