ถึงมลจะอยู่ในเผ่าวิทยาธรที่เห็นว่าความรู้เป็นดังมณีล้ำค่า แต่พวกเขาก็ไม่เคยศึกษาศาสตร์ลี้ลับของเวลา แต่หากมลไม่สามารถเลือกขอพรอะไรก็ได้ เขาอยากย้อนเวลาได้เหลือเกิน ถ้าเขาย้อนไปได้ เขาคงตัดสินใจอยู่กับพ่อแม่ ไม่ไปเรียนกับอาจารย์ธนบาล คนที่ตอนนี้แค่คิดถึงว่าครั้งหนึ่งมลเคยกราบไหว้ เรียกว่าเป็นอาจารย์ เขาก็อยากจะอาเจียนเต็มที
มลในวัยแปดขวบ แม้จะมีหน้าตาที่ต่างจากวิทยาธรน้อยวัยเดียวกัน แต่เขาก็มีความอยากรู้อยากเห็น ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนวัยเดียวกัน เขาตื่นเต้นดีใจที่จะได้เข้าสำนักศึกษา หวังว่าจะได้เรียนรู้วิชาต่าง ๆ ที่ท่านพ่อยังไม่ได้สอน เขาตั้งความหวังไว้มาก เพราะอัครเดชบอกว่าธนบาลเคยสอนวิชาให้วิทยาธรหลายตน รวมถึงท่านพ่อของเขาด้วย แต่ความหวังอันสดใสของเด็กน้อยวัยเพียงแปดปีก็ต้องล่มสลาย เพราะเมื่อเขาไปฝากตัวเป็นศิษย์ อาจารย์มองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม ไม่ต่างอะไรกับสายตาที่เขาได้ทุกครั้งเวลาออกนอกวังของพ่อ สายตาที่เห็นเขาเป็นตัวประหลาด เพียงเพราะเขาไม่ได้หน้าตาเหมือนวิทยาธรตนอื่น ๆ
"เจ้าชายมล โอรสของเจ้าชายมณีโชติ" ธนบาลพูด แม้เขาจะเรียกมลว่าเจ้าชาย แต่น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่ามลเหมือนเศษธุลีมากกว่า
"ขอรับ อาจารย์" มลว่า
"เมื่อท่านมาศึกษาในสำนักนี้ จงละทิ้งความเป็นเจ้าชายของท่านไปเสีย และทำงานเช่นเดียวกับลูกศิษย์ของข้าทุกคน" ธนบาลว่า "ถ้าท่านอยากศึกษาในสำนักนี้ ท่านจงทำงานให้เป็นที่พอใจของข้า และข้าจะสั่งสอนวิชาให้"
มลพอเคยได้ยินมาบ้าง ว่าบางทีอาจารย์ก็จะให้ศิษย์ทำงานรับใช้จนกว่าจะพอใจ เด็กน้อยไร้เดียงสาเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เขาจะพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าแม้หน้าตาเขาจะไม่เหมือนคนอื่น แต่เรื่องการทำงานก็ไม่เป็นสองรองใคร เขาไม่ใช่เจ้าชายเจ้าสำอางที่งอมือง้อเท้า รอให้คนอื่นมารับใช้ เขาจะตั้งใจรับใช้อาจารย์อย่างดีที่สุดจนอาจารย์ต้องใจอ่อนและยอมสอนวิชาต่าง ๆ ให้เขา
