มลควรไปทำบุญ

"งั้นพวกเจ้าห้ามขัดอีกนะ" มลกำชับ

กูณฑ์กับเคียวพยักหน้าหงึก ๆ อย่างเชื่อฟัง พวกเขารู้สึกตลกอยู่ไม่น้อยที่ต้องมาฟังคำสั่งของเด็กที่อายุห่างจากพวกเขาหลายปี

"แมงสี่หูห้าตาเป็นสัตว์เลี้ยงที่พวกวิทยาธรทั้งรักและหวงมาก มันมาล้มตายกันแบบนี้ต้องแย่แน่" มลเล่าต่อ

การที่สัตว์เลี้ยงล้มตายก็เป็นเรื่องน่าเศร้าอยู่หรอก แต่สีหน้าของมลตอนนี้ดูเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก

"ฉันเสียใจด้วยนะ" กูณฑ์ว่า เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้ดีกว่านี้ "พวกมันคงน่ารักมากแน่ ถ้านายเสียใจขนาดนี้"

"มันเป็นสัตว์ที่น่ารักที่สุด" มลยืนยัน ก่อนจะหันไปหาเจ้าตา "เจ้าตาขอรับ ขอกระดานหน่อย"

"นึกว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าข้าอยู่ตรงนี้" ฤๅษีล้อ แต่ก็หยิบกระดานให้

มลลงมือวาดรูป เขาเป็นเด็กที่วาดรูปได้ดี ทักษะแรก ๆ ที่เขาฝึกเมื่อเกิดมาคือการวาดรูป เขาจะไม่ยอมทำพลาดแบบพ่อของเขาหรอก ไม่นานเขาก็วาดแมงสี่หูห้าตาสำเร็จ เขาอวดมันให้เพื่อนจากอารยธรรมภายนอกดูด้วยความภูมิใจ

"ก็น่ารักดี" กูณฑ์ว่า

"ไม่ใช่แค่น่ารักเท่านั้น" มลอวด "มันยังมีประโยชน์มาก ถ้ามันตายกันหมด มีหวังเกิดสงครามอีกแน่"

"คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง" กูณฑ์ปลอบ ขณะที่ชำเลืองสัตว์รูปร่างพิลึกบนกระดาน คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าการสูญพันธุ์ของสัตว์พวกนี้จะนำไปสู่สงครามได้อย่างไร

"เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันทำอะไรได้บ้าง" มลถาม

กูณฑ์ส่ายหน้า ก่อนจะหันไปหาเคียวเพื่อขอความช่วยเหลือ

"มันกินขี้เถ้า"ภูตตอบ

เด็กหนุ่มหัวไฟหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างสุดจะกลั้นได้ "นายจะบอกว่ามันจะเกิดสงครามเพราะไม่มีคนกวาดขี้เถ้าทิ้งเหรอ"

กูณฑ์หยุดหัวเราะทันควัน เมื่อเขาเห็นสีหน้าจริงจังของเพื่อนทั้งสอง

"เรื่องจริงเหรอ ฉันแค่ล้อเล่น" เขาพูดเสียงอ่อย แต่เมื่อเพื่อนทั้งสองยังมองกูณฑ์ด้วยสายตาเหมือนเขาโง่สิ้นดี เด็กหนุ่มก็พยายามแก้ไขสถานการณ์ "แต่ไม่เห็นจะเป็นไรนี่ นายให้ค่าจ้างเยอะขึ้นหน่อยก็คงมีคนยอมมากวาดเองแหละ"

มุมปากของมลกระตุกขึ้นเหมือนเขากำลังจะยิ้ม เขาหันไปหาเคียวที่กำลังกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นอยู่เช่นกัน

กูณฑ์ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย เขาไม่ชอบเป็นตัวตลก "พวกนายมีอะไรกันแน่"

เคียวถอนหายใจก่อนพูดว่า "แมงสี่หูห้าตาไม่เพียงกินขี้เถ้า แต่มันยังถ่ายออกมาเป็นทอง"

"ทอง" กูณฑ์ทวนคำอย่างตื่นเต้น "นายหมายถึงทองคำแท้ ๆ น่ะหรือ"

มลพยักหน้า "ทองคำแท้ ๆ เลยล่ะ"

กูณฑ์ทำหน้าเคลิ้มฝัน "เป็นสัตว์ที่วิเศษ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีสัตว์แบบนี้อยู่บนโลก"

"แล้วถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง สัตว์นี่ก็อาจจะไม่มีแล้ว" คำพูดของมลปลุกกูณฑ์ให้ออกจากภวังค์

"คงไม่แย่นักหรอกมั้ง" กูณฑ์ปลอบ "พวกนายก็แยกสัตว์ที่ป่วยออกจากสัตว์ที่ไม่ป่วยก่อน แล้วค่อย ๆ พยายามรักษาไป ไม่น่าจะยากนี่นา"

มลพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกทำให้กูณฑ์รู้สึกเหมือนตัวเองพูดอะไรงี่เง่าชอบกล

"เจ้ารู้หรือไม่ว่าแมงสี่หูห้าตาถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร"

"ถูกสร้าง ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเหรอ".

