ทันทีที่เจ้าเมืองสั่งแบบนั้น ทุกคนก็ต่างจัดการทำงานของตัวเองเพื่อให้ขบวนเสด็จฯ ครั้งนี้สวยงามที่สุด พวกนางกำนัลต่างแต่งองค์ทรงเครื่องกันเต็มที่ ทุกคนต่างวุ่นวายจนไม่มีใครสังเกตเด็กทั้งสามอีก ดังนั้นพวกเขาจึงเดินเตร่กันตามสบาย กูณฑ์คิดว่ามัจฉานุออกจะประมาทไปหน่อย เพราะบางทีพวกเขาอาจจะเป็นศัตรูก็ได้ แต่เคียวบอกว่ามัจฉานุไม่ได้ประมาทหรอก แต่คงเห็นว่าพวกเขากระจอกมากกว่าเลยไม่สนใจ
"ผมขอถามอะไรหน่อยสิ" กูณฑ์ถามนางกำนัลคนหนึ่ง "ทำไมต้องแต่งตัวกันเสียขนาดนี้ด้วย"
นางกำนัลหันไปหัวเราะคิกคักกับเพื่อนก่อนจะหันมาตอบ
"นาน ๆ จะได้ออกนอกเมืองที ก็ต้องแต่งให้สวยไว้ก่อนสิ"เธอมองกูณฑ์ด้วยสายตาที่เหมือนมองเด็กน้อยไร้เดียงสา
"ก็ใช่ แต่ช่วงนี้น้ำท่วมนะ" กูณฑ์ว่า "เดี๋ยวเครื่องประดับก็เปียกน้ำเอาหรอก"
นางกำนัลหัวเราะอีกครั้ง "เราไปทางฟ้า น้ำท่วมไม่ถึงหรอก"
"เหาะเป็นด้วยเหรอครับ" กูณฑ์ถาม
"แน่นอน ใคร ๆ ก็เหาะเป็นกันทั้งนั้น อย่าบอกนะว่าเจ้าทำไม่เป็น" เธอเลิกคิ้ว
กูณฑ์หัวเราะแห้ง ๆ ไม่ตอบอะไร
"เอาล่ะ ได้เวลาเดินทางแล้ว" มัจฉานุประกาศ " แล้วทั้งขบวนก็ขึ้นสู่ท้องฟ้า ทิ้งให้เด็กทั้งสามเงยหน้าขึ้นมอง
"อ้าว ทำไมพวกเจ้าไม่ขึ้นมาล่ะ" มัจฉานุก้มลงถาม
"ขอเดชะ" มลตะเบ็งเสียงตอบ "สหายของกระหม่อมไม่สามารถเหาะได้ และกระหม่อมก็ไม่อาจทิ้งพวกเขาได้พระเจ้าค่ะ"
มัจฉานุหันไปกระซิบอะไรกับวานรตัวเขื่อง ก่อนที่วานรตัวนั้นจะลงมา เขาขยายร่างใหญ่ ยื่นมือมาให้
"ผู้ใดเหาะไม่เป็น เชิญขึ้นมาเถิด"
กูณฑ์ลังเล แต่เคียวดันหลังให้เขาขึ้นไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้เวลาออกเดินทางกันจริง ๆ สักที
การเดินทางขากลับสะดวกสบายกว่าขามามาก ประการหนึ่งเพราะชาวเมืองมลิวันรู้เส้นทางไปเมืองบาดาลอย่างดี ไม่ต้องงมโข่งเหมือนกับพวกเด็ก ๆ อีกประการหนึ่งเพราะพวกเขาเหาะลัดฟ้าไปจึงประหยัดเวลากว่าการเดินลุยน้ำมาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ต้องเจอฝูงยุงยักษ์อีก เพราะขบวนของชาวมลิวันไปอีกทางหนึ่ง
เมื่อมัจฉานุเจอกับไวยวิก ทั้งคู่ต่างทักทายกันด้วยดี ไวยวิกจัดงานเลี้ยงต้อนรับน้องชายคนละพ่อคนละแม่อย่างยิ่งใหญ่ ทำให้เด็กทั้งสามพลอยมีลาภปากไปด้วย
"ขอบคุณท่านมากที่อุตส่าห์พาน้องเรามาส่ง" ไวยวิกพูดกับเด็กทั้งสามเป็นการส่วนตัว หลังจากที่มัจฉานุกับชาวเมืองมลิวันไปพักผ่อนแล้ว
"ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ" มลว่า
"แล้วไหนล่ะ เสาที่สัญญาไว้" กูณฑ์ทวงทันที
ไวยวิกยิ้ม "ตามเรามาสิ"
เด็กทั้งสามเดินตามไปอย่างเชื่อฟัง ไวยวิกหยุดอยู่หน้าเสาต้นหนึ่ง
"นี่คือเสาค้ำของเรา เชิญเอาไปได้เลย"
เด็กทั้งสามเงยหน้าขึ้นมองเสา เสามีขนาดใหญ่มากชนิดที่ว่าเด็กทั้งสามต่อตัวกันยังไม่สูงเท่าเลย พวกเขาจะแบกไปได้อย่างไร
"ทำไมมันใหญ่ขนาดนี้เนี่ย" กูณฑ์อุทาน
ไวยวิกหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู "ท่านคิดว่าเสาที่ต้องค้ำเมืองบาดาลไว้ต้องมีขนาดเท่าไหร่"
"นายใช้ธนูยิงเอาไม่ได้เหรอ" กูณฑ์ถามมลอย่างมีความหวัง
มลส่ายหน้า "ยิงก็พัง เราต้องการเสาทั้งต้น"
"แต่เราแบกไปทั้งต้นไม่ไหวหรอก ให้พังแล้วไปต่อเอาทีหลังไม่ได้เหรอ"
"เจ้าจะใช้อะไรต่อ" มลถาม
"ก็…" กูณฑ์อับจนคำพูด
มลยิ้มเยาะ "เห็นไหมล่ะ"
"แล้วนายมีความคิดที่ดีหรือไง"
"ไม่มี" มลตอบสะบัด ๆ
เคียวไม่ฟังที่เพื่อนทั้งสองเถียงกัน เขาเดินไปใกล้เสา ก่อนจะพูดว่า
"จงเล็กลง"
"ไม่เอาน่า" กูณฑ์ว่าอย่างนึกขำ เคียวคิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษหรือไงนะ
ทว่าเสาเล็กลงจริง ๆ มันค่อย ๆ หดสั้นลงเรื่อย ๆ จนได้ขนาดพอเหมาะ
"พอได้แล้ว" เคียวสั่งอีกครั้ง เขาหยิบเสาที่ตอนนี้ขนาดเหมาะมือออกมาโชว์ให้เพื่อนทั้งสองดู ก่อนจะยิ้มแป้น
"เจ้าทำได้อย่างไร" มลถาม ยังคงจ้องเสาไม่วางตา
เคียวยักไหล่ "ก็แค่ลองดู เคยอ่านมาในเรื่องไซอิ๋วน่ะ"
"ฉันอยากหอมนายจริง ๆ ให้ตาย" กูณฑ์ว่า
เคียวจุ๊บกูณฑ์เบา ๆ ที่แก้ม เด็กหนุ่มค้างไปเลย
"ไปกันได้แล้ว" เคียวว่า ก่อนจะเดินออกไปอย่างร่าเริง
กูณฑ์ลูบแก้มที่ถูกจูบ "เมื่อกี้เคียวจูบฉันหรือเปล่า" เขาถามอย่างเหม่อลอย
"ก็คงใช่" มลกัดฟันตอบ
ไวยวิกหัวเราะ "พวกเด็กหนุ่ม ๆ นี่ดีจังเลยนะ"
มลหันไปโค้งคำนับให้อีกฝ่ายอีกครั้ง "ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ พวกกระหม่อมขอทูลลา"
"ท่านต้องการอะไรอีกไหม" ไวยวิกถามอย่างใจกว้าง
"พวกเราไม่.." มลตอบปัดด้วยความเกรงใจ แค่ขอเสาค้ำเมืองเขาก็รบกวนมากพอแล้ว เขาไม่กล้าขออะไรเพิ่มหรอก หากแต่กูณฑ์กลับเห็นเป็นโอกาส
"ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป ขอเรือยนต์สักลำจะดีมากเลยครับ" กูณฑ์ว่าพลางถูมือไปมาอย่างมีความหวัง
"เรือยนต์หรือ" ไวยวิกทวนคำ "มันคืออะไร"
"มันก็คือเรือที่แล่นได้เองโดยไม่ต้องพายน่ะครับ" กูณฑ์อธิบาย
เจ้าเมืองบาดาลทำเสียงรับในลำคอ "ได้ เดี๋ยวเราจะจัดให้"
กูณฑ์ยกมือไหว้ "ขอบคุณมากครับ"
"เจ้านี่จริง ๆ เลย" มลตำหนิเพื่อนเมื่อไวยวิกออกไปเตรียมเรือให้ "ไม่รู้จักเกรงใจเขาเสียบ้าง"
กูณฑ์ยักไหล่ "ความจริงใจเป็นสมบัติของผู้ดี แต่เผอิญฉันไม่ใช่ผู้ดีน่ะ"
ในที่สุดสามสหายก็ได้เรือมาลำหนึ่ง แม้มันจะไม่ใช่เรือยนต์อย่างที่เคยเห็นในปัจจุบัน แต่ก็เป็นเรือที่แล่นได้ด้วยเวทมนตร์ สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือคอยควบคุมทิศทางให้มันเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วเรือนี้ก็แล่นไปได้เอง
"จุดหมายต่อไปของเราคืออะไร" กูณฑ์ถามขึ้น
"เกาะของนางเวมานิกเปรต" มลตอบ
"เกาะของนางเป็นยังไง" กูณฑ์ถาม
"หากเป็นช่วงที่นางเสวยผลบุญ เกาะของนางก็จะมีความงดงามไม่ต่างจากสวรรค์ หากเป็นช่วงที่นางเสวยผลบาป เกาะของนางก็จะเป็นเกาะร้างน่ากลัว"
"ขอให้เราเข้าไปช่วงนางเสวยผลบุญเถอะ" กูณฑ์ว่า
มลส่ายหน้า "ข้าอยากให้เราเข้าไปในช่วงที่นางเสวยผลบาปอยู่มากกว่า"
"ทำไมล่ะ" กูณฑ์ถาม สำหรับเขาแล้วเข้าไปในเกาะสวรรค์ ยังไงก็ฟังดูดีกว่าเข้าไปในเกาะร้างน่ากลัว
"เพราะเราจะได้รีบเก็บผลมะม่วงทองและรีบกลับน่ะสิ" มลว่า "แต่ถ้าเราเข้าไปช่วงเกาะสวรรค์ เราอาจจะหลงระเริงกับเกาะนั้นจนไม่อยากออกมาก็ได้ นางเวมานิกเปรตตอนรับผลบุญก็งดงามไม่ต่างจากนางฟ้าเลย"
"ไม่หรอกมั้ง" กูณฑ์ว่าพลางชำเลืองมองไปที่เคียว "นางฟ้ากี่องค์ ฉันก็ไม่สนหรอก ฉันไม่มีวันเห็นใครงดงามไปกว่าเคียวอีกแล้ว"
"มันไม่ใช่แค่รูปน่ะสิ" มลว่า "ไหนจะเสียง กลิ่น รส สัมผัส ล้วนแต่ยั่วยวนให้เจ้าอยากอยู่ต่อ ถ้าไม่จำเป็นเจ้าอย่ากินอะไรในนั้นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะออกมาไม่ได้"
"ทำไมล่ะ" เคียวที่นั่งฟังอยู่นานถามขึ้น "เหมือนกับฮาเดสเหรอ"
มลทำหน้าไม่เข้าใจ "ข้าไม่ได้เอาฮา ข้าพูดเรื่องจริง"
กูณฑ์ปล่อยก๊ากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ หากเป็นเรื่องหิมพานต์มลจัดเป็นผู้รอบรู้คนหนึ่ง แต่ตำนานเรื่องอื่นมลรู้น้อยมาก อาจจะรู้น้อยกว่าคนไม่ชอบอ่านหนังสืออย่างกูณฑ์เสียอีก
เคียวมีมารยาทพอที่จะไม่หัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนเพื่อนมนุษย์ หากแต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แม้จะรู้ว่าคนอายุน้อยกว่าไม่มีทางรู้ตำนานต่างประเทศก็ตามที
มลรู้ว่าเพื่อนทั้งสองกำลังหัวเราะเยาะตนอยู่ก็เริ่มไม่พอใจ "อะไรของเจ้า ข้าไม่ใช่จำอวดนะ"
ในที่สุดเคียวก็อธิบายเรื่องฮาเดสให้วิทยาธรน้อยฟัง "ฮาเดสเป็นเจ้าครองยมโลก วันหนึ่งเขาขึ้นมาเที่ยวบนแผ่นดินแล้วโดนศรรักกามเทพปักอก เขาเลยหลงรักนางเพอร์ซีโฟโร่แล้วก็ลักพาตัวเธอมาเฉย ๆ เสียอย่างนั้น"
มลขมวดคิ้ว "ฮาเดสนี่เป็นรากษสเหรอ"
เคียวเลิกคิ้ว "ไม่ใช่มั้ง ในตำนานบอกเขาเป็นเทพนี่" ถึงจะพูดไปแบบนั้นเคียวก็ไม่แน่ใจนัก ไม่มีใครเคยทำตำนานเปรียบเทียบสิ่งมีชีวิตในตำนานของอินเดียกับกรีกมาก่อน หรืออย่างน้อย ๆ เคียวก็ไม่เคยรู้ว่ามี
"เป็นเทวดากลับฉุดผู้หญิง" มลว่าอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"เสร็จแล้ว พอฉุดไปใช่ไหม โลกวุ่นวายใหญ่ เพราะเธอเป็นลูกสาวคนโปรดของเทพีดีมิเตอร์ เทพีแห่งฤดูกาลและการเก็บเกี่ยว คือเทพีดีมิเตอร์นี่จะคอยดูแลพื้นดินให้อุดมสมบูรณ์ พอลูกโดนฉุดไปก็ไม่มีแรงจะทำงาน ก็เลยกลายเป็นฤดูหนาว พื้นดินแห้งแล้งหมด ร้อนถึงซุสต้องมาช่วย"
"ซุสนี่ใคร" มลถาม
"ซุสเป็นเทพสูงสุดของกรีก เป็นน้องชายของฮาเดส และเป็นพ่อของเพอร์ซิโฟเน่ด้วย"
"เดี๋ยวก่อนนะ" กูณฑ์ขัดขึ้นหลังจากลำดับญาติในหัวเสร็จ "หมายความว่าฮาเดสเอาหลานตัวเองเป็นเมียเหรอ"
เคียวพยักหน้า
กูณฑ์สะอิดสะเอียน "แหวะ แค่ฉุดผู้หญิงก็ว่าแย่แล้ว ดันเอาหลานตัวเองเป็นเมียอีก เหลือเชื่อเลย"
เคียวยักไหล่ "มันช่วยไม่ได้ ตำนานเทพกรีกก็อย่างนี้ อีกอย่างหนึ่งมันก็มีเทพเทพีอยู่ไม่กี่องค์ ก็แต่งวน ๆ กันในนั้นแหละ"
"แล้วอย่างไรต่อ" มลถาม
"ซุสก็เลยส่งเฮอร์มีสไปกล่อม ฮาเดสเลยยื่นข้อเสนอว่าถ้าเธอกินเมล็ดทับทิมกี่เมล็ดก็จะให้อยู่ในนรกตามนั้น เพราะว่าถ้าใครกินของยมโลกก็จะเป็นของยมโลกน่ะ ช่วงเวลาที่เพอร์ซิโฟเน่อยู่กับฮาเดสเลยเป็นช่วงฤดูหนาวไง ฉันก็เลยถามว่าถ้าเรากินอาหารของเปรตพวกนั้น เราต้องเป็นคนของที่นั่นไปเลยหรือเปล่า"
มลส่ายหน้า "ไม่ใช่ แต่เจ้าจะหลงในรสของอาหารจนไม่อยากออกมา"
กูณฑ์ชกเพื่อนเบา ๆ ที่ไหล่เป็นเชิงหยอก "ฉันไม่ใช่พวกตะกละ ไม่เป็นไรหรอก"
"ว่าแต่เราจะรู้ได้ไงว่าเกาะนั่นอยู่ไหน" เคียวถาม เอาจริง ๆ ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ มองไปทางไหนก็มีแต่น้ำกับฟ้า โชคยังดีที่ไวยวิกเมตตาให้เสบียงอาหารมามากพอสมควร
"เท่าที่ข้ารู้วิมานของเวมานิกเปรตอยู่ริมสระอโนดาต"
"แล้วสระที่ว่านั่นอยู่ที่ไหนกันล่ะ" กูณฑ์ย้อน
มลชี้นิ้ว เพื่อนทั้งสองหันไปดู
"พวกเจ้าเห็นภูเขาที่มียอดทอง ๆ นู่นไหม" เมื่อเพื่อนทั้งสองรับว่าเห็น วิทยาธรน้อยจึงอธิบายต่อไปว่า "นั่นคือเขาสุทัสสนะ เป็นทองทั้งลูก เป็นหนึ่งในห้าเขาที่ล้อมรอบสระอโนดาตอยู่"
"อยู่ใจกลางภูเขาทั้งห้าเลยเหรอ คงใหญ่น่าดู" กูณฑ์พูดอย่างทึ่ง ๆ
"เป็นหนึ่งในเจ็ดสระใหญ่ของป่าหิมพานต์" มลโอ่
เคียวหรี่ตามอง "มันดูเหมือนไม่ไกลเลยนะ"
มลหัวเราะ "แต่ความจริงแล้วมันไกลมาก ข้าได้แต่หวังว่าเสบียงของเราจะไม่หมดกลางทางนะ"
กูณฑ์หัวเราะแห้ง ๆ "ไม่หรอกมั้ง" เขาหวังว่านะ เพราะถ้าเสบียงหมด เขานี่แหละจะตายคนแรก