การทำงานระดับใช้ช่วงแรก ๆ ไม่ได้ทำให้มลลำบากใจมากนัก เพราะลูกศิษย์ที่เข้ามาพร้อมเขาก็ต้องทำงานเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการหาผลไม้ การตักน้ำ การหาฟืน แม้จะมีบ้างที่บางคนแอบอู้แล้วมลต้องทำหน้าที่นั้นแทน แต่มลก็ไม่เคยปริปากบ่น ทั้งยังมองโลกในแง่ดีว่ายิ่งเขาทำงานหนักเท่าไหร่ อาจารย์คงเขียนถึงความพยายามของเขาและยอมสอนวิชาให้เร็วเท่านั้น หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป เพื่อน ๆ รุ่นเดียวกับเขาเริ่มได้อ่านคัมภีร์พระเวท แต่เขายังต้องตักน้ำ ผ่าฟืนอยู่เช่นเดิม ตอนแรกเขาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น พยายามปลอบใจตัวเองว่าห ากเขาตั้งใจทำงาน อาจารย์จะต้องใจอ่อนสอนวิชาให้แน่นอน
วันหนึ่งมลก็ตื่นแต่เช้า ไปตักน้ำเช่นเดิม หากแต่แม่น้ำที่เคยมาตักน้ำทุกวัน บัดนี้แข็งเป็นน้ำแข็ง ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงฤดูหนาว มลเดินสำรวจไปรอบ ๆ ลองใช้นิ้วเคาะน้ำแข็งดู
"ว่าอย่างไร ไอ้ปีศาจคางคก" วิทยาธรรุ่นเดียวกันทักจากบนต้นไม้ริมฝั่งน้ำ
มลทำเป็นไม่สนใจ เขามีชื่อว่ามล ไม่ใช่ปีศาจคางคก หากเรียกชื่อเขาไม่ถูก มลก็ถือว่าไม่ได้เรียกตัวเขา
"เฮ้ย! อย่าทำเป็นเมินข้านะ" อีกฝ่ายร้องขึ้น ก่อนจะกระโดดลงมาจากต้นไม้
มลยังทำท่าไม่สนใจต่อไป หากแต่ยังสำรวจแม่น้ำ พยายามคิดว่าจะทำยังไงดี
เด็กเกเรกระชากบ่ามลให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา
"ข้าพูดกับเจ้าอยู่ หูหนวกหรือไง"
"อ๋อหรือ" มลเลิกคิ้วกวนประสาท "ข้าชื่อมล เป็นวิทยาธร แต่เจ้าเรียกว่าปีศาจคางคก ข้าก็เลยคิดว่าเจ้าพูดถึงคนอื่นอยู่น่ะสิ"
อีกฝ่ายหัวเราะ "เจ้านั่นแหละ ปีศาจคางคก มาตักน้ำอยู่ทุกวัน ไม่รู้จักชะโงกดูเงาตัวเองเสียบ้าง"
"ข้าไม่ใช่ปีศาจคางคก" มลเถียงกลับ
วิทยาธรเกเรยิ้มเยาะ "ถ้าเจ้าเป็นวิทยาธรจริง เหตุใดอาจารย์จึงไม่ยอมสั่งสอนวิชาให้แก่เจ้าเล่า"
แม้ว่าคำพูดของคู่สนทนาจะแทงใจดำมล แต่โอรสของเจ้าชายมณีโชติก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
"สักวันหนึ่ง อาจารย์ต้องสั่งสอนวิชาให้ข้าแน่ ข้ามั่นใจ"
ถึงแม้จะพูดไปแบบนั้น มลก็ไม่ได้มั่นใจเอาเสียเลย อีกฝ่ายก็เหมือนจะดูออก
"อย่างนั้นหรือ สักวันหนึ่ง นั่นมันเมื่อไหร่กันเล่า ข้าก็เข้ามาพร้อมเจ้า แต่ก็ได้เรียนวิชาจนสามารถเปลี่ยนน้ำเป็นน้ำแข็งได้เช่นนี้" เขาโบกมือให้ดูน้ำแข็งอย่างภาคภูมิใจ
"เจ้าต้องทำให้มันกลับเป็นน้ำเหมือนเดิม" มลว่า เขาไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้เพื่ออะไร วิทยาธรทุกตนล้วนแต่ใช้แม่น้ำนี้เป็นแหล่งอาบกิน การที่เปลี่ยนน้ำเป็นน้ำแข็งไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นเลย ทั้งยังทำให้เดือดร้อนอีกด้วย
"แล้วถ้าข้าไม่เปลี่ยน เจ้าจะทำอะไรข้า" เพื่อนร่วมสำนักหัวเราะ "จะเอาฟันมาเฉาะคอข้าหรือ"
"เจ้าทำไปเพื่ออะไร" มลโวยวาย "ข้าต้องตักน้ำ"
"เจ้าก็ตักไปสิ ใครห้าม" อีกฝ่ายหัวเราะและเดินจากไป
พอมลเล่ามาถึงตรงนี้ กูณฑ์ก็ขัดขึ้นตามประสาคนใจร้อน
"ไอ้เวรนั่น มันต้องโดนสักทีแล้วไหม" สิ่งที่กูณฑ์เกลียดที่สุดคือพวกชอบล้อเลียนในสิ่งที่คนอื่นช่วยตัวเองไม่ได้ เรื่องรูปร่างหน้าตา สีผิว สีผม เพราะเขาเองก็โดนล้อเรื่องนี้ตั้งแต่จำความได้ จะว่าไปแล้วเขากับมลก็มีส่วนคล้ายกันไม่ใช่น้อย
มลพยักหน้าและเริ่มเล่าต่อ
พอได้ยินคำพูดนั้น มลก็ปรี่เข้าไปทำร้ายอีกฝ่าย พอมานึกย้อนดูแล้ว เขาไม่น่าทำลงไปแบบนั้น แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนั้น มลไม่สามารถอดทนได้จริง ๆ แต่ทว่าคนที่เรียนรู้วิชามาเพียงหางอึ่งอย่างมล จะไปสู้กับคนที่เรียนพระเวทมาได้อย่างไร สุดท้ายมลก็โดนโยนลงน้ำแข็ง มลพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน แต่ทว่าอีกฝ่ายร่ายคาถาทำให้น้ำแข็งกลับเป็นน้ำเหมือนเดิม
"ข้าเปลี่ยนน้ำแข็งเป็นน้ำให้เจ้าแล้วนะ" อีกฝ่ายว่าก่อนเดินจากไป
แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อน แต่ก็เป็นตอนเช้าที่พระอาทิตย์ยังไม่ได้ส่องแสงเต็มที่ ทั้งน้ำแข็งที่ละลายมาจากน้ำก็เย็นเยียบ มลว่ายน้ำเข้าหาฝั่งและมานั่งกอดตัวเองอยู่ริมฝั่ง รู้สึกหนาวเกินกว่าจะทำอะไรได้
"แล้วเรื่องมันจบยังไง" เคียวถามขึ้นมาบ้าง เขาลุ้นไปกับทุกข้อความที่มลเล่า เขาไม่ได้เห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกหรอกนะ เพียงแต่มลเล่าเรื่องได้ดี มีจังหวะจะโคนทำให้เขาอดลุ้นตามไม่ได้
เรื่องวันนั้นจบลงโดยที่มลโดนอาจารย์เรียกไปตำหนิ
"ขนาดท่านยังไม่ได้เรียนวิชาอะไรเลย ท่านก็ก่อเรื่องถึงเพียงนี้แล้ว เห็นทีข้าคงสอนวิชาให้ท่านไม่ได้แล้ว"
"แต่อาจารย์ เขาเป็นคนมาหาเรื่องข้าก่อน" มลร้องอุทธรณ์ "แล้วเหตุใดเขาถึงได้เรียนวิชา แต่ข้ายังไม่ได้เล่า"
"มันยังไม่ถึงเวลา"
เวลาผ่านไปจากเดือนเป็นปี ลูกศิษย์ที่เข้ามาพร้อมกับมลเริ่มได้ฝึกอาวุธต่าง ๆ การรังแกก็เริ่มหนักขึ้นไปด้วย แต่ดั้งเดิมที่เป็นแค่การเชือดเฉือนด้วยวาจา ครั้งนี้ก็เริ่มใช้ธนูลอบยิง แม้จะไม่ได้โดนจุดสำคัญ แต่ก็ทำให้เจ็บตัวอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ถึงจะเจ็บตัวก็ไม่ได้ทำให้ทรมานเท่าการเจ็บใจ เพราะเมื่อมลรายงานเรื่องนี้กับธนบาล อาจารย์ก็ไม่ได้มีทีท่าเดือดร้อนอะไร ซ้ำยังหาว่ามลโกหกเสียอีก
"เจ้าชาย ข้าขอเตือนท่านไว้ก่อนเลยนะ ว่าหากท่านพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้อีกครั้ง ข้าจะขับไล่ท่านออกจากสำนัก แล้วท่านก็อย่าหวังว่าจะได้วิชาอะไรจากข้าอีกเลย"
คำพูดนี้เองที่ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของมลขาดผึง มลอดทนทำงานทุกอย่าง อดทนต่อเสียงนินทาว่าร้าย อดทนต่อการเป็นเป้าซ้อมอาวุธเพื่อว่าสักวันหนึ่ง อาจารย์จะมองข้ามใบหน้าที่อัปลักษณ์ของเขาและยอมสอนวิชาให้ แต่เหมือนความพยายามของเขาทั้งหมดจะไร้ค่า
"ท่านไม่ได้คิดจะสอนวิชาให้ข้าอยู่แล้วใช่หรือไม่" มลถามทั้งน้ำตา
ธนบาลยิ้มเยาะ "ท่านยังไม่คู่ควรเรียนวิชาจากข้า"
"แล้วข้าต้องทำอย่างไร" มลถามอย่างสิ้นหวัง เมื่อมองกลับไปแล้วมลเองก็รู้สึกเจ็บใจที่แสดงความอ่อนแอมามากเพียงนั้น แต่เด็กน้อยอายุเพียงเก้าปีก็ไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น
แววตาของธนบาลเป็นประกายเจ้าเล่ห์ ไม่ต่างอะไรกับแววตาของเสือที่กำลังจู่โจมกวาง
"ถ้าท่านอยากให้ข้าสอนวิชาให้ ท่านก็จงไปเตรียมอาวุธมาเสียก่อน"
มลขมวดคิ้ว รู้สึกตงิด ๆ ที่เขาต้องไปหาอาวุธเอง ทั้ง ๆ ที่กับเพื่อนคนอื่น อาจารย์ก็ทำอาวุธให้ แต่ความดีใจที่ในที่สุดเขาจะได้เรียนวิชามีมากกว่า
"ข้าจะทำตามที่ท่านอาจารย์สั่ง บอกข้ามาได้เลยว่าท่านต้องการอาวุธแบบไหน".
"สิ่งที่ข้าจะสั่งให้ท่านไปหานั้นยากมาก ท่านจะหาได้หรือ" อาจารย์พูดเชิงดูถูก
"ให้หาอะไรล่ะ หนวดเต่า เขากระต่ายเหรอไง" กูณฑ์ขัดขึ้นเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งเกลียดไอ้ธนบาล เขาขอใช้สิทธิ์ไม่เรียกคนแบบนี้ว่าอาจารย์ก็แล้วกัน คนที่มองคนแต่ภายนอก ลำเอียง เลือกที่รักมักที่ชังแบบนี้ อย่าว่าแต่เป็นอาจารย์เลย เป็นคนยังไม่ด้วยซ้ำ แต่จะว่าไปแล้วธนบาลก็ไม่ใช่คนนี่นา
"เจ้ารู้ได้อย่างไร" มลถาม ตอนแรกเขาคิดว่าเพื่อนใหม่ของเขาไม่มีความรู้ในแดนหิมพานต์เสียอีก แต่อีกฝ่ายกลับรู้มากพอที่จะรู้ว่าหนวดเต่า เขากระต่ายเป็นวัสดุที่จะใช้ทำอาวุธได้เป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มหัวไฟอ้าปากค้าง เขาแค่พูดเล่นเท่านั้น เพราะเวลาคนจะพูดถึงของที่หายาก เขาก็มักจะอ้างถึงหนวดเต่า เขากระต่าย
"นายพูดเล่นใช่ไหม" กูณฑ์หัวเราะกลบเกลื่อน "กระต่ายที่ไหนจะมีเขา เต่าที่ไหนจะมีหนวด บ้าไปแล้ว"
"กระต่ายที่มีเขาเรียกว่ากระต่ายเขา ส่วนเต่าที่มีหนวดเรียกว่าเต่ามังกร" วิทยาธรพลัดถิ่นอธิบาย
"ของพรรค์นั้นมันไม่มีจริงหรอก" กูณฑ์ว่า
"มีจริงสิเจ้าคะ" อุสาขัดขึ้น "ให้ข้าพาไปดูเลยก็ได้"
"เชื่อก็เชื่อ" กูณฑ์ว่า "กระต่ายมีเขา เต่ามีหนวด ถ้ากบมีนอด้วยก็คงไม่แปลกแล้วล่ะ"
"ถูกต้อง" มลว่า "ธนบาลต้องการให้ข้าหาหนวดเต่า เขากระต่ายและนอกบ"
"หนวดเต่า เขากระต่าย และนอกบ" มลทวนคำ เขาเคยได้ยินมาบ้างว่าอวัยวะเหล่านั้นจะสร้างธนูที่ดีเยี่ยมขึ้นมาได้โดยการใช้เขากระต่ายเป็นคันศร คันศรที่ทำจากเขากระต่ายนี้จะทนทาน แข็งแรงและยืดหยุ่นมากกว่าคันศรใด ๆ ส่วนหนวดเต่าก็เหมาะจะมาทำเป็นสายธนู และนอกบก็เหมาะที่จะนำมาทำเป็นหัวลูกศรที่มีความแข็งแรงทนทานมาก แต่ทว่าแม้จะได้ชื่อว่าเป็นกระต่าย เต่าและกบที่ดูจะไม่มีพิษมีภัยใด ๆ ก็ตาม แต่กระต่ายเขา เต่ามังกรและกบนอนั้นไม่ใช่สัตว์ธรรมดา อย่าว่าแต่มลที่มีอายุเพียงเก้าปีและยังแทบไม่ได้ศึกษาวิชาอะไรเลย วิทยาธรผู้ใหญ่ที่กอปรไปด้วยวิทยาคม มีความรู้ความสามารถ อาวุธพร้อมมือก็มีบ้างที่ต้องตกเป็นเหยื่อของสัตว์พวกนี้
"ใช่แล้ว แต่ถ้าท่านกลัวก็ไม่ต้องไปทำก็ได้นะ ข้าไม่ตำหนิท่านหรอก เพราะพระบิดาของท่านก็เป็นคนขลาดเช่นกัน" ธนบาลยั่วยุ
แต่ไหนแต่ไรมามลนับถือมณีโชติยิ่งกว่าใคร เมื่ออาจารย์พูดแบบนี้ไม่เพียงแต่จะดูถูกเขา แต่ยังยังดูถูกพ่อของเขาอีกด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่มลยอมไม่ได้เด็ดขาด
"ข้าจะทำขอรับ" มลพูดอย่างหนักแน่น
"แล้วนายไปหาอะไรก่อน" กูณฑ์ถาม
"ข้าไปหาเต่ามังกรก่อน"
มลตัดสินใจไปหาเต่ามังกรก่อน เพราะเขาคิดว่าเต่าที่เชื่องช้า ทำได้แค่พ่นน้ำน่าจะจัดการได้ง่ายกว่ากระต่ายและกบที่ว่องไว แต่เรื่องกลับไม่ได้ง่ายอย่างนั้น มลประมาทเกินไป
การหาเต่ามังกรนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แม้ว่ามันจะมีขนาดใหญ่ แต่ก็พรางตัวเก่ง มันมักจะหดขา หัวและหางเข้าในกระดองจนดูไม่ต่างอะไรกับก้อนหิน
วิทยาธรน้อยทรุดตัวลงนั่งพิงก้อนหิน ก่อนจะปาดเหงื่อ
"เฮ้อ! เมื่อไหร่จะหาเจอสักทีนะ"