มลส่ายหน้า "เจ้าคิดว่าธรรมชาติที่ไหนจะสร้างสัตว์ที่ถ่ายเป็นทองคำได้ ข้างนอกมีหรือ"

กูณฑ์ยักไหล่ ใครจะไปรู้ว่าอะไรปกติ ไม่ปกติสำหรับที่นี่ ตั้งแต่เข้ามาแดนสนธยานี่ เขาก็แทบลืมความรู้วิทยาศาสตร์ไปเลย

"มันเป็นสัตว์ที่ถูกพวกวิทยาธรสร้างขึ้นมา พวกวิทยาธรชอบทองมาก"

กูณฑ์พยักหน้า "มนุษย์ก็ชอบทองเหมือนกัน"

"ไม่เหมือนหรอก" มลค้าน "มนุษย์ชอบทองเพราะมันเป็นเครื่องประดับสวยงาม แต่วิทยาธรชอบทองเพราะมันเหมาะจะเอามาทดลอง มันต่างกันอยู่นะ"

"ยังไงก็ช่าง ฉันคิดว่ามันวิเศษมากอยู่ดี" กูณฑ์พูดอย่างกระตือรือร้น "ถ้าฉันได้กลับบ้าน ฉันไม่ขออะไร ขอแค่เจ้าตัวนี้ตัวเดียวก็พอ"

มลมองกูณฑ์อย่างดูถูก ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ไหนก็เหมือนกันหมด โลภมากไม่มีที่สิ้นสุด

"ขอตัวเดียวจะพอหรือ พอมันตายขี้คร้าน เจ้าจะหาทางกลับมาขโมยไปอีก"

กูณฑ์เกาหัว "ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า แต่คิดอีกที ขอสองเลยละกัน"

"ไม่ค่อยจะโลภเลยนะ" มลประชด

กูณฑ์นิ่วหน้า "แหม ฉันขอแค่สองตัวเอง แต่ขอเป็นตัวผู้และตัวเมียอย่างละตัวนะ" เขาจะได้มีลูกแมงสี่หูห้าตาเล็ก ๆ เต็มไปหมด แล้วเขาก็จะกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลก

มลมองเขาอย่างรู้ทัน "เจ้าคิดจะผสมพันธุ์พวกมันล่ะสิ ข้าบอกให้นะ มันไม่ได้ผลหรอก"

เด็กหนุ่มมีท่าทีผิดหวัง "ทำไมล่ะ" เขาถามเสียงอ่อย

วิทยาธรน้อยหัวเราะ "เพราะมันเป็นสัตว์ที่ไม่ได้เกิดมาตามธรรมชาติ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถสืบเผ่าพันธุ์ต่อเองได้ แม้ว่าเรา ข้าหมายถึงเหล่าวิทยาธรจะพยายามมาแล้วหลายชั่วอายุก็ตาม"

"แล้วตอนนี้มันก็มาล้มตายอีก" กูณฑ์ว่า "แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แค่ไม่มีทองเอง" ถึงเด็กหนุ่มจะชอบทอง แต่เขาก็ไม่เคยมีทองเป็นของตัวเองสักเส้น เขาก็ยังไม่เดือดร้อนอะไร

มลส่ายหน้า "เจ้าประมาทความลุ่มหลงที่พวกวิทยาธรมีต่อทองเกินไป เผ่าพันธุ์ของข้ามีอายุยืนมาก มากกว่ามนุษย์อย่างเจ้าเป็นร้อยเป็นพันเท่า แต่ชีวิตของพวกเรานั้นแทบจะเรียกได้ว่าไร้แก่นสาร ถ้าไม่เกี้ยวหญิงไปวัน ๆ หรือไม่ก็ทดลองทำอะไรแปลก ๆ มีประโยชน์บ้าง ไม่มีประโยชน์บ้าง แต่ไม่ว่าจะทดลองอะไรก็ล้วนแต่ต้องใช้ทองคำทั้งสิ้น"

กูณฑ์ยักไหล่ "ก็เลิกทดลองไปก่อนก็ได้นี่"

"ถ้าวิทยาธรไม่หมกหมุ่นกับการทดลอง พวกเขาก็จะหันเหความสนใจไปทางอื่นแทน"

กูณฑ์พยักหน้า "ก็ดีแล้ว"

"ไม่ดีเลยสักนิด" มลตวาด "พวกเขาจะหันเหความสนใจไปที่พวกผู้หญิง ไม่ว่าลูกเขาเมียใครก็จะฉุดคร่าอย่างไม่สนใจ"

สายตาของวิทยาธรน้อยเผลอมองไปในอาศรมที่อุสาคงกำลังทำกิจกรรมอะไรต่าง ๆ อยู่ในนั้น เขาคงใจแทบขาดแน่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับอุสา

"จะว่าไปแล้ว ทำไมวันนี้อุสาตื่นสายจัง" กูณฑ์พูดขึ้น

"อุสาไม่สบายตั้งแต่เมื่อคืน" ฤๅษีว่า "ข้าต้มสมุนไพรให้นางแล้ว ตอนนี้นางก็เลยยังหลับอยู่"

"อุสาไม่สบายหรือ" มลร้องอย่างตกใจ น้องเขาเป็นอะไรไป ตอนกลางวันยังดี ๆ อยู่เลยนี่นา

"ทำไมท่านไม่บอกข้า"เด็กชายผู้เป็นกังวลพูดอย่างตัดพ้อ

ผู้อาวุโสกว่าถอนหายใจ "บอกเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ นางไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ต้องพักผ่อนมากหน่อยเท่านั้นเอง"

"ข้าจะไปดูนาง" มลว่า ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน ด้วยความอารามรีบร้อน เขาจึงไม่ได้แม้แต่ยกมือไหว้ลาตามปกติ

เมื่อมลเข้าไปถึงในห้องนอนของอุสา เขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรอยเปื้อนเล็ก ๆ อยู่บนเสื่อ เด็กชายป้ายมันขึ้นมาดู

"เลือด" เขาอุทาน

"เจ้าพี่มล" อุสาว่า ก่อนจะพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง นี่คงสายมากแล้ว แล้วมลก็คงจะมาตามเธอไปกินอาหาร

เมื่ออุสาลุกขึ้นนั่ง มลก็สังเกตเห็นว่าท่อนล่างของเธอมีเลือดไหลเต็มไปหมด

"เลือด" มลพูดอีกครั้งก่อนจะชี้ไปที่ท่อนล่างของเด็กหญิง อุสาดูมีท่าทีสบาย ๆ แบบนั้นได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่เลือดไหลจะหมดตัวอยู่แล้ว มลไม่ใช่คนขี้ขลาด เขาไม่ได้กลัวเลือดแน่นอน แต่มีเยอะขนาดนี้ก็ดูน่าสะอิดสะเอียนอยู่หรอก

อุสาก้มลงมองตามที่มลชี้ ก่อนจะเบ้หน้า "เลอะอีกแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าตาบอกว่ามันจะมาไม่เยอะเสียอีก เจ้าพี่ช่วยไปหากาบมะพร้าวให้ข้าหน่อยได้ไหมเจ้าคะ"

มลสับสน ทำไมอุสาถึงอยากได้กาบมะพร้าวตอนนี้ แน่ล่ะ มันเอามาประดิษฐ์เป็นของเล่นได้สารพัด แต่สิ่งที่อุสาจำเป็นต้องได้ตอนนี้คือสมุนไพรห้ามเลือดมากกว่า ไม่งั้นเด็กหญิงอาจเลือดไหลจนตายก็ได้

อุสาเริ่มหงุดหงิดที่ผู้เป็นพี่ยังทำท่าไม่รู้เรื่องอยู่อย่างนั้น

"เจ้าพี่ไปเอากาบมะพร้าวให้ข้าเร็ว ๆ หน่อยสิเจ้าคะ" เธอพูดอย่างหงุดหงิด

มลรีบวิ่งออกจากห้อง อุสาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เธอไม่เคยขึ้นเสียงใส่เขาด้วยซ้ำ นี่ต้องมีอะไรผิดปกติแน่

เขาหอบแฮ่ก ๆ เมื่อไปถึงที่ที่เจ้าตานั่งอยู่

"เจ้าตา" เด็กชายผู้กำลังงุนงงพุดรัวจนแทบจับใจความไม่ได้ "อุสาไม่สบายหนักมากหนักมาก นางมีเลือดไหลออกมาเต็มเลย"

ฤๅษีหัวเราะ "นางไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก นางให้เจ้ามาหากาบมะพร้าวล่ะสิ"

มลพยักหน้า "แต่นางจะไม่เป็นอะไรได้ยังไง"

"มันเป็นเรื่องปกติของสตรีเพศ" วโรดมพูด นึกขันท่าทางไร้เดียงสาของลูกศิษย์อยู่ไม่น้อย

มลอ้าปากค้าง "หมายความว่าผู้หญิงทุกคนจะมีเลือดไหลแบบนี้หรือ"

ฤๅษีเม้มปาก "ถ้าเป็นกรณีในป่านี้ก็คงใช่"

"หมายความว่าข้างนอกไม่เป็นอย่างนี้" มลหันไปหากูณฑ์ "ผู้หญิงบ้านเจ้ามีเลือดไหลแบบนี้หรือไม่"

กูณฑ์รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่อธิบายเรื่องนี้ให้คนที่ไม่เข้าใจฟัง "คืออย่างนี้ ที่โลกข้างนอก เขาค่อนข้างจะนิยามผู้หญิงผู้ชายต่างกันไป"

"หมายความว่าอย่างไร" มลถาม

"คือเขามีคำว่าคนข้ามเพศ หมายถึงคนที่มีเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิดน่ะ"

หางคิ้วทั้งสองของมลย่นเข้าหากัน "ข้าไม่เข้าใจ"

"คืออย่างนี้ พวกนายเคยชินกับว่าคนเกิดมาเป็นชายก็ต้องเป็นชาย คนเกิดมาเป็นหญิงก็ต้องเป็นหญิง เมื่อก่อนเราก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้มันมีบางคนที่เขาเกิดมาเป็นชาย แต่ใจเขาเป็นหญิง หรือบางคนที่เกิดมาเป็นหญิง แต่ใจเขาเป็นชาย แล้วเราก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเขา ดังนั้นนายจะบอกว่าผู้หญิงทุกคนมีประจำเดือนไม่ได้ เพราะผู้หญิงข้ามเพศ เออ หมายถึงคนที่สังคมบอกว่าเขาเป็นชาย แต่ใจเขาเป็นหญิงน่ะ ไม่มี"

กูณฑ์พยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ค่อนข้างยากอยู่เหมือนกัน เพราะเขาเองก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่

ข้อมูลที่กูณฑ์ให้ทำเอามลมึนไปหมด หญิงเป็นชาย ชายเป็นหญิง อะไรเนี่ย คำถามวนอยู่ในหัวนับร้อย เขาตัดสินใจถามคำถามแรก

"ประจำเดือนคืออะไร"

กูณฑ์หันไปหามลเพื่อขอความช่วยเหลือ เขาไม่รู้จะอธิบายยังไงจริง ๆ รู้อย่างนี้เขาน่าจะตั้งใจเรียนตอนครูสอนสุขศึกษาก็ดีหรอก แต่ตอนนั้นเขาคิดว่ายังไงเขาก็ไม่มีวันมีเมนส์เลยไม่ได้ใส่ใจ

เคียวยักไหล่แทนคำตอบ กูณฑ์เบ้หน้า พึ่งไม่ได้เลย

เจ้าตาอาสาอธิบายให้มลฟัง

"ประจำเดือนหรือระดูคือเลือดที่ไหลออกมาทางโยนีของผู้ที่เจริญเติบโตพอควรแล้ว เป็นสัญลักษณ์ว่าแข็งแรงดี เพราะจะมีประจำทุกเดือนจึงเรียกว่าประจำเดือน โดยมากแล้วจะมีประมาณสามถึงเจ็ดวัน ยามมีระดู เจ้าของระดูจะรู้สึกไม่สบายตัว"

มลก้มลงมองช่วงล่างของตัวเอง แค่คิดว่าจะมีเลือดไหลออกทางนั้น แค่วันเดียวก็สยองแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเจ็ดวันเลย เขาพอคิดภาพออกอยู่หรอกว่าทำไมถึงไม่สบายตัว

"ไม่เพียงเท่านั้น ธาตุในร่างกายยังจะมีสมดุลผิดเพี้ยนไป ทำให้หงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย"

มลพยักหน้า ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว อุสาไม่ได้อยากขึ้นเสียงกับเขา แต่เป็นเพราะระดูตัวร้ายต่างหาก

"บางคนอาจจะมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้"

ยิ่งฟัง มลก็ยิ่งเห็นว่าระดูนี่น่ากลัวจริง ๆ

"แล้วเจ้าก็เอากาบมะพร้าวไปให้นางได้แล้ว" ฤๅษีว่า ก่อนจะยื่นกาบมะพร้าวให้ "นางจะได้ใช้ซับเลือด"

มลรีบวิ่งเอากาบมะพร้าวไปให้อุสาที่กำลังหน้างอ

"ไปเสียตั้งนาน" เธอตำหนิ ก่อนจะไล่เขาออกไป

มลกลับมารวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ อีกครั้ง นึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง ทำไมเรื่องเสียสติแบบนี้ต้องมาประดังประเดใส่เขาด้วย