มื้ออร่อย

พอฤๅษีกับอุสากลับมา กูณฑ์ก็ไม่รอช้า รีบไปขอวิธีถอนน้ำอมฤตทันที

"วิธีการถอนฤทธิ์น้ำอมฤตหรือ" วโรดมทวนคำอย่างไม่อยากเชื่อหู เด็กคนนี้ต้องการกำจัดสิ่งที่ใคร ๆ ก็ปรารถนาจะได้

"ใช่ครับ" กูณฑ์พูดอย่างกระตือรือร้น แววตามีความหวังเต็มเปี่ยม "ผมไม่อยากติดอยู่ในร่างเด็กหนุ่มนี่ไปตลอดชีวิต"

"ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่" ฤๅษีถามกลับ

"สิบห้าครับ"

"งั้นเจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าไม่ติดอยู่ในร่างนี้ไปตลอดชีวิตหรอก แม้ข้าจะไม่ถอนฤทธิ์น้ำอมฤตออกให้ก็ตาม"

แม้ว่าจะเป็นกิริยาไม่สมควรนัก แต่คำพูดของผู้อาวุโสกว่า ก็ทำให้เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว

"น้ำอมฤตมันทำให้ไม่แก่ ไม่ตายไม่ใช่เหรอครับ" กูณฑ์ถาม พยายามไม่ให้น้ำเสียงฟังดูก้าวร้าวจนเกินไป

"ถูกแล้ว แต่อายุสิบห้ายังไม่ถือว่าแก่ไม่ใช่หรือ"

"เจ้าตาหมายความว่า…"

"เจ้าจะโตเหมือนมนุษย์ปกติต้นอายุประมาณยี่สิบห้าที่ถือว่าเป็นช่วงสูงสุดของมนุษย์ หลังจากนั้นร่างกายของเจ้าก็จะถูกหยุดเวลาไว้ตรงนั้น เจ้าจะเป็นหนุ่มตลอดกาล"

กูณฑ์เม้มปาก อายุยี่สิบห้าตลอด ฟังดูดีกว่าอายุสิบห้า อายุสิบห้าเป็นเด็กเกินไป ร่างกายเจริญเติบโตได้ยังไม่เต็มที่ จะไปทำงานก็ยังไม่ได้ แต่ถ้าอายุยี่สิบห้า สังคมถือว่าเป็นผู้ใหญ่ แต่ไม่แก่เกินไป ทำอะไรก็คงสะดวก แต่ถึงอย่างนั้น

"แล้วถ้าผ่านไปอีกสิบยี่สิบปี ทุกคนแก่กันหมด แต่ผมยังอายุยี่สิบห้าเหมือนเดิม มันจะไม่น่าสงสัยหรือครับ"

"ชาวหิมพานต์แก่ช้าและอายุยืนทั้งนั้นแหละ" ฤๅษีพูดเป็นนัย ๆ

"แต่ผมไม่ใช่ชาวหิมพานต์" กูณฑ์โต้กลับ "ผมเป็นมนุษย์ สักวันหนึ่งผมก็ต้องกลับไปบ้าน"

"ถูกแล้ว" นักบวชพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเหมือนธารน้ำไหล "สักวันหนึ่งทุกคนก็ต้องกลับบ้าน"

วโรดมเหลือบมองลูกศิษย์คนปัจจุบันของตน เขาไม่เคยนับอุสาเป็นลูกศิษย์ เพราะเขาไม่เคยถ่ายทอดวิชาอะไรให้อุสาเลย มลเป็นลูกศิษย์คนแรกในรอบหลายปีของเขาและเป็นลูกศิษย์ที่น่าภูมิใจ วโรดมอยากเก็บมลไว้กับตัว แต่เขาก็รู้ว่าอย่างไรมลก็ต้องกลับบ้าน

"เจ้าตามองข้าทำไมขอรับ" มลถาม รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่ถูกผู้อาวุโสจ้องเสียขนาดนั้น เขาพยายามเค้นสมองดูว่าเขาทำอะไรผิด แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

