เรื่องร้ายในเมืองวิทยาธร

เพราะเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นระหว่างกูณฑ์กับนางรากษส ทำให้มลถูกเจ้าตาดุขนานหนัก แม้ว่าอดีตเจ้าชายวิทยาธรจะไม่เข้าใจเลยว่าเขาผิดตรงไหน

"ข้ากำชับเจ้านักหนาว่าไม่ให้ถอดหน้ากากออก แต่เจ้ากลับไม่เชื่อฟังข้า แล้วดูสิว่าผลเป็นอย่างไร'" ฤๅษีพูดเสียงดุ

"ไม่ใช่ความผิดของข้าสักหน่อย" มลก้มหน้าเถียงเบา ๆ

แม้วโรดมจะแก่แล้ว แต่หูตาเขาก็ยังดีอยู่ เมื่อได้ยินลูกศิษย์เถียง ก็เคาะหัวเบา.ๆ

"ยังจะเถียงอีก หากเจ้าไม่ถอดหน้ากากออก นางรากษสจะพาตัวกูณฑ์ไปหไม่ใช่ความผิดของข้าสักหน่อยข้าพยายามเตือนแล้วก็ไม่ฟัง ไม่ใช่ความผิดของข้าสักหน่อย"

ผู้เป็นอาจารย์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย "แล้วเจ้าคิดว่า เจ้าอยู่ที่นี่มาตั้งนาน ไปหาผลไม้ในป่าไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ทำไมถึงไม่มีนางรักรากษสโผล่ออกมาบ้างเลยเล่า"

คิดดูแล้วก็จริงอย่างที่อาจารย์พูด เขาอยู่ที่นี่มานาน ไม่เคยแม้แต่จะเห็นเงาของนางรากษสซึ่งเป็นคำกล่าวเปรียบเทียบเท่านั้น เพราะปกติพวกรากษส หากไม่ได้เป็นระดับหัวหน้า ก็จะไม่มีเงาอยู่แล้ว มลหันไปมองเจ้าตัวการที่กำลังคุยกับภูตหนังสือ ก่อนจะถามอาจารย์ว่า

"เพราะเจ้ามนุษย์คนนี้ใช่หรือไม่ขอรับ อาจารย์ เขาเป็นผู้ดึงดูดพวกนางรากษสให้มาที่นี่"

วโรดมส่ายหน้า "เพราะเจ้าถอดหน้ากากออกอย่างไรเล่า ปกตินางรากษสก็อาศัยอยู่แถวนี้มานานแล้ว แต่ที่เจ้าไม่ถูกนางทำร้ายหรือล่อลวงก็เพราะหน้ากากที่เจ้าใส่ไว้ทำให้นางเห็นว่าเจ้าเป็นคนอัปลักษณ์ ไม่น่าเอามาทำเป็นสามี ครั้นจะล่าเจ้าไปเป็นอาหารก็ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะเจ้ามีอาวุธร้ายกาจติดตัว"

มลก้มลงมองธนูที่ทำจากหนวดเต่า เขากระต่ายของตัวเอง หลังจากวันนั้นที่เขารู้ว่าโดนหลอก และเขาอาจจะไม่มีวันหาหนวดเต่า เขากระต่ายหรือนอกบได้ เขาก็เสียใจอยู่บ้าง แต่พอเรียนวิชาได้สักพัก ฤๅษีก็มอบธนูคันนี้ให้ ดูภายนอกไม่อาจจะบอกได้เลยว่าเป็นธนูล้ำค่าซึ่งก็เป็นคำสอนประจำตัวของวโรดมว่า "เด่นเกินไป จะมีภัย"

"แต่พอเจ้าถอดหน้ากากออก นางก็เลยเห็นว่าเจ้ามีรูปโฉมงดงาม เลยคิดจะล่อลวงเจ้าน่ะสิ" วโรดมสรุปปิดท้าย

"ช้าก่อนนะ เจ้าตา" มลขัดขึ้น "คนที่ถูกล่อลวงไปคือกูณฑ์ต่างหาก ไม่ใช่ข้าสักหน่อย"

"เจ้านี่มันเถียงคำไม่ตกฟากจริง ๆ" ฤๅษีพูดอย่างระอา "นางตั้งใจมาหลอกเจ้า แต่พอเจ้าไม่หลงกลนาง นางเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นกูณฑ์แทนอย่างไรล่ะ"

