เทพารักษ์จอมวุ่น

"พวกเราอยู่ที่ไหนกันแล้วเนี่ย" กูณฑ์ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าพ้นรัศมีเกาะสยองขวัญมาได้แล้ว

มลเงยหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะส่ายหน้า

"อยู่ในสระอโนดาตแบบนี้ บอกทิศทางไม่ได้หรอก ภูเขาบังไม่ให้แสงอาทิตย์แสงจันทร์ส่องมาที่นี่"

"อ้าว แล้วจะทำยังไง" กูณฑ์ถาม

"ไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน" มลบอกอย่างไม่มีทางเลือก

"ชักหนาวแล้วสิ" กูณฑ์ว่า ลมหนาวที่พัดมาทำให้เด็กหนุ่มตัวสั่น ฟันกระทบกัน

เคียวยืดมือมากอดเพื่อนไว้ "ฉันอยู่นี่ เป็นไออุ่นให้นายได้นะ"

"ขอบใจ"

มลพ่นลมหายใจออกทางจมูก "ถ้าหนาวมากขนาดนั้น จุดไฟไม่ดีกว่าหรือ เราจะได้มองเห็นทางข้างหน้าด้วย"

กูณฑ์แลบลิ้นใส่ โชคดีที่มลมองไม่เห็น

เคียวคิดว่ามลน้อยใจจึงเอื้อมแขนมากอดเด็กชายด้วย "ฉันก็เป็นไออุ่นให้นายได้เหมือนกัน"

มลหน้าร้อนผ่าว นึกขอบคุณที่พวกเขาอยู่ในสระอโนดาตทำให้ไม่มีใครเห็นแก้มแดง ๆ ของเขา

"ไร้สาระ แต่ข้าคิดว่าอย่างไรเจ้าก็ควรจุดไฟนะ เราจะได้พอมองเห็นอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าตอนนี้พ้นเขตสระอโนดาตหรือยัง"

เคียวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า "คงพ้นแล้วล่ะ"

มลเงยหน้าขึ้นมองตามแล้วก็ต้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเห็นแสงสีทองพาดผ่านท้องฟ้า เป็นสัญลักษณ์ว่าพระอาทิตย์กำลังเสด็จออกจากวิมาน

"แย่แล้ว พระอาทิตย์" มลนวดขมับตัวเอง

กูณฑ์เงยหน้าขึ้นมองตาม "จริง ๆ ด้วย นี่เราติดอยู่ในสระอโนดาตทั้งคืนเลยเหรอ ทำไมฉันไม่รู้สึกเหนื่อยเลย"

"มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ" มลว่า "เจ้าจำได้ไหมว่าเรามาขึ้นเรือกันอย่างไร"

กูณฑ์ขมวดคิ้ว "เราก็เดินขึ้นมาน่ะสิ"

"เรือมันจอดอยู่กลางน้ำ แล้วเจ้าเดินขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ"

กูณฑ์พยายามเค้นสมองถึงเรื่องตอนนั้น แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ใครมันจะไปจำได้ล่ะ โดนผีเปรตไล่หลังมาขนาดนั้น

"ใช่" เคียวพูด "ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเราวิ่งกันตับแลบ แต่ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้เดี๋ยวนี้เองว่าทำไมเราถึงไม่เปียกน้ำเลย"

มลพยักหน้า

กูณฑ์มองหน้าเพื่อนทั้งสองสลับกันไปมา "ฉันไม่เข้าใจ"

มลถอนหายใจ "เจ้าคิดว่าตัวเองเดินบนน้ำได้หรือ เจ้าไม่เคยเรียนเวทมนตร์ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก เจ้าเดิมบนน้ำได้ เพราะน้ำกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้วต่างหาก เราเข้าสู่ฤดูหนาวกันแล้ว โชคดีนะที่เรือของท้าวไวยวิกแล่นได้ทั้งบนบกและในน้ำ ไม่อย่างนั้นจะแย่ยิ่งกว่านี้อีก"

"จะเป็นไปได้ยังไง ฝนเพิ่งตกมาไม่กี่วันนี้เอง ฤดูในหิมพานต์เปลี่ยนเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ" กูณฑ์ถามอย่างไม่อยากเชื่อ

"ฤดูในหิมพานต์ก็มีเท่าฤดูในโลกมนุษย์นั่นแหละ แต่ว่า.." มลหยุดพูดกลางคัน เขาไม่อยากพูดต่อไปเลย เพราะมันทำให้ดูจริงจังมากขึ้น

"เกิดอะไรขึ้น" กูณฑ์ถามอย่างระแวง

"เกาะของนางเวมานิกเปรตเป็นแดนสนธยาที่เวลาจะไหลไปต่างจากโลกข้างนอก" มลว่า

ความกลัวคืบคลานเข้ามาในใจของกูณฑ์ "ต่างแค่ไหน" เขาถาม ไม่แน่ใจว่าอยากได้คำตอบจริง ๆ หรือเปล่า

"ครั้งหนึ่งมีเวมานิกเปรตตนหนึ่งลักพาตัวผู้หญิงไปอยู่ด้วยเจ็ดวัน พอนางออกมา นางก็กลายเป็นคนแก่และตายไป เเพราะเวลาในโลกมนุษย์ผ่านไปถึงเจ็ดร้อยปี"

"ไม่จริงน่า" กูณฑ์อุทาน "งั้นตอนนี้โลกมนุษย์ก็อาจผ่านไปเป็นร้อย ๆ ปีแล้วสิ"

"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก" เคียวปลอบ

"นายรู้ได้ยังไง" กูณฑ์ถามอย่างมีความหวัง

"ถึงตอนนั้นพวกนายจะไม่มีสติกัน แต่ฉันมีสติอยู่ตลอด เท่าที่ฉันรู้เวลาบนเกาะนั่นผ่านไปไม่กี่นาทีหรอก มากสุดก็แค่ห้าหกนาที"

"ห้าหกนาทีนี้มันเท่าไหร่" มลถาม เพราะเขาไม่เคยชินกับการวัดเวลาแบบสากล

"หนึ่งบาทเท่ากับหกนาที" เคียวอธิบาย

"อ๋อ" มลพยักหน้ารับรู้ "บอกว่าประมาณบาทหนึ่งก็จบแล้ว"

"ก็ทุกวันนี้เขาใช้นาทีกันนี่" เคียวว่า

"แล้วหกนาทีที่นั่น เทียบเวลากับโลกมนุษย์ได้เท่าไหร่ล่ะ" กูณฑ์ถาม

เคียวยักไหล่ "ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คงไม่ถึงปีหรอก ไม่ต้องคิดมาก"

กูณฑ์ซุกตัวเข้าหาเพื่อน "ฉันกลัวว่าถ้ากลับไปบนโลก ฉันจะไม่เหลือใครแล้ว"

เคียวยกมือลูบหัวเด็กหนุ่ม "นายจะมีฉันอยู่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น"

"นายจะไม่ไปเกิดใหม่แล้วเหรอ" กูณฑ์ถาม

เคียวหัวเราะเบา ๆ "ฉันรอมาไม่รู้กี่ร้อยปีแล้ว จะรออีกหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร เดี๋ยวเราไปเกิดใหม่พร้อมกันก็ได้ เผื่อว่าชาติหน้าเราจะได้เกิดเป็นพี่น้องกัน"

กูณฑ์ส่ายหน้า "ฉันไม่อยากเป็นพี่น้องกับนาย"

"แล้วจะเป็นอะไรล่ะ หือ"

"นายก็รู้อยู่แล้วนี่"

มลกระแอมขึ้นเบา ๆ ชักรำคาญคู่ข้าวใหม่ปลามันนี่จริง ๆ ไม่รู้จักสงสารคนไม่มีคู่อย่างเขาบ้างเลย

สามวันผ่านไป เสบียงที่ท้าวไวยวิกให้มาเริ่มหมด มลจึงตัดสินใจขุดเจาะน้ำแข็งเพื่อเก็บปลามากิน รสชาติของมันอาจสู้ปลาสด ๆ ไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกิน

"เป้าหมายต่อไปของเราคืออะไร" กูณฑ์ถาม

"โสมคน" มลตอบ

"มันอยู่ที่ไหนกันน่ะ"

"ภูเขาสรรพยา" มลว่า "เป็นภูเขาในแถบเทือกเขาจูฬกาฬ เป็นภูเขาที่มีสมุนไพรทำเป็นยามากติดอันดับเลย"

"จากชื่อก็น่าจะใช่อยู่หรอก" เคียวว่า

"อากาศหนาวขนาดนี้ พวกโสมคนยังจะอยู่อีกเหรอ" กูณฑ์ถาม

"โสมคนเป็นพืชวิเศษ มันอยู่ได้ทุกสภาพอากาศแหละ แต่จะเอาขึ้นมานี่สิ คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันเคลื่อนไหวได้" มลว่า

"นายมั่นใจไหมว่าจะเอามันมาได้" กูณฑ์ถาม

มลตบอกตัวเอง "ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่มีข้าอยู่ ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อเอาโสมคนพวกนั้นมาให้ได้"

"ทำไมต้องพูดว่าตราบใดที่มีนายอยู่ล่ะ" เคียวถาม "ฟังดูเป็นลางยังไงก็ไม่รู้"

มลหัวเราะ "เจ้าคิดมากไปแล้ว ถ้าไม่สบายใจ คืนนี้เราไหว้เทพารักษ์หน่อยก็ได้"

กูณฑ์หันไปมองรอบ ๆ ตัว "แถวนี้มีเทพารักษ์ด้วยหรือ"

มลชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่บัดนี้ไม่มีใบเหลืออยู่สักใบ มีแต่กิ่งก้านขาวโพลน

"ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นน่าจะมีอยู่ เราพายเรือไปใกล้.ๆ แล้วก็ขอพรกับท่านก็แล้วกัน"

เด็กทั้งสามเอาปลาที่ขุดได้ถวายแด่เทพารักษ์ประจำต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะอธิษฐานให้ตัวเองหลับสบาย

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าหลังจากมัฆวานได้ขึ้นเป็นพระอินทร์ เขาก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจและโยนเทพที่เคยอยู่บนสวรรค์ลงไปจากดาวดึงส์ พวกบุรพเทพเหล่านี้เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นอสูร หมายถึงผู้ไม่ดื่มสุรา และสร้างบ้านเมืองใหม่ใต้เขาพระสุเมรุ พวกอสูรเหล่านี้ แม้ชื่อฟังดูน่ากลัวและคนก็มักสับสนกับพวกอสุรกาย แต่ความจริงเหล่าเทวดาตกสวรรค์หรือเรียกกันว่าเทวาสูรนั้นกลับมีรูปร่างงดงาม ไม่ต่างอะไรจากเทวดาเลย เพียงแต่รัศมีที่ผ่องใสน้อยกว่าเท่านั้น กระทั้งบ้านเมืองที่สร้างขึ้นใหม