"ข้ากำลังคิดถึงวันที่เจ้าต้องกลับบ้าน คิดถึงวันที่ข้าไม่ได้เจอเจ้าอีก"

"เจ้าตาพูดอะไรอย่างนั้น" มลขัด "ต่อให้ข้ากลับบ้าน ข้าก็จะหาเวลามาเยี่ยมเจ้าตาบ่อย ๆ"

ฤๅษียิ้มอย่างรู้ทัน ลูกศิษย์แต่ละรุ่นก็พูดแบบนี้ สัญญาณนักหนาว่าจะมาเยี่ยมเขา แต่ก็ไม่มีใครเคยมาเยี่ยมเลย และถึงจะมาก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาเยี่ยม แต่มีปัญหามาให้เขาแก้ต่างหาก

"เจ้าไม่มีเวลาหรอก มล"

"เจ้าตาอย่าพูดถึงเรื่องที่ไม่รู้จะมาถึงเมื่อไหร่เลยขอรับ" มลว่าพลางเข้าไปออเซาะ "กว่าข้าจะกลับบ้านได้ก็คงอีกนาน"

นักบวชหลับตา เขารู้ว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ มลก็ต้องจากที่นี่ไป แม้เขาจะเป็นฤๅษีมีฤทธิ์มาก แต่เขาก็ไม่อาจหยุดวงล้อของกาลเวลาได้

"ผลไม้อีกแล้ว" กูณฑ์คราง เขามาอยู่ป่าหิมพานต์ได้เกือบอาทิตย์ และต้องกินผลไม้แทนข้าวทุกวันและต้องกินผลไม้แทนข้าวทุกวัน แม้ผลไม้ที่ป่าหิมพานต์จะอร่อยกว่าผลไม้ข้างนอกก็เถอะ แต่กินทุกวันแบบนี้ก็ไม่ไหวนะ

"เรื่องมากจริง" มลบ่น "หาก็ไม่ช่วยหา แล้วยังพูดมากอีก"

"โทษที" กูณฑ์ว่า "แต่นายก็มีธนู ทำไมไม่ยิงสัตว์สักตัว"

"ยิงสัตว์ก็บาปสิเจ้าคะ" อุสาโวยวาย "สัตว์ก็รักชีวิตของมันนะเจ้าคะ"

"งั้นนายก็ต้องเป็นมังสวิรัติน่ะสิ" กูณฑ์ว่า "ไม่อยากกินเนื้อสัตว์บ้างเหรอ"

มลยักไหล่ "ก็อยาก แต่ไม่ถึงกับทนไม่ได้ อีกอย่างนาน ๆ ทีข้าก็ได้กินเนื้อสัตว์เหมือนกัน แต่มันต้องอาศัยโชคและฝีมือสักหน่อย"

"ทำยังไง" กูณฑ์ถามอย่างกระตือรือร้น เขาเบื่อผลไม้เต็มทีแล้ว เขาเป็นพวกสัตว์กินเนื้อ ไม่ใช่สัตว์กินพืช

มลไม่ตอบ แต่หันไปหาเจ้าตาแทน

"เจ้าตา ข้าขอไปหาเนื้อสัตว์มากินนะ"

กูณฑ์คาดว่าอีกฝ่ายจะห้าม แต่ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อฤๅษีแค่พยักหน้าให้พร้อมกำชับว่า

"ระวังตัวด้วยล่ะ"

กูณฑ์นั่งรออย่างมีความหวัง ไม่นานมลก็กลับมาพร้อมกวางตัวเบ้อเริ่ม

อุสาคราง "อุตส่าห์ไปหาเนื้อสัตว์ทั้งที ไหงได้กวางมาล่ะ เจ้าพี่"

"ยังไงเธอก็ไม่กินเนื้ออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ มันบาป" กูณฑ์แซว

อุสาค้อน "ข้าไม่ได้บอกเลยว่ากินเนื้อบาป ข้าแค่บอกว่าฆ่าสัตว์บาปเท่านั้น"

"แล้วเราจะเอาเนื้อมันมาโดยไม่ฆ่าได้ยังไงล่ะ" กูณฑ์ย้อน

"ข้าเจอซากเจ้าตัวนี้กลางทาง ถามหาเจ้าของถึงสามครั้ง ไม่มีคนตอบ ข้าก็เลยเอามา" มลอธิบาย

"ฉันว่าเจ้าของมันพูดตอบไม่ได้มากกว่ามั้ง" เคียวว่า พลางมองซากกวางอย่างหวาด ๆ "ขืนเจ้าของมันกลับมาแล้วไม่เจอ มันจะไม่มาฆ่าพวกเราไปกินแทนกวางเหรอ"

กูณฑ์ชกเพื่อนผีหยอก ๆ ทีหนึ่ง "นายจะกลัวอะไร นายก็ตายเป็นผีไปไม่รู้ตั้งกี่ปีแล้ว"

"ฉันบอกกี่แล้วว่าฉันเป็นภูต อีกอย่างหนึ่งถึงตายแล้วก็กลัวได้ ฉันยังไม่อยากตายซ้ำตายซ้อนนะ ไม่รู้ตายไปแล้วจะได้ไปเกิดเป็นคนหรือเปล่า"

อุสามองเคียวด้วยสายตาใสแจ๋วของกวาง "เจ้าคงอยากเกิดเป็นมนุษย์มากเลยสิท่า"

เคียวทำท่าตัวสั่น "ใครอยากเกิดเป็นคนกัน วุ่นวายตายชัก"

"เจ้าไปหาฟืนสิ" มลสั่งกูณฑ์ เขาเริ่มรำคาญการโต้เถียงไร้สาระนี่เต็มแก่แล้ว

กูณฑ์คราง "แล้วทำไมฉันต้องไปหาฟืนด้วยล่ะ"

มลขมวดคิ้ว ใจคอเจ้านี่จะให้เขาทำให้ทุกอย่างเลยหรือไง เขาไม่ใช่คนรับใช้นะ

"ถ้าเจ้าไม่ไปหาฟืน อยากกินแบบดิบ ๆ ก็ตามใจ"

มลตั้งใจจะพูดประชด แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับเลียริมฝีปาก

"แบบแรร์ก็เข้าท่าดีนะ"

มลไม่เข้าใจสักนิดว่าแรร์คืออะไร แต่สายตาที่มนุษย์จากโลกอารยธรรมจ้องกวางนี่สิ ดูน่ากลัวจริง ๆ หมอนี่เป็นปอบหรือไงนะ

"ขอโทษที" เคียวขัดขึ้น "ไอ้เนื้อแรร์น่ะ มันหมายถึงย่างแบบด้านนอกสุกพอประมาณ ส่วนด้านในเป็นเนื้อแดงอมชมพู ไม่ใช่ไม่ย่างเลยแบบนี้ นายคิดว่าตัวเองเป็นปอบหรือไง"

กูณฑ์หน้าบูด "ฉันจะไม่ถามแล้วกันว่านายรู้ได้ยังไง"

เด็กหนุ่มหัวไฟยันตัวลุกขึ้นยืน เขาไม่อยากออกไปหาฟืนเลย แต่ก็ยอมรับว่ามลพูดถูก เขากินเนื้อดิบ ๆ ไม่ได้หรอก คิดแล้วก็น่าโมโห เขาเป็นเทพอัคนีอวตารลงมาแท้ ๆ แต่เวลาจุดไฟกลับต้องมาหาฟืน เดี๋ยวก่อนนะ เทพอัคนีเหรอ กูณฑ์หันไปมองซากกวางอย่างมีความหวัง

"อ้าว! ทำไมยังไม่ไปอีกเล่า" วิทยาธรน้อยเร่ง เขาเองก็อยากกินเนื้อกวางเต็มทีแล้วเหมือนกัน

"ขอฉันลองอะไรหน่อยได้ไหม" กูณฑ์ถาม แต่เขาก็ถามไปอย่างนั้นเอง โดยไม่รอคำตอบ ร่างอวตารของเทพอัคนียืนอยู่ตรงหน้ากวาง พยายามรวบรวมจุดไฟด้วยพลังภายในที่ตนเชื่อว่ายังมีอยู่ มันต้องมีอยู่สิ ก็ตอนนั้นยังมีเลยนี่นา กูณฑ์พยายามรวบรวมสมาธิจนใบหน้าบูดเบี้ยว เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาที่จมูก

"เจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะ" มลถาม มนุษย์ประหลาดผู้นี้ทำท่าเหมือนอยากถ่ายทุกข์อย่างนั้นแหละ แต่ถ้าอยากถ่ายทุกข์ก็ไปถ่ายก่อนก็ได้นี่นา

"เงียบน่า" กูณฑ์ตวาด "ฉันต้องใช้สมาธิ"

ไม่มีใครกล้าพูดหรือส่งเสียงอะไรอีก ทุกคนเฝ้ารออย่างตื่นเึ แม้จะไม่เข้าใจนักว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามทำอะไร

ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น ไม่นานก็มีไฟเล็กเท่าแสงหิ่งห้อยปรากฏอยู่ที่มือของกูณฑ์

กูณฑ์ร้องอุทานออกมาแทบไม่เป็นภาษาเพราะความดีใจ แต่ก็ดีใจได้ไม่นานเพราะไฟนั้นดับลงไปอีก ถึงอย่างนั้นคราวนี้เด็กหนุ่มจับจุดได้แล้ว การจุดไฟครั้งที่สองจึงไม่ยากเท่าครั้งแรก. ในที่สุดไฟก็ลามเลียไปที่ตัวของกวาง

"ไชโย! เจ้าทำสำเร็จแล้ว" มลว่า ระหว่างที่กูณฑ์จุดไฟ วิทยาธรน้อยก็ลุ้นไปด้วยตลอด เขาไม่เข้าใจนักว่าทำไมกูณฑ์ต้องดึงดันจุดไฟด้วยพลังเวทให้สิ้นเปลืองพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ ทั้ง ๆ ที่ไปหาฟืนเหนื่อยน้อยกว่ากันอย่างเทียบไม่ได้ แต่บางทีมนุษย์คนนี้อาจจะมีพลังเวทมากกระมัง แต่เมื่อเขาหันไปมองกูณฑ์ เขาก็ต้องสลัดความคิดเรื่องที่เจ้านี่มีพลังเยอะไปทันที เพราะตอนนี้กูณฑ์สลบไปแล้ว

อุสากรีดร้อง "กูณฑ์ตายแล้ว"

"ยัง" มลว่า เขารีบเข้าไปนวดฟั้นให้กูณฑ์ ไม่นานอีกฝ่ายก็ลืมตาขึ้นมาได้

"เนื้อหมดหรือยัง" เป็นคำแรกที่คนเพิ่งฟื้นพูด

มลอยากเขกหัวเพื่อนคนนี้จริง ๆ ห่วงแต่กินอยู่นั่นแหละ

"ยังไม่หมด ยังไม่มีใครได้กินเลย"

กูณฑ์ยิ้มขึ้นมาอย่างโล่งใจ

ตอนนี้เนื้อกวางสุกได้ที่พร้อมที่จะให้รับประทานแล้ว กูณฑ์อยากกินเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็ต้องอดทนและถามผู้อาวุโสก่อน

"เจ้าตากินด้วยกันไหมครับ"

วโรดมยิ้ม แม้เด็กหนุ่มจะถามแบบนั้น แต่ใจจริงอีกฝ่ายก็ไม่อยากให้เขากินด้วยเท่าไหร่ เขาไม่ตำหนิหรอก เด็กกำลังโตก็อย่างนี้

"ข้ากินแค่ผลไม้ก็พอแล้ว"

"แล้วอุสาล่ะ กินด้วยกันไหม" กูณฑ์หันไปชวนอุสา

อุสากอดอก ทำหน้ามุ่ย "ใจดำ"

กูณฑ์ผู้ซึ่งยังไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิดขมวดคิ้ว "ฉันทำอะไรผิดเนี่ย"

"ให้ข้ากินเผ่าพันธุ์ตัวเอง ใจดำที่สุด"

กูณฑ์แทบจะทำเนื้อที่กำลังเอาเข้าปากตกพื้น เขาลืมไปเสียสนิท ว่าอุสาเป็นลูกครึ่งกวาง

"ขอโทษที" เด็กหนุ่มพูดเก้อ ๆ เขามองเนื้อที่กำลังจะเอาเข้าปาก เนื้อนี่คงไม่ใช่แม่ของอุสาหรอกนะ

กูณฑ์สะกิดมลที่กำลังกินเนื้อย่างอย่างเอร็ดอร่อย

"อะไร" มลพูดอู้อี้เพราะเนื้อยังเต็มปาก

"นี่คงไม่ใช่เนื้อแม่ของอุสาหรอกนะ" กูณฑ์กระซิบถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

มลมองกูณฑ์เหมือนกับเขาบ้าไปแล้ว ก่อนจะรีบกลืนเนื้อ อารามที่รีบร้อนไปหน่อยทำให้เขาสำลัก อุสาห์รีบมาลูบหลังให้

"เจ้าพี่ใจเย็น ๆ สิเจ้าคะ" เธอพูด พลางยื่นขันน้ำให้

มลรีบรับไปดื่ม "ขอบใจ"

"ทำไมเธอเรียกมลว่าพี่ แต่ไม่เรียกฉันว่าพี่ล่ะ" กูณฑ์ทัก "ฉันอายุมากกว่ามลนะ"

อุสาขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปถามเจ้าตา

"เจ้าตาคะ ข้าควรเรียกกูณฑ์ว่าพี่ด้วยหรือไม่"

ฤๅษีลูบหัวผู้เป็นลูก "เขาอายุมากกว่าเจ้า เรียกว่าพี่ก็ถูกแล้ว"

"ค่ะ เจ้าพี่กูณฑ์"

กูณฑ์รู้สึกอึดอัดกับคำที่เหมือนราชาศัพท์นั่น จึงบอกไปว่า

"เรียกพี่เฉย ๆ ก็ได้ ไม่ต้องมีเจ้าหรอก ฉันไม่ได้มีเชื้อเจ้า"

อุสาพยักหน้ารับคำ

มลไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่อุสาเรียกกูณฑ์ว่าพี่ เขาเคยเป็นพี่คนเดียวของอุสามาตลอด พอเรื่องมาเป็นแบบนี้ เขาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองถูกลดความสำคัญ มลจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

"เนื้อนี้ไม่ใช่เนื้อแม่ของอุสาหรอก เจ้าไม่เห็นหรือว่ามันเป็นเนื้อตัวผู้"

"แต่มันก็ทำให้อุสาไม่สบายใจ" กูณฑ์ว่า

"ที่ข้าไม่สบายใจ เพราะข้าอยากกินแต่กินไม่ได้ต่างหากค่ะ พี่กูณฑ์"

กูณฑ์หันไปมองหน้าอุสาที่ตอนนี้กำลังมองเนื้อกวางอย่างโหยหา

"ข้าเคยกินเนื้อกวางมาครั้งหนึ่ง" อุสายิ้ม เลียริมฝีปากเมื่อคิดถึงอดีต "มันอร่อยมาก แต่พอข้ากิน ข้าก็ปวดท้องอยู่เป็นวัน ๆ เจ้าตาบอกว่าเพราะเป็นเนื้อเผ่าพันธุ์ของแม่ ข้าเลยกินไม่ได้"

"น่าเสียดายเนาะ" กูณฑ์ว่า รู้สึกโล่งใจที่ส่วนแบ่งของเขาเพิ่มขึ้น