ยุงร้ายกว่าเสือ

หลังจากไม่ต้องห่วงหน้ากังวลหลัง กูณฑ์ก็เดินได้เร็วขึ้นมาก เขาอารมณ์ดีถึงกับฮัมเพลงเบา ๆ ด้วยซ้ำ แต่พอไปเดินไปได้อีกครู่หนึ่ง ท้องของเขาก็ร้องประท้วงขึ้นมา

"ฉันหิวแล้ว" กูณฑ์ว่า

มลถอนหายใจอย่างระอา มนุษย์จากอารยธรรมภายนอกเป็นอย่างนี้ทุกคนเลยหรือไร จะเอาโน่นเอานี่ไม่หยุด

"หิวก็ปีนต้นไม้ เก็บผลไม้กิน" มลว่า แค่พูดว่าหิว หิว มันจะอิ่มขึ้นมาไหม ผลไม้ก็มีอยู่บนหัว ดันไม่รู้จักเก็บกินเสียอย่างนั้น

กูณฑ์เงยหน้าขึ้นมอง นึกค่อนขอดว่ามลท่าจะบ้าไปแล้ว ต้นไม้สูงขนาดนี้ เขาจะมีปัญญาปีนได้ที่ไหน เด็กหนุ่มก้มลงมองพื้น หวังว่าจะมีผลไม้หล่นอยู่ตามพื้นบ้าง แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง แม้จะมีผลไม้ก็จริง แต่ก็มีรอยกัดแทะ กูณฑ์ไม่อยากติดเชื้อโรคตรงนี้หรอกนะ ไม่รู้สัตว์หิมพานต์จะมีเชื้อโรคอะไรบ้าง

"ฉันปีนต้นไม้ไม่เป็น" กูณฑ์สารภาพ

มลสายหน้า ก่อนจะหยิบธนูขึ้นมา

"รอรับก็แล้วกัน" พูดจบ เขาก็ง้างธนู ยิงตัดขั้วผลไม้ให้มันหล่นลงมา

ด้วยความที่ไม่คิดว่ามลจะทำแบบนี้ กูณฑ์จึงไม่ได้เตรียมตัวรับไว้ แต่ยังโชคดีอยู่บ้างที่หนังสือในมืองอกแขนออกมาและรับไว้อย่างชำนิชำนาญ

มลกับกูณฑ์แบ่งผลไม้กัน ผลไม้นี้ก็เหมือนอย่างอื่นในป่าหิมพานต์ คือมีขนาดใหญ่และรสชาติอร่อย พวกเขากินกันอิ่มแล้ว แต่ผลไม้ยังเหลือ กูณฑ์อยากแบกไปด้วย เพราะจะทิ้งก็เสียดายเปล่า ๆ แต่เด็กอายุน้อยกว่าไม่เห็นด้วย

"เจ้าน่ะหรือจะแบก" มลพูดอย่างดูถูก "ประเดี๋ยวก็ไม่ไหวเอาอีก"

กูณฑ์ชักฉุน "กะอีแค่ผลไม้ลูกเดียว ไม่สิ ไม่ถึงลูกด้วยซ้ำ คิดว่าฉันอ่อนแอปานนั้นเลยหรือไง" ถึงเขาจะเดินตามมลไม่ทัน ก็หมายความว่าเขาอ่อนแอเสียหน่อย เจ้าหมอนี่อาศัยอยู่ในป่า ยังไงก็ต้องเดินปานเร็วกว่าเขาที่เป็นคนเมืองอยู่แล้ว

"อีกไม่นานมันก็เน่า" มลว่า "เจ้าแบกไปก็เป็นภาระเปล่า ๆ อีกอย่างหนึ่งเราจะไปถึงเมืองของท้าวไวยวิกแล้ว เจ้าจะเอาไปด้วยทำไม"

แม้ว่ามลจะพูดมีเหตุผล แต่กูณฑ์ก็ยังไม่อยากยอมแพ้ เขาไม่อยากทิ้งผลไม้อร่อย ๆ แบบนี้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาจะไปถึงเมืองของไวยวิกก่อนจะถึงมื้อต่อไปหรือเปล่า เขาไม่อยากหวังน้ำบ่อหน้า

"เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองมันอยู่ไกลแค่ไหน ขืนทิ้งไปแล้วข้างหน้าไม่มีอะไรกิน จะทำยังไง"

มลถอนหายใจ "ที่นี่เป็นป่าหิมพานต์ อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ เจ้าไม่ต้องห่วง เจ้าไม่มีวันอดตายหรอก ทิ้งมันไปได้แล้ว"

"ทิ้งไปเถอะ" เคียวออกเสียงสนับสนุนมาอีกคน เขาไม่อยากเดินทางร่วมกับผลไม้เท่าไหร่ ผลไม้รสหวานย่อมล่อแมลง เขาไม่อยากให้แมลงหวี่แมลงวันมาตอมอยู่ใกล้ ๆ ตัวเขาหรอกนะ

แม้กูณฑ์จะเสียดายเพียงใด เมื่อเป็นคำขอร้องของคนรัก เขาก็ยอมทิ้งผลไม้แต่โดยดี

"แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง" มลบ่นพึมพำ

พวกเขาออกเดินทางกันต่อไปจนกระทั่งถึงทะเลสาบแห่งหนึ่ง ตอนแรกที่ฤๅษีบอกว่าให้ลอดก้านบัวไป กูณฑ์นึกสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องลอดก้านบัวดอกไหน แต่พอมาถึงทะเลสาบนี้ เขาก็รู้ทันทีว่าต้องรอลอดก้านไหน ไม่ใช่ว่าเขาฉลาดหรอกนะ แต่เพราะมีดอกบัวยักษ์อยู่ดอกเดียว ลอยเด่นเป็นสง่าอยู่ ดอกบัวนี้ใหญ่กว่าดอกบัวที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ได้รับการจดบันทึกโดยกินเนสบุ๊คเสียอีก

"ถึงสักที" กูณฑ์อุทานออกมา เขากำลังจะปรี่ไปหักก้านบัวเพื่อจะลอดลงไป แต่มลจับไหล่เขาไว้

"อย่าเพิ่งหุนหัน"

กูณฑ์สะบัดออก"อะไรของนายเนี่ย ก็ที่เจ้าตาบอกเราไม่ใช่หรือ"

"เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมืองบาดาลมีการป้องกันอะไรบ้าง"

"เราไม่ได้มาเป็นศัตรูสักหน่อย" กูณฑ์ว่า

มลถอนหายใจ "ถ้าพวกมันเข้าใจว่าเราไม่ใช่ศัตรูก็ดีสิ"

"หมายความว่าไง" กูณฑ์ซัก "ไหนเจ้าตาบอกว่าไวยวิกเป็นคนดี"

"ตั้งแต่ที่มัจฉานุทรยศบอกทางให้หนุมานตามไปฆ่าไมยราพ ท้าวไวยวิกไม่ได้เลือกใช้ทหารที่พูดจาเหมือนมนุษย์อีกแล้ว ด่านที่มีก็มีเพียงด่านยุงเท่านั้น"

พอได้ยินคำอธิบายกูณฑ์ถึงกับหัวเราะออกมา "ยุง ยุงนี่นะ"

"เจ้าอย่าได้ประมาทยุงของท้าวไวยวิกไป" มลปราม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีดูถูก

กูณฑ์โบกไม้โบกมือไปมายังคงขำไม่หยุด

"ฉันรู้ว่ายุงร้ายกว่าเสือ แต่มันตัวกระเปี๊ยกเดียว แค่ตบทีเดียวก็ตายแล้ว นายจะกลัวอะไรนักหนา"

"ตัวกระเปี๊ยกเดียวหรือ" มณทวนคำอย่างไม่อยากเชื่อ

"ยุงของท้าวไวยวิกตัวเท่าแม่ไก่" เคียวให้ข้อมูล

เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของกูณฑ์เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะแห้ง ๆ

"ก็ไม่เท่าไหร่นี่" เด็กหนุ่มพยายามพูดปลุกปลอบใจตัวเอง "เรามีกันตั้งสามคน กะอีแค่ยุงแม่ไก่ จะกลัวอะไร"

"มีตัวเดียวก็ไม่เท่าไหร่หรอก" มลว่า "แต่นี่มันมาเป็นฝูง น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟนะ"

กูณฑ์ตบบ่าเด็กชายที่เขาเอ็นดูเหมือนน้อง "อะไรกัน อะไรกัน" เด็กหนุ่มทำเสียงล้อ "แค่นี้ก็จะท้อแล้วเหรอ"

มลจับมือกูณฑ์ให้ออกจากบ่าของเขา "ข้าไม่ได้ท้อ"

"งั้นไปกันเลยสิ"

"เดี๋ยวขอฉันคืนร่างเดิมก่อน" ภูตหนังสือว่า "อยู่ร่างมนุษย์จะได้สู้สะดวก ๆ"

"ข้าลงไปก่อน" มลพูดอย่างกล้าหาญ "แล้วพวกเจ้าค่อยตามไปนะ"

มลหักก้านดอกบัวแล้วลอดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งกูณฑ์และเคียวลอดตาไปติด ๆ

ยังไม่ทันที่พวกเขาจะทันตั้งหลัก ฝูงยุงยักษ์ก็บินเข้ามารุมพวกเขา มลรีบหยิบคันศรออกมาจัดการยิงลูกธนูใส่ฝูงยุงพวกนั้น แต่เพราะมันมีจำนวนมากเกินไป และบินเข้ามาใกล้เกินกว่าอายุระยะไกลอย่างธนูจะได้ผล มลจึงตัดสินใจใช้คันศรฟาดเอาแทน ฝ่ายกูณฑ์ก็พยายามใช้พลังเวทในตัวจุดไฟเผาพวกยุงพวกนั้น แต่เพราะเขายังควบคุมพลังของตัวเองได้ไม่ดีนักจึงไม่ค่อยได้ผลอย่างที่ต้องการ

"โอ๊ย!" เคียวร้องเมื่อเปลวไฟของกูณฑ์แฉลบมาโดนตัวเขา "ระวังหน่อยสิ"

มลผู้กำลังฟาดคันศรใส่ฝูงยุง หันมาบอกกูณฑ์ "ไม่ต้องจุดไฟแล้วนะ แทนที่จะฆ่ายุง มันจะฆ่าเราเสียเอง"

แม้กูณฑ์จะไม่พอใจนัก แต่นี่ไม่ใช่เวลาเถียง เขาตัดสินใจใช้วิธีเดียวกับที่จัดการยุงที่บ้านคือตบมันเสีย ทว่ามือของกูณฑ์นั้นเล็กเกินไปสำหรับการต่อกรกับพวกยุงยักษ์ พวกมันตัวใหญ่เกินไป มีมากเกินไป ว่องไวเกินไป กูณฑ์ยังไม่ทันจัดการตัวหนึ่งได้ อีกตัวก็บินเข้ามาโจมตีทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปสนใจแทน เคียวเป็นคนเดียวที่พอจัดการได้ อาจเป็นเพราะภูตหนังสือไม่ได้มีเลือดเหมือนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ปากแหลม ๆ ของยุงจึงทำอะไรเขาไม่ได้ อีกทั้งแขนยืดได้สารพัดประโยชน์ก็ช่วยได้มาก แขนของเคียวไม่เหมือนลูกธนูของมล มันควบคุมได้อย่างอิสระมากกว่า เคียวใช้แขนของเขาหักคอยุงตายไปหลายตัว แต่นั่นเทียบไม่ได้เลยกับยุงที่ยังเหลืออยู่ ความตายของเพื่อนร่วมฝูงไม่ได้ส่งผลอะไรต่อพวกมันเลยแม้แต่น้อย ราวกับยุงพวกนี้ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่รู้จักกลัวตาย ราวกับมันถูกโปรแกรมมาให้จัดการกับผู้บุกรุกอย่างเดียว

"ถอยทัพก่อน" มลว่า ขณะที่ฟาดคันศรใส่ยุงอีกตัวหนึ่ง

พอได้ยินดังนั้นเคียวก็ยืดแขนจับมือกูณฑ์และลากอีกฝ่ายมาด้วยกัน พวกเขาหนีฝูงยุงยักษ์กันอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไม่หยุดจนกระทั่งขึ้นมาริมทะเลสาบแล้ว

"ไม่ได้เรื่องเลย" กูณฑ์ส่ายหน้า "แค่ด่านแรกก็ไม่รอดเสียแล้ว"

"เราประมาทเกินไป" มลพูดพลางหอบพลาง

เคียวยกนิ้วจิ้มที่ขมับ "ยุงกลัวแมงมุม ถ้าเรามีแมงมุมก็ดีสิ"

"อย่าบ้าน่า ถ้ายุงปกติ แมงมุมคงจัดการได้อยู่ แต่เจ้าพวกนี้เป็นยุงยักษ์นะ" กูณฑ์ว่า

"มียุงยักษ์ก็ต้องมีแมงมุมยักษ์" เคียวโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะหันไปทางมล "ใช่ไหม"

มลพยักหน้า

"เอาล่ะ เอาล่ะ ต่อให้มีแมงมุมยักษ์จริงแล้วจะมีประโยชน์อะไร ใช่ว่าเราจะขอให้พวกมันช่วยเราได้สักหน่อย แค่พูดกันยังไม่รู้เรื่องเลยมั้ง" กูณฑ์ว่า

"ข้าเคยได้ยินเรื่องนางแมงมุมที่ชื่อกุมโภทรี นางเป็นแมงมุมพันปีที่บำเพ็ญตบะจนกลายร่างเป็นครึ่งคนครึ่งแมงมุม นางอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก น่าจะพอช่วยเราได้"

กูณฑ์ตัวสั่น แต่ยุงยักษ์ก็แย่พอแล้ว นี่ต้องไปคุยกับมนุษย์แมงมุมอีก

"นายคิดว่าเธอจะยอมช่วยเราเหรอ"

แววตาของมลเป็นประกายกล้า "เราต้องเสี่ยง เราไม่มีทางเลือกอื่น"