"ข้าเข้าใจแล้วขอรับ" มลว่า

"เข้าใจแล้วก็ดี" ผู้อาวุโสกว่าพูดอย่างพึงพอใจ "ทีหลังเจ้าก็อย่าถอดหน้ากากอีกเล่า รีบใส่ได้แล้ว ว่าแต่หน้ากากเจ้าอยู่ไหน"

มลหัวเราะแห้ง ๆ แก้เก้อ "มัวแต่รีบ ข้าคงทำหล่นกลางทางน่ะขอรับ"

ฤๅษีใช้นิ้วนวดขมับ "งั้นเจ้าก็รีบไปเอากลับมาสิ มัวช้าอะไรอยู่เล่า"

"ขอรับ"มลรับคำ ก่อนจะรีบไปหาหน้ากาก โชคดีที่ไม่มีใครหรืออะไรมาเอามันไปเสียก่อน เขารีบใส่หน้ากากเข้าไปทันที

เมื่อมลกลับไปอาศรม อุสาก็วิ่งเข้ามากอดเขา และเอาหัวของเธอซุกเขาเหมือนกับแมว

"เจ้าพี่มลกลับมาแล้ว ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน"

มลหัวเราะ เขาค่อย ๆ ผลักเด็กหญิงออกไปอย่างเบามือ

"พูดอะไรของเจ้า" มลพูดเสียงกลั้วหัวเราะ "ข้าไปไม่ถึงบาทหนึ่งเลย"

อุสาจับจมูกของมล "ข้าคิดถึงหน้านี้ของท่าน ข้าไม่ชอบใบหน้านั้นของท่านเลย"

"เจ้าจะได้เจอหน้านี้จนเบื่อเลยแหละ" มลว่า คงจะมีแต่อุสานี่แหละที่ชอบหน้านี้ของเขา เธอช่างเป็นเด็กที่แปลกจริง ๆ เพราะขนาดมลยังไม่ชอบหน้าของตัวเองเลย เขาคิดว่าเขาคงไม่มีวันมีคนรักได้หรอก ถ้าหน้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ แน่ล่ะว่าพ่อเคยสอนวิชาเสน่ห์วิทยาธรให้ แต่มลไม่เคยคิดจะใช้เลย การทำเสน่ห์ให้คนมาหลงเราเป็นเรื่องอะไรที่น่าละอายที่สุด หากไม่มีใครรักเขา เขาก็จะอยู่คนเดียว แต่ป่วยการที่จะมาคิดถึงเรื่องนี้ เขาต้องจัดการเรื่องพ่อแม่ให้เสร็จก่อน เมื่อไหร่เจ้าตาจะให้เขากลับไปตามหาพ่อแม่เสียทีนะ มลคิดถึงพ่อแม่เหลือเกิน ไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง จะยังมีชีวิตอยู่หรือว่าสิ้นบุญไปแล้ว แต่ต่อให้ท่านสิ้นบุญไปแล้ว มลก็ต้องไปเคารพศพพวกท่านให้ได้ เขาตั้งปณิธานแน่วแน่ ก่อนจะเอนตัวลงนอน

ในคืนนั้น ไม่ได้มีแต่มลที่ตั้งใจจะไปตามหาพ่อแม่ กูณฑ์ก็คิดเช่นเดียวกัน การที่กูณฑ์โดนนางรากษสจับตัวไปทำให้เขาสำนึกได้ว่าแม้ว่าอาศรมนี่จะใกล้เคียงกับบ้านแค่ไหน แต่ก็ยังไม่ใช่บ้านอยู่ดี กูณฑ์มาอยู่ที่นี่ได้สักระยะแล้ว แม้จะสุขสบายตามอัตภาพ แต่เขาก็รู้ว่าเขาจะอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้ วันนี้เขาตั้งปณิธานแน่วแน่แล้วว่าไม่ว่าเจ้าตาจะพูดอย่างไร เขาก็ต้องขอให้ท่านเปิดประตูมิติพาเขากลับบ้านให้ได้ กูณฑ์คิดว่าเขาน่าจะชดใช้กรรมมาพอสมควรแล้วนะ

เมื่อคิดตรงกันเช่นนี้ เมื่อตอนเช้ามาถึง กูณฑ์และมลต่างไปหาเจ้าตาเพื่อขออนุญาตเดินทาง แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดอะไร ฤๅษีก็พูดขึ้นมาก่อน

"พวกเจ้าจะมาขออนุญาตเดินทางไปหาพ่อแม่ใช่หรือไม่"

ถึงตอนนี้กูณฑ์ไม่สงสัยอีกแล้วว่าทำไมฤๅษีถึงได้รู้ความคิดของพวกเขา เด็กหนุ่มตอบรับ

"ใช่ครับ ผมคิดถึงพ่อกับแม่"

"ข้าเองก็เหมือนกัน" มลเสริม

"พวกเจ้าจะได้พบพ่อกับแม่แน่" ฤๅษีว่า แต่ยังไม่ทันที่เด็กทั้งสองจะร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ ผู้อาวุโสกว่าก็พูดต่อว่า "แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าต้องทำภารกิจให้สำเร็จเสียก่อน"

กูณฑ์ทำหน้าเบ้ เขาไม่ชอบคำว่า "ภารกิจ" เลย เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่ง บางคนอาจจะเถียงว่าไม่มีคนธรรมดาที่ไหนเป็นร่างอวตารของเทพอัคนีหรอก แต่กูณฑ์ก็ยังคิดว่าเขาเป็นคนธรรมดาอยู่นั่นเอง แล้วเขาก็ไม่อยากไปทำภารกิจอะไรที่ว่านี่ด้วย

"ไม่ทำไม่ได้เหรอครับ" กูณฑ์ถามเสียงอ่อย ถึงจะไม่รู้ว่าภารกิจคืออะไร แต่คงไม่ใช่เรื่องหวานหมูแน่ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่เดือนกี่ปีถึงจะสำเร็จ

"มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเจ้านักหรอกนะ" ฤๅษีตอบแบ่งรับแบ่งสู้

"ไม่มีผลอะไรต่อผม" กูณฑ์ทวนคำ เขาไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าฤๅษีมองเขาอย่างตัดพ้อชอบกล

"แล้วมันมีผลต่อคนอื่นหรือเปล่าครับ" เด็กหนุ่มกลั้นใจถาม

"ถ้าไม่ได้เจ้า ภารกิจนี้ก็ไม่มีวันสำเร็จ" ฤๅษีว่า "แล้วเมืองของเขา.."

วโรดมพยักพเยิดไปทางวิทยาธรน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า "ก็มีหวังไม่รอด"

"เกิดอะไรขึ้นกับเมืองของข้า" มลถาม ไม่อาจปิดกั้นความร้อนรนในน้ำเสียงไว้ได้

ฤๅษีมองลูกศิษย์ของตนอย่างเมตตา "เมื่อผู้ปกครองบ้านเมืองไม่เป็นธรรมก็ย่อมเกิดความพินาศแก่บ้านเมือง"

"เกิดอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ" มลถาม

"เกิดโรคระบาดประหลาดขึ้นในเมืองของเจ้า" ฤๅษีอธิบาย "แมงสี่หูห้าตาต่างล้มตายลงโดยไม่ทราบสาเหตุ"

กูณฑ์ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเพื่อนถึงมีสีหน้าเศร้าหมองขนาดนั้น ตอนแรกที่เจ้าตาบอกว่ามีโรคระบาด เขาก็นึกว่าผู้คนในเมืองจะบาดเจ็บล้มตายเสียอีก แต่เรื่องกลับเป็นว่ามีแมงอะไรก็ไม่รู้ตายแทนซึ่งนั่นก็ดีแล้วนี่ เด็กหนุ่มไม่เคยชอบแมงหรือแมลงต่าง ๆ เลย สัตว์พวกนี้ตัวเล็ก มีอยู่แทบทุกหนทุกแห่ง ขายุ่บยั่บ หน้าตาก็น่าเกลียด

"ไม่เห็นจะเป็นไรเลย" กูณฑ์ปลอบใจเพื่อน "พวกแมงน่าเกลียดออก ตาย ๆ ไปเสียก็ดี"

มลหันมาจ้องหน้าเขาเขม็ง "ไม่รู้อะไรก็หุบปากเสียเถิด เจ้ารู้หรือไม่ว่าแมงสี่หูห้าตาคือตัวอะไร"

กูณฑ์ยักไหล่ "ฉันไม่รู้หรอก แค่ขึ้นชื่อว่าแมงฉันก็ไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว คงเป็นแมงมุมประหลาดที่มีสี่หูห้าตาล่ะมั้ง"

"ไม่ใช่" เจ้าชายวิทยาธรตวาด "แมงสี่หูห้าตาไม่ใช่แมง แต่เป็นสัตว์ที่หน้าตาคล้ายหมี"

เด็กหนุ่มหัวไฟขมวดคิ้ว "แล้วทำไมไม่เรียกหมี เรียกแมงทำไม" เขาเองก็ไม่ได้รังเกียจหมีนักหรอก

"เจ้าลองพูดหมีสี่หูห้าตาเร็ว ๆ สิ" มลแนะ มีประกายขบขันอยู่ในดวงตา

กูณฑ์ลองทำตามดู "หมีสี่หูห้าตา หมีหี่สูห้าตา ห"

ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ "ลิ้นพันกันหมดแล้ว"ถ้าขืนเขาไม่ยอมแพ้จากหมีคงกลายเป็นอีกคำนึงที่ไม่ค่อยโสภานัก

"นั่นแหละ พวกเราเลยเรียกว่าแมงแทน"

"แต่ว่าทำไมมันถึงมีสี่หูห้าตาล่ะ"

มลเริ่มอธิบาย "ถึงจะเรียกว่าสี่หูห้าตา แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรอกนะ มันมีสองหูตามปกตินั่นแหละ อีกสองหูเป็นเขาต่างหาก"

"หมีบ้าอะไรมีเขา" กูณฑ์ขัดขึ้น

มลพ่นลมออกทางจมูกอย่างไม่พอใจ "ข้าแค่บอกว่ามันคล้ายหมี ไม่ได้บอกสักคำว่ามันเป็นหมี มันเป็นสัตว์จำพวกกวางต่างหาก เจ้าจะฟังเฉย ๆ โดยไม่ขัดจะได้หรือไม่"

"คร้าบ อาจารย์" กูณฑ์ลากเสียงล้อเลียน

มลไม่ได้ใส่ใจท่าทางของกูณฑ์ เขาเล่าต่อไป "ส่วนตาห้าตาที่ว่าก็เป็นตาจริงแค่สอง นอกจากนั้นเป็นต่อมน้ำมัน อยู่กลางหน้าผากหนึ่ง แล้วใต้ตาอีกข้างละสอง ต่อมน้ำมันนั้นใหญ่มากจนเราเห็นเป็นดวงตา"

กูณฑ์ตัวสั่น "ทำไมต้องมีต่อมน้ำมันเยอะขนาดนั้น ไม่เห็นเข้าท่าเลย"

เด็กหนุ่มก้มลงมองสำรวจตัวเอง "โชคดีนะที่ฉันไม่มี"

"ไม่มีอะไรเหรอ" เคียวผู้ซึ่งอยู่ ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นถาม

"ให้ตายสิ" กูณฑ์ดุ "โผล่มาทำไมเงียบ ๆ ตกใจหมด"

เคียวยักไหล่ "นายพูดถึงเรื่องอะไร โชคดีที่ไม่มีอะไร"

กูณฑ์รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจเปลี่ยนเรื่อง แต่เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อะไรที่เคียวว่าดี เขาก็เห็นด้วยทั้งนั้น

"ต่อมน้ำมันน่ะสิ ถ้ามีคงพิลึกตายชัก"

ภูตหนังสือผู้รอบรู้ขมวดคิ้ว "ต่อมน้ำมันนี่ เหมือนต่อมไขมันหรือเปล่า" เขาถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก

เพื่อนมนุษย์ยักไหล่ "คงคล้ายกันมั้ง จะเรียกว่าอะไรก็ช่าง ฉันดีใจที่ไม่มีมัน"

เคียวหัวเราะ "ไม่มีเหรอ นายมีอยู่ทั่วตัวเลยต่างหาก"

กูณฑ์ตกใจ เขาก้มลงมองสำรวจทั่วตัว คาดว่าจะได้เห็นตุ่มโปน ๆ ออกมา แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร

เด็กหนุ่มหันไปมองเพื่อนที่เขาไม่ได้อยากเป็นเพื่อนด้วยเท่าไหร่ "นายล้อฉันเล่นแน่ ไม่เห็นจะมีอะไร"

"นายมองไม่เห็นมันหรอก แต่มันมีอยู่ทั่วตัวนายจริง.ๆ มนุษย์เรามีกันทุกคนแหละ"

กูณฑ์ชกเขาหยอก ๆ ทีหนึ่ง "นายไม่ใช่มนุษย์สักหน่อย"

ภูตกุมอก ทำสีหน้าเจ็บปวด "อย่างน้อย ๆ ฉันก็เคยเป็นนะ"

ขืนให้เป็นอย่างนี้ต่อไป วันทั้งวันสองคนนี้คงเกี้ยวกันไม่หยุดแน่ มลตัดสินใจกระแอม

"ตกลงพวกเจ้าจะฟังเรื่องของข้าต่อหรือเปล่า"

กูณฑ์กับเคียวพยักหน้า "เล่าต่อเลย"