ต้นส้มเจ้าปัญหา

แม้กูณฑ์จะไม่เห็นด้วยนัก แต่เขาก็ไม่อยากทะเลาะกับเพื่อนอีกสองคน ในเมื่อเสียงข้างมากว่าอย่างนี้ก็ต้องว่าตามกัน

"แล้วนางแมงมุมนั่นอยู่ไหน" กูณฑ์ถามเสียงอ่อน

"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน" มลตอบแบบกำปั้นทุบดิน

"อ้าว แล้วอย่างนี้.." กูณฑ์ขัดขึ้น

มลชี้ไปที่แมงมุมตัวเล็ก ๆ ที่เดินอยู่ตามพื้น

"ตามพวกมันไป"

ทั้งสามเดินตามฝูงแมงมุมไปด้วยกัน

"ตามแมงมุมไป" กูณฑ์ว่า "ฟังคุ้น ๆ ยังไงก็ไม่รู้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน"

"ก็หนังสือแฟนตาซีเล่มนั้นไง" เคียวว่า "ที่เป็นพ่อมดน่ะ"

กูณฑ์หน้าซีดเมื่อคิดขึ้นได้ ใช่แล้ว นิยายโรงเรียนเวทมนตร์ที่โด่งดัง พระเอกกับเพื่อนพระเอกตามแมงมุมไปแล้วก็เกือบตายเพราะแมงมุมจะกินพวกเขา แต่เพราะพวกเขาเป็นพระเอกจึงรอดมาได้ แต่นั่นมันคือนิยาย นี่คือชีวิตจริง กูณฑ์มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้มีสกิลพระเอกแน่ เขาชะงัก ไม่กล้าก้าวต่อไป

"ตามมาเร็ว ๆ สิ" มลที่เดินนำหน้าหันมาเรียก "ชักช้าอยู่ได้"

"นายแน่ใจนะว่าเราจะไม่โดนแมงมุมยักษ์กิน" กูณฑ์ถาม

"มาเร็วเถอะน่า" มลไม่ตอบ แต่กลับเร่งแทน

ในที่สุดกูณฑ์ก็ไปต่ออย่างไม่เต็มใจนัก ทางเดินช่วงนี้เริ่มมีกลิ่นหอมของส้มช่วยให้ผ่อนคลายอารมณ์อยู่ไม่ใช่น้อย กูณฑ์เริ่มอารมณ์ดีขึ้น แม้จะยังกังวลอยู่บ้างก็ตาม

เมื่อสามสหายมาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง พวกเขาก็เห็นว่าพวกแมงมุมเล็ก ๆ นั่นต่างพากันเข้าถ้ำ แต่พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงเขาไปในถ้ำจึงได้แต่ยืนรออยู่ข้างนอก

"เอาไงดี" กูณฑ์ถาม เขาพยายามมองเข้าไปในถ้ำ แต่ข้างในมืดมากและแทบไม่เห็นอะไรเลย

"ลองตะโกนดูดีไหม" เคียวเสนอความเห็น

มลเม้มปากก่อนจะพยักหน้า เมื่อเคียวเห็นว่าอีกฝ่ายอนุญาต เขาก็ตะเบ็งเสียงทันที

"คุณแมงมุมอยู่ไหม มีคนมาหา"

เสียงของเคียวดังมากจนกูณฑ์ระแวงว่าถ้ำจะถล่ม เขาเหลือบมองข้างบนอย่างไม่ค่อยวางใจ

"มีธุระอะไรกับข้า" นางแมงมุมโผล่ออกมา จากส่วนหัวลงไปถึงเอวเป็นผู้หญิงสวย แต่หลังจากเอวลงไปเป็นแมงมุมตัวใหญ่ยักษ์ ขาแปดขาของนางยุ่บยั่บ

เคียวผู้เป็นตัวตั้งตัวตีเรียกเธอออกมาเมื่อกี้ ถอยหลังไปหลบหลังมล ก่อนจะผลักเด็กชายออกไปข้างหน้า

"เขามีธุระกับคุณครับ" เคียวเอาตัวรอด

นางแมงมุมมองสำรวจมลตั้งแต่หัวจรดเท้า "มีอะไร"

"ข้าสงสัยว่าท่านจะช่วยเราจัดการยุงแม่ไก่ของท้าวไวยวิกได้หรือไม่"

"กับอีแค่ยุงแม่ไก่ ทำไมข้าจะจัดการไม่ได้" นางแมงมุมพูดอย่างยโส

เมื่อกูณฑ์ได้ฟัง เขาก็โล่งใจ นึกว่าเรื่องจะยากกว่านี้เสียอีก

"งั้นคุณก็จะไปจัดการให้เราใช่ไหมครับ"

ตาของนางแมงมุมละจากมลมาสำรวจกูณฑ์

"ทำไมข้าต้องทำด้วย"

"อ้าว ก็ไหนเจ๊บอกว่าทำได้"

นางแมงมุมกับมลไม่เข้าใจคำว่าเจ๊ แต่เคียวเข้าใจ เขาหลุดขำพรืดออกมา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงไอยังไม่ค่อยแนบเนียนนัก

"ระวังตัวไว้ให้ดี" นางแมงมุมขู่คำราม ขยับขาทั้งแปดไปมาเป็นเชิงขู่

"ต้องขออภัยแทนสหายของข้าด้วย" มลพูดอย่างขอโทษขอโพย ก่อนจะหันไปส่งสายตาตำหนิให้เพื่อนไม่รู้ความของเขา "แต่พวกข้าจำเป็นต้องการความช่วยเหลือจากท่านจริง ๆ"

นางแมงมุมยกนิ้วจดริมฝีปาก "แล้วพวกเจ้าจะให้อะไรเป็นการตอบแทนเล่า"

กูณฑ์ผายมือทั้งสองข้างออก "เจ๊อยากได้อะไร ก็ว่ามาเลย"

กุมโภทรีหรี่ตามองอย่างสนใจ มนุษย์ผู้นี้กล้าหาญใช่เล่น อย่างนี้ค่อยน่าสนุกหน่อย

"อะไรก็ได้งั้นหรือ" เธอชี้มือไปที่เคียว "หากข้าต้องการภูตตนนั้นจะได้หรือไม่เล่า"

กูณฑ์ยกกำปั้นขึ้น "เป็นผู้หญิง ผมก็ต่อยได้นะ" เขาคำราม จะแตะต้องอะไรก็ได้ แต่อย่ามายุ่งกับเคียวของเขา

นางแมงมุมส่งยิ้ม แต่รอยยิ้มของนางไม่ได้มีความเป็นมิตรเลย แต่กลับทำให้นางดูเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ

"เจ้าเพิ่งบอกเองว่าอะไรก็ได้"

กูณฑ์กำลังจะโต้ แต่เคียวบีบมือเขาไว้ พร้อมสั่นหัวน้อย ๆ เป็นเชิงเตือนไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่าม พวกเขาอยู่ในถิ่นของนาง ไม่ควรจะก่อศัตรูโดยไม่จำเป็น

มลโค้งคำนับให้ปีศาจแปดขา "ต้องขออภัยท่านด้วย สหายของข้ามาจากอารยธรรมภายนอก เขาไม่คุ้นชินวิถีชีวิตของเรา"

กุมภโทรีพอใจในท่าทางสุภาพอ่อนน้อมของมล

"เจ้าก็แนะนำสหายด้วย ไม่ใช่ปีศาจทุกตนจะใจดีเหมือนข้าหรอกนะ"

"ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง" มลพูดย้ำ เขาหันไปทางกูณฑ์เป็นเชิงเตือน

กูณฑ์ก้มหัวลงเล็กน้อย "ขอโทษครับ"

"เรื่องที่เจ้าจะให้ข้าไปสังหารพวกยุงยักษ์ ข้าก็พอช่วยเจ้าได้อยู่ แต่เจ้าต้องทำอะไรตอบแทนข้าบ้าง"

"ทำอะไร" กูณฑ์ถามอย่างระแวง

"ตอนที่พวกเจ้าเดินมาถึงถ้ำนี่ ได้เจอต้นไม้พิษบ้างหรือไม่"

ทั้งสามสหายมองหน้ากัน ก่อนจะส่ายหน้า

"ไม่เห็นจะเจอต้นไม้พิษอะไร เจอแต่ต้นส้ม หอมดี" กูณฑ์ว่า

นางแมงมุมทำท่าขยะแขยง "นั่นแหละต้นไม้พิษ พวกเจ้าต้องจัดการมันให้ข้าเสีย แล้วข้าถึงจะไปด้วย"

"ขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านต้องการ" มลรีบพูด ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะก่อเรื่องอะไรอีก

พวกเขาเดินย้อนกลับมาทางเดิมจนถึงต้นส้ม

"ให้จัดการมันเนี่ยนะ" กูณฑ์พูดอย่างเสียดาย "ก่อนจัดการ ขอกินสักผลสองผลก่อนได้หรือเปล่า นางแมงมุมเป็นบ้าอะไร ต้นส้มมันมีพิษที่ไหน"

"สัตว์จำพวกแมงมุมไม่ถูกกับพวกส้ม พวกนี้ไม่ชอบกลิ่นมัน" เคียวว่า

"ไม่ยักกะรู้มาก่อน ถ้ากลับบ้านจะเอาส้มมาวางให้เต็มบ้าน พวกแมงมุมน่าขยะแขยงจะตาย" กูณฑ์ว่า

"ขอความช่วยเหลือจากเขา แล้วยังไปว่าเขาน่าขยะแขยงอีก มนุษย์นี่นะ" มลส่ายหน้า

"เอายังไงก็เอา นายมีขวานเหรอ ใช้ลูกศรโค่นมันได้ไหม" กูณฑ์ตัดบท เขาไม่อยากฟังคำเทศน์ของอีกฝ่ายเท่าไหร่

"ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่การโค่น ต้นไม้แบบนี้ ย่อมมีเจ้าของสถิต เราไม่อยากก่อศัตรูโดยไม่จำเป็น"

"แล้วจะเอายังไง" กูณฑ์ว่า เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง ไอ้นู่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ชีวิตในหิมพานต์ช่างอยู่ยากเสียจริง

มลไม่ตอบ แต่หันมาทางเคียว

"เจ้าเป็นภูต น่าจะมองเห็นอะไรที่เรามองไม่เห็นนะ"

"อือ" เคียวรับคำ "นางไม้ที่อยู่ในต้นนี้ยังเด็กอยู่เลย คงไม่มีฤทธิ์อะไรมาก"

"มันไม่เกี่ยวกับฤทธิ์มากฤทธิ์น้อย เราจะไม่รังแกผู้อื่น เจ้าช่วยเจรจาให้หน่อยว่าให้นางย้ายไปอยู่ต้นอื่นได้ไหม"

"จะลองดู" พอรับคำเสร็จ เคียวด็เหาะขึ้นไป

เป็นการเจรจาที่ประหลาดมากในสายตาของกูณฑ์ เพราะเขาเห็นแต่ท่าทางของเคียวเท่านั้น ไม่ได้เห็นฝ่ายตรงข้ามด้วย แต่ถึงจะเห็นแค่นั้น เขาก็รู้ว่าการเจรจานี้ไม่ประสบความสำเร็จ เคียวกลับมาสู่พื้นดินด้วยท่าทางหงุดหงิด

"เธอบอกว่าไม่รู้จะย้ายไปอยู่ที่ไหน ต้นไม้ต้นอื่น ๆ ก็มีคนจองหมดแล้ว ถ้าเราโค่นต้นไม้ของเธอ เธอก็จะต้องเร่ร่อน"

กูณฑ์ยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมขมับ ทำไมถึงมีแต่เรื่องราวไม่หยุดหย่อนอย่างนี้เนี่ย แล้วเมื่อไหร่เขาจะได้กลับไปหาพ่อกับแม่กันล่ะ

"งั้นเราไม่ต้องโค่นก็ได้ไหม" กูณฑ์ออกความเห็น "เราย้ายไปปลูกที่อื่นก็ได้"

"เจ้าจะย้ายเยี่ยงไร" มลถาม

"เรื่องนี้เคียวต้องรู้อยู่แล้ว" ร่างอวตารเทพอัคนีโบ้ยไปให้เพื่อนทันที

เคียวร้อง "อ้าว" เบา ๆ เมื่อโดนโยนภาระมาให้ ภูตหนังสือพยายามเค้นสมอง คิดถึงวิธีย้ายต้นส้ม

"ก่อนอื่นเราต้องขุดมันขึ้นมาก่อน" เคียวว่า แต่น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยแน่ใจนัก "เสร็จแล้วก็หาที่เหมาะ ๆ ฟังลงดินอีกที"

"ขุดยังไง" กูณฑ์ถาม "เราไม่มีจอบสักหน่อย"

"เหอะ" มลทำเสียงดูถูก "เรื่องขุดน่ะ ไม่ใช่ปัญหาหรอก แค่มีคันศรกับลูกธนูนี่ ข้าทำได้แม้กระทั่งสร้างปราสาทราชวังด้วยซ้ำ"

แม้จะรู้ว่าเป็นพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ กูณฑ์ก็อดแลบลิ้นใส่ไม่ได้ ขี้โม้เป็นบ้าเลย เจ้าหมอนี่

"ข้าทำได้จริง ๆ" มลว่า เมื่อเห็นว่ากูณฑ์ไม่เชื่อตน

"เดี๋ยวก่อนนะ" เคียวร้องขึ้นมา "ถ้ามลทำแบบนั้นได้ ทำไมไม่ปลูกศาลให้เธออยู่ตรงนี้เลยล่ะ จะได้ไม่ต้องยุ่งยากด้วย"

"จริงด้วย" กูณฑ์หันไปยักคิ้วให้มล "ยิงธนูให้ออกมาเป็นศาลน่ะทำได้หรือเปล่า หรือว่าดีแต่โม้"

ครั้งนี้มลดูไม่มั่นใจเหมือนเคย เขาเคยเรียนธนุรเวชมาก็จริง และเคยยิงธนูออกมาเป็นสิ่งมหัศจรรย์จำนวนมาก แต่ทุกครั้งที่มันออกมา เจ้าตาก็ให้เขาจัดการกำจัดทิ้งทุกครั้ง เขาไม่แน่ใจว่าของที่เกิดจากลูกธนูวิเศษจะอยู่ได้นานสักแค่ไหน

"ข้าทำได้ แต่ข้าไม่แน่ใจว่ามันจะอยู่ได้นานแค่ไหน" มลสารภาพมาตามตรง

"มันไม่ได้อยู่ไปตลอดเหรอ" กูณฑ์ว่า แต่แล้วเขาก็ยักไหล่ "ช่างเถอะ ขอให้อยู่ได้ถึงวันที่ฉันไปแล้วก็พอ"

"เดี๋ยวฉันไปคุยเจรจากับเธออีกที" เคียวว่า โดยไม่รอคำตอบจากเพื่อนทั้งสอง ภูตขึ้นไปเปิดฉากเจรจากับนางไม้อีกครั้ง

"เธอบอกว่าตกลง แล้วก็ฝากขอบใจพวกนายด้วย ส่วนเรื่องที่ศาลจะอยู่ได้ไม่นาน ไม่ต้องห่วงเลย เธอจะติดต่อท้าวเวสสุวรรณให้หาต้นไม้ให้เธอใหม่ ศาลนี้เป็นแค่ที่สถิตชั่วคราวเฉย ๆ"

"ท้าวเวสสุวรรณเกี่ยวอะไร" กูณฑ์ถาม ท้าวเวสสุวรรณน่าจะเป็นเทพที่คนรู้จักดี เพราะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งทรัพย์ คนจึงนิยมบูชากันมาก ใคร ๆ ก็อยากมีเงินเยอะ ๆ ทั้งนั้นแหละ

"ก็ท้าวเวสสุวรรณท่านมีหน้าที่จัดสรรวิมานต้นไม้ให้พวกรุกขเทวาพวกนี้นี่" เคียวตอบ ก่อนหันไปหามล "จัดการเลย"

และมลก็ทำตาม เขาอาศัยลูกธนูเพียงสองดอก ดอกหนึ่งใช้โค่นต้นไม้ อีกดอกหนึ่งยิงออกไปเป็นศาล หากกูณฑ์ไม่เห็นกับตา เขาคงไม่เชื่อเป็นอันขาด

"ว่าแต่ลูกธนูนายไม่หมดหรือ" เคียวถาม เขามองมลอย่างชื่นชม

"แล่งลูกศรนี่สามารถเรียกลูกศรที่ยิงออกไปแล้วกลับมาที่แล่งได้ทุกครั้ง

"พูดอย่างกับนิยาย" กูณฑ์ประชด เขารู้สึกหมั่นไส้มลนิดหน่อย ทำไมต้องเก่งไปเสียทุกอย่างด้วยนะ แล้วเคียวเองก็ดันไปชื่นชมอีก ถ้าเขาไม่ระวัง เคียวก็อาจไปหลงเสน่ห์หมอนี่เอาก็ได้

"นิยายที่พวกเจ้าอ่านก็มาจากเรื่องจริงของพวกเราทั้งนั้นแหละ" มลว่า