แม้ว่าอยากจะฟังเรื่องที่มลเล่าต่อสักเพียงใด แต่ร่างกายอันเป็นมนุษย์ของกูณฑ์ก็รับไม่ไหว เขาพยายามกลั้นหาวจนน้ำหูน้ำตาไหล แม้จะพยายามเพียงใดก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาเฉียบคมของผู้อาวุโสไปได้
"ไปนอนเสียเถิด"
กูณฑ์เดินลากขาเข้าไปนอนตามคำสั่ง เขาง่วงเสียจนไม่มีเวลาคิดอะไรทั้งนั้น
พอตอนเช้า กูณฑ์ก็ตื่นขึ้น เขารู้สึกว่าตัวเองตื่นเช้ากว่าปกติเพราะแปลกที่ แม้กูณฑ์จะรู้สึกอย่างนั้น แต่สำหรับอุสาและมลนั้นถือว่ากูณฑ์ตื่นสายมาก ปกติพวกเขาตื่นตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น ดังนั้นเวลาแปดโมงเช้าจึงถือว่าสายมากเหลือเกิน
กูณฑ์ขยี้ตา พยายามขจัดความง่วงออกไป เขาหาวหวอด ๆ ก่อนจะเดินไปที่ที่ทุกคนกำลังล้อมวงกินผลไม้กันอยู่
"มากินสิ" อุสาชวน
กูณฑ์นั่งลงกินผลไม้ด้วย หากอยู่ที่บ้าน เขาคงไม่ยอมกินผลไม้เป็นอาหารเช้าแน่ แต่เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เขามาอยู่กับฤๅษี ก็คงต้องเป็นมังสวิรัติชั่วคราวไปก่อน ฤๅษีคงไม่ยอมให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแน่
ผลไม้ที่กินเข้าไปมีรสหวานอร่อยกว่าผลไม้ตามรถเข็นมากนัก กูณฑ์พิจารณาผลไม้ หากเขาสามารถนำมันกลับไปปลูกที่เมืองตัวเองได้คงจะทำกำไรได้ไม่น้อย
"ผมขอเมล็ดไปปลูกบ้างได้ไหมครับ" กูณฑ์ถามฤๅษี
"ปลูกที่ไหนเล่า" วโรดมถามกลับ
กูณฑ์นิ่งคิด บ้านเขาคับแคบเกินกว่าจะปลูกต้นไม้ได้ แต่ถ้าเป็นสวนของหลวงปู่ก็อาจพอได้อยู่
"ที่วัดครับ"
"วัดเจ้าใหญ่พอหรือ"
"ก็ใหญ่อยู่นะครับ" กูณฑ์ตอบอย่างงง ๆ เขาไม่รู้หรอกว่าพื้นที่วัดนั้นมีเท่าไหร่ แต่แค่ปลูกต้นไม้ต้นเดียวคงไม่กินพื้นที่มากหรอกมั้ง
"กว้างกว่าสิบสี่โยชน์หรือไม่"
บางทีกูณฑ์ควรตั้งใจเรียนวิชาคณิตศาสตร์ให้มากกว่านี้ เขาไม่รู้เลยว่าสิบสี่โยชน์คือเท่าไหน เขารีบสะกิดถามเคียว
"หนึ่งโยชน์มีประมาณสิบแปดกิโลเมตร" สารานุกรมเคลื่อนที่ของเขาตอบกลับ
แต่ถึงอย่างนั้น กูณฑ์ผู้เกิดมากับเทคโนโลยีเครื่องคิดเลขก็ยังคำนวณออกมาไม่ถูกอยู่ดี แต่เท่าที่รู้ก็คือวัดนั่นไม่ได้กว้างขนาดนั้นหรอก
"ไม่น่าจะพอครับ" กูณฑ์หัวเราะแห้ง ๆ แผนการที่จะรวยจากป่าหิมพานต์ก็เป็นอันต้องพับไป
"ความจริงแล้วเจ้าจะเอาเมล็ดไปปลูก ก็ใช่ว่าลูกหว้าจะออกมารสหวานอร่อยเช่นนี้ ดิน น้ำ อุณหภูมิและสิ่งแวดล้อมรอบป่าหิมพานต์มีผลต่อรสชาติของลูกหว้าทั้งสิ้น" วโรดมสั่งสอน
"ครับ" กูณฑ์รับคำ หน้าสลด "ว่าแต่นี่คือลูกหว้าเหรอครับ ผมไม่เคยเห็น"
"เจ้าก็อยู่ในชมพูทวีปแท้ ๆ ไม่เคยเห็นลูกหว้าได้อย่างไรนะ" มลเหน็บกลับ เขาไม่ค่อยพอใจที่กูณฑ์นอนอุตุอยู่บนเตียงขณะที่เขาต้องไปออกไปหาผลไม้ แต่พอถึงเวลากิน กลับได้กินร่วมกัน สมัยตอนที่เขาอยู่กับอุสา อุสาเองก็ไม่ได้ออกไปช่วยเขาหาผลไม้ แต่เขาพอยอมรับได้ เขาเป็นพี่ ทั้งยังเป็นผู้ชาย เลี้ยงน้องแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก แต่กลับไอ้มนุษย์นี่ไม่ใช่
"ฉันอยู่ประเทศไทย ไม่ได้อยู่ชมพูทวีป แล้วมันเกี่ยวอะไรกับลูกหว้าไม่ทราบ" กูณฑ์เองก็เหมือนคนในยุคปัจจุบันทั่วไปที่เข้าใจว่าชมพูทวีปหมายถึงอินเดีย
"ที่เขาบอกว่าชมพูทวีปมันหมายถึงโลกของเรานั่นแหละ" เคียวว่า
"นายอย่าบอกนะว่านายอ่านมาจากหนังสืออีกแล้ว" กูณฑ์ว่า ทำไมใคร ๆ ก็ดูรู้เรื่องป่าหิมพานต์ไปหมด เขาเป็นถึงอวตารของเทพนะ เขาควรรู้อะไรบ้างสิ
"ใช่" เคียวอธิบาย "จากหนังสือไตรภูมิพระร่วงไง"
"บ้านฉันมีหนังสือนั่นด้วย" กูณฑ์อุทาน
"ใช่ ทางพุทธศาสนาแบ่งทวีปออกเป็นสี่ทวีป คือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป แต่ละทวีปตั้งตามทิศต่าง ๆ กัน ชมพูทวีปตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ"
กูณฑ์พยายามคิดภาพตาม "ชื่อพิลึกทั้งนั้น"
"ทวีปทั้งสามทวีป ยกเว้นชมพูทวีป เป็นทวีปที่คนมีศีลธรรม"
"อ้าว! พูดอย่างนี้แสดงว่าเราเลวเหรอ"
"ก็ไม่เชิงหรอก" ฤๅษีขัด "บางทีก็มีผู้มีบุญก็มาเกิดในชมพูทวีปเช่นกันเช่นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือมหาจักรพรรดิ"
"ช่างเถอะ ตกลงชมพูทวีปนี้มันยังไงกันแน่ เกี่ยวอะไรกับต้นหว้า"
"เกี่ยวสิ เพราะต้นไม้ประจำทวีปของเราก็คือต้นหว้าหรือที่เรียกกันว่าต้นชมพูน่ะสิ" มลไขข้อสงสัย
"แล้วทวีปอื่น ๆ มีต้นไม้ประจำทวีปเหมือนกันหรือเปล่า" กูณฑ์ถามต่อ
"มีสิ อย่างอุตตรกุรุทวีปก็มีต้นกัลปพฤกษ์ ข้าอยากไปเห็นมาตลอดเลย" มลว่า "แต่มันขึ้นแค่ในอุตตรกุรุทวีปเท่านั้น"
"พูดเป็นเล่นไป ที่โรงเรียนฉันก็มีต้นกัลปพฤกษ์" กูณฑ์ค้านอย่างไม่เชื่อ ตอนเขาไปโรงเรียนก็เดินผ่านต้นกัลปพฤกษ์ทุกวัน
"ต้นกัลปพฤกษ์ของเจ้าเป็นอย่างไร" มลถาม
"ก็เป็นต้นไม้ปกติทั่วไป ออกดอกสีชมพู"
"แล้วเจ้าขออะไรใต้ต้นกัลปพฤกษ์นั้นได้หรือไม่"
"ขอ" กูณฑ์ทวนคำเป็นเชิงถาม มลหมายถึงจุดธูป ขอนู่นขอนี่เหมือนที่เราขอที่ต้นโพธิ์น่ะหรือ
มลยิ้มเยาะ "คงไม่ได้ล่ะสิ ต้นกัลปพฤกษ์ของเจ้าก็เป็นแค่ต้นไม้เลียนแบบเท่านั้น ต้นกัลปพฤกษ์ในอุตตรกุรุทวีป เพียงแค่เจ้าไปยืนใต้ต้น และอธิษฐาน เจ้าก็ได้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ"
กูณฑ์คราง "ฉันชักอยากไปเกิดในอุต อุต" เขาพยายามจะออกเสียง แต่ก็พูดไม่ได้จนต้องยอมแพ้ "ทวีปนั้นแล้วสิ"
"ไม่ได้หรอก" ฤๅษีขัด "มนุษย์นั้นเมื่อเกิดในทวีปใด ก็จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่แต่ในทวีปนั้น ที่เจ้าทำได้ก็มีแต่บำเพ็ญบารมี ให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้นเท่านั้น"
"เล่าเรื่องของนายต่อสิ" กูณฑ์ว่า
มลชำเลืองมองอุสา เจ้าตาเองก็รู้จึงชวนอุสาไปที่อื่น
"ทำไมนายไม่ให้เขาอยู่ฟังด้วย" เคียวถาม
"นางยังเด็กเกินไปที่จะรู้เรื่องพวกนี้" มลอธิบาย
"เด็ก" กูณฑ์ทวนคำเยาะ ๆ "อะไรกัน เธอก็อายุเท่ากับนาย จะห่างกันบ้างก็คงไม่กี่ปีหรอก"
"นางเกิดปีเดียวกับข้า แต่นางยังเป็นเด็ก"
"อะไรกัน" กูณฑ์อุทานอย่างไม่เข้าใจ
"นางยังเป็นเด็กไร้เดียงสา นางไม่เข้าใจความโหดร้ายของโลกนี้" มลว่า ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมือง น้ำตาเขาก็เอ่อล้นมาที่ดวงตาอีกครั้ง
"มีเรื่องอะไรเหรอ" เคียวถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
มลถอนหายใจและเริ่มเล่าต่อ
แม้อัครเดชจะกำจัดมลไปได้แล้ว แต่หอกข้างแคร่อย่างมณีโชตินั้นยังอยู่ แม้ว่าปรเมศวร์จะเห็นว่าคำทำนายนั้นหมายถึงมล แต่อัครเดชก็ยังไม่ไว้ใจ เขารู้แต่เพียงว่าลูกที่หน้าตาอัปลักษณ์ของมณีโชติจะนำพาความพินาศมาสู่เขา แล้วใครจะไปรู้ มณีโชติอาจจะคิดสร้างเด็กขึ้นมาอีกคนก็ได้ เขาต้องกำจัดรอยด่างพร้อยของเผ่าวิทยาธรไปเสีย
อัครเดชเรียกมณีโชติเข้าเฝ้าเพื่อดำเนินแผนการที่วางไว้
"มีอะไรหรือพระเจ้าค่ะ เจ้าพี่"
"พ่อของเราอยากกินมะม่วง" อัครเดชว่า "เจ้าช่วยไปหามะม่วงให้หน่อยนะ"
มณีโชติขมวดคิ้ว รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
"ช่วงนี้มันไม่ใช่หน้ามะม่วงนะพระเจ้าค่ะ" แม้ว่าป่าหิมพานต์จะมีพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สมบูรณ์กว่าโลกภายนอก แต่ก็ยังตั้งอยู่ในกฎธรรมชาติคือออกดอกออกผลเมื่อถึงฤดูกาล
"แต่เจ้าก็มีเวทมนตร์บังคับให้ต้นมะม่วงออกผลได้ไม่ใช่หรือ" อัครเดชว่าอย่างรู้ทัน
ความจริงแล้วมณีโชติมีเวทมนตร์ดังว่าจริง หากแต่มะม่วงที่ออกผิดฤดูกาลนั้น รสชาติค่อนข้างต่างไปจากมะม่วงตามธรรมชาติอยู่บ้าง หากเปรียบรสชาติของมะม่วงตามธรรมชาติเป็นทองคำ รสชาติของมะม่วงที่มณีโชติใช้เวทมนตร์บังคับก็คือทองแดง
"ทำ มันก็ทำได้อยู่พระเจ้าค่ะ แต่ว่ารส…"
"ไม่มีแต่" อัครเดชขัดขึ้น "จงไปทำเสีย ข้าไม่ได้สั่งเจ้าในฐานะพี่ แต่ในฐานะอุปราชผู้สำเร็จราชการแทน เข้าใจหรือไม่"
มณีโชติโค้งคำนับ "รับพระบัญชา"
"พ่อข้าไม่ควรทำตามคำสั่งเขาเลย" มลพูดอย่างเจ็บใจ "ไม่ควรเลยจริง ๆ"
"ทำไมล่ะ" กูณฑ์ถาม "เขาส่งคนไปลอบฆ่าพ่อนายเหรอ"
"อัครเดชไม่มีคนมีฝีมือพอจะลอบฆ่าพ่อข้าได้หรอก" มลว่า มีรอยภูมิใจนิด ๆ เมื่อพูดถึงความเก่งกาจของผู้เป็นบิดา "แต่มันใช้วิธีสกปรกกว่านั้น"
"เดี๋ยวก่อนนะ" เคียวขัด "ลอบฆ่านี่ยังสกปรกไม่พอ"
มณีโชติมาถึงต้นมะม่วง เขาร่ายคาถา ไม่นานต้นมะม่วงนั้นก็ออกผลมาเต็มไปหมด เจ้าชายวิทยาธรรีบเหาะไปเก็บมะม่วงให้ได้มากที่สุด ก่อนจะรีบนำไปถวายอัครเดช
"เจ้าเอาไปให้ท่านพ่อเองดีกว่า" อัคเดชว่า
มณีโชติรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เพราะตั้งแต่ปรเมศวร์ป่วยก็ไม่มีใครเคยได้เข้าเฝ้าเลย อัครเดชมักอ้างว่าท่านประชวรเกินกว่าจะรับแขก แต่เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ได้แต่นำมะม่วงไปให้พ่อตามคำสั่ง
มณีโชติเฝ้ามองพ่อตัวเองกินมะม่วง ปรเมศวร์ดูเอร็ดอร่อยกับมันมาก พอเห็นว่าไม่เป็นอะไร มณีโชติก็จะเดินกลับ แต่อยู่ ๆ ราชาวิทยาธรก็ตกลงจากเตียง
มณีโชติรีบวิ่งเข้าไปดูแล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพ่อไม่หายใจ
"ท่านพ่อ" มณีโชติกรีดร้อง พยายามเขย่าตัวให้ฟื้น
ด้วยอารามตกใจ มณีโชติจึงไม่ได้สังเกตว่า มีคนของอัครเดชเข้ามาในห้อง และสลับจานมะม่วงของเขาไป
หลังจากที่มณีโชติร้องโวยวายไม่ได้สติอยู่สักพักหนึ่ง เขาก็เริ่มตั้งสติขึ้นมาได้ เขารีบออกไปนอกห้อง ตะโกนเรียกพวกหมอ
หมอคนหนึ่งเดินเข้ามาตรวจอาการ ก่อนจะบอกว่าราชาสวรรคตแล้วด้วยยาพิษ ผู้เป็นหมอสำรวจไปรอบ ๆ เพื่อค้นหาว่าอะไรคือยาพิษนั้น ก่อนจะหยิบจานมะม่วงขึ้นมา
"กระหม่อมขอบังอาจถามว่าใครเป็นผู้นำผลไม้นี้มาถวายแด่องค์ราชาหรือพระเจ้าค่ะ"
"เป็นข้าเอง" มณีโชติยอมรับอย่างงง ๆ "แล้วทำไมหรือ ท่านหมอ"
หมอมองหน้ามณีโชติอย่างผิดหวัง
"เหตุใดพระองค์จึงทรงทำดังนี้พระเจ้าค่ะ" เขากล่าวอย่างตำหนิ
"ท่านหมายความอย่างไร" มณีโชติผู้ซึ่งยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเองกล่าวอย่างสับสน
พวกทหารของอัครเดชวิ่งเข้ามาราวกับถูกบอกบท หัวหน้าทหารพูดขึ้นมาว่า
"เจ้าชายมณีโชติ ท่านถูกจับแล้วข้อหากบฏ ลอบปลงพระชนม์พระราชา"
มณีโชติหน้าซีด "หมายความว่าอย่างไร"
อัครเดชเดินเข้ามาอย่างสง่างาม สีหน้าโศกสลดบนใบหน้านั้นดูไม่สมจริงเลยแม้แต่น้อย
"น้องรัก" อัครเดชพูดเสียงสั่นเครือ "เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้"
"ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด"
"เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังจะปากแข็งอยู่อีกหรือ" อัครเดชหันไปพูดกับหมอ "ท่านหมอ ผลไม้ในจานนั่นคือสิ่งใดกัน"
หมอสูดลมหายใจ "ขอเดชะ ผลไม้ในจานนี้คือกิมปักกะ ผลมะม่วงพิษพระเจ้าค่ะ แม้รูปร่างหน้าตาของมันจะเหมือนมะม่วง แต่มันมีพิษร้ายแรงนัก"
"ข้าเอามะม่วงมาถวาย เหตุใดจึงกลายเป็นผลกิมปักกะไปได้" มณีโชติว่า
"พี่ผิดหวังในตัวเจ้าจริง ๆ มณีโชติ" อัครเดชว่า ก่อนจะหันไปสั่งทหารของตน "พวกเจ้าจงนำมณีโชติไปขังไว้ รอวันประหาร"
พอมลได้ยินว่าพ่อของตนจะถูกประหาร เขาก็รีบผุดลุกขึ้นยืนทันที
"ข้าจะไปช่วยท่านพ่อ"
ฤๅษียุดข้อมือให้มลนั่ง
"ใจเย็นก่อน"
"ใจเย็น" มลทวนคำอย่างไม่อยากจะเชื่อหู ฤๅษีตนนี้บอกให้เขาใจเย็น ทั้ง ๆ ที่พ่อของเขากำลังจะถูกประหารหรือ ก็แน่ล่ะสิเขาไม่ใช่พ่อของฤๅษีนี่
"ไม่ยักรู้ว่านายก็ก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน" กูณฑ์แซว เขายังจำครั้งแรกที่เจอฤาษีได้ดี เขาเองก็โมโหท่าทางดูไม่สนใจของท่านเหมือนกัน
"ใช่" มลยอมรับ ท่าทางไม่ค่อยภูมิใจในตัวเองนัก เมื่อคิดย้อนกลับไปวันนั้น
"เชิญท่านใจเย็นไปคนเดียวเถิด" มลพูดอย่างก้าวร้าว "อย่างไรข้าก็จะไปช่วยท่านพ่อ"
"เรื่องที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังเกิดขึ้นก่อนเจ้าจะได้รับคำสั่งให้มาล่ากระต่ายเขาเสียอีก เจ้าไปตอนนี้จะทันได้อย่างไร"
มลทรุดตัวลงนั่งอย่างสิ้นหวัง "อย่างไรข้าจะไปเอาศพท่านพ่อกลับมา" เขาพูดอย่างแน่วแน่ เขารู้ว่าวิทยาธรทำอย่างไรกับศพของพวกกบฏ เขาจะไม่ยอมให้พ่อพบชะตากรรมเช่นนั้นเด็ดขาด เขาต้องนำศพของพ่อมาทำพิธีให้ถูกต้องให้ได้
"พ่อของเจ้ายังไม่ตายหรอก" วโรดมว่า
"ท่านหมายความว่าอย่างไร"
เรื่องที่มณีโชติถูกจับกุมตัวในข้อหากบฏโด่งดังไปทั่ววังจนได้ยินไปถึงมณีมาลาผู้เป็นแม่ของอัครเดช มฯีมาลารีบมาหาลูกของตัวเองทันที
"อัครเดช เจ้าจะประหารน้องหรือ"
"มณีโชติทำผิดใหญ่หลวง ขอท่านแม่โปรดอย่าเข้าข้างมันเลย"
ตั้งแต่เด็กจนโต มณีมาลามักจะเข้าข้างมณีโชติอยู่เสมอ จงทำให้อัครเดชเริ่มสงสัยว่าใครกันแน่ที่เป็นลูกทางสายเลือดของท่านแม่
"อัครเดช มันอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันก็ได้" เธอไม่อยากเชื่อว่าเด็กดีอย่ามณีโชติจะวางยาพิษผู้เป็นพ่อได้ลง เขาเป็นเด็กอ่อนโยนกว่าทุกคนที่เธอเคยรู้จัก อีกประการมณีโชติวางยาพิษปรเมศวร์ไปก็หาได้มีประโยชน์แต่ไม่ ในเมื่อเขาไม่ใช่รัชทายาทของบัลลังก์ หากผู้วางยาพิษเป็นอัครเดชลูกของเธอเองเรื่องจะดูสมเหตุสมผลกว่ามาก แต่เธอก็สลัดความคิดนี้ไปเสีย แม้อัครเดชจะเกเรไปบ้าง แต่คงไม่อำมหิตพอที่จะวางยาพิษผู้เป็นพ่อและใส่ร้ายน้องเช่นนี้หรอก
อัครเดชหัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน คิดดูสิ ขนาดเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วแม่ของเขาก็ยังเข้าข้างมันไม่เลิก
"เข้าใจผิดอะไรหรือพระเจ้าค่ะ"
"ก็อย่างเช่นอาจมีผู้ได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้ใส่ร้ายมณีโชติ" มณีมาลาออกความเห็นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
"งั้นหรือพระเจ้าค่ะ" อัครเดชพูดเสียงเฉียบขาด "เมื่อท่านพ่อสิ้น บัลลังก์ก็ต้องตกสู่ข้า ข้าเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุด หรือว่าท่านแม่คิดว่าข้าเป็นคนกระทำเรื่องที่เลวทรามต่ำช้าเยี่ยงสัตว์นรก"
มณีมาลาหน้าเสีย "แม่ไม่ได้หมายความร้ายแรงถึงเพียงนั้นเลย" เธอละล่ำละลักปลอบลูกชาย
อัครเดชรู้ว่าตนกำลังเป็นต่อจึงรีบรุกต่อ
"ท่านแม่คงไม่คิดว่าลูกชายที่ท่านคลอดออกมาเองจะทำการอำมหิตโหดร้ายเยี่ยงสัตว์นรกเช่นนั้นหรอกนะพระเจ้าค่ะ"
"แม่ไม่.."
"ตั้งแต่เล็กจนโต ท่านแม่มักเห็นมณีโชติดีกว่าข้าเสมอ บางทีข้าสงสัยว่าใครกันแน่ที่เป็นลูกของท่านแม่ ข้าหรือว่าเขา"
"แม่รักเจ้ากับมณีโชติเท่ากัน" มณีมาลายืนยัน "เจ้าก็รู้ ลูกของท่านพ่อเจ้าก็เปรียบเหมือนลูกของแม่"
"ครั้งนี้มณีโชติทำผิดใหญ่หลวง ต่อให้ข้าอยากช่วยก็ช่วยไม่ได้ ขอท่านแม่โปรดตัดใจเสียเถิด"
"แม่เข้าใจแล้ว" แม้มเหสีม่ายจะพูดแบบนั้น แต่เธอจะไม่ยอมเสียมณีโชติไปหรอก อย่างไรเธอก็ต้องคิดหาวิธีช่วยลูกเลี้ยงคนนี้ให้ได้
มณีมาลาลอบเอาทองไปให้ผู้คุม
"ข้าแต่พระพันปี พระองค์ทรงเอาทองมาให้กระหม่อมทำไมพระเจ้าค่ะ"
มณีมาลาไม่ค่อยเคยชินนักที่อยู่ ๆ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากมเหสีเป็นพระพันปี
"ข้าต้องการให้ท่านช่วย"
"พระนางโปรดสั่ง" ผู้คุมมองทองอย่างปลาบปลื้ม ลำพังเบี้ยหวัดของเขามีไม่มากนัก ทองที่ได้จากพระพันปีมากกว่าเบี้ยหวัดทั้งปีของเขาเสียอีก ต่อให้มณีมาลาสั่งให้เขาไปบุกน้ำลุยไฟอย่างไร เขาก็พร้อมทั้งนั้น
"ข้าต้องการให้ท่านปล่อยตัวมณีโชติ"
ผู้คุมหน้าซีด มณีโชติถูกจับข้อหากบฏ หากเขาปล่อยตัวมณีโชติไปไม่เท่ากับมีส่วนร่วมคิดการกบฏด้วยหรือ แล้วทองที่ได้มานี้จะมีประโยชน์อย่างไรเล่า
"พระนางโปรดสั่งอย่างอื่นเถิด" ผู้คุมร้องขอ
"ข้าต้องการเพียงสิ่งนี้เท่านั้น" มณีมาลาพูดเสียงเฉียบขาด ก่อนจะมอบทองเพิ่มให้อีก
ผู้คุมนั้นอยากได้ทองก็อยากได้ กลัวความผิดก็กลัว ได้แต่ลังเลอยู่
"พระนาง ข้าทำได้เพียงเปิดโอกาสให้พระนางได้พบกับมณีโชติ หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของเขาแล้ว"
มณีมาลายิ้มออก "เพียงเท่านั้นก็เป็นบุญคุณแล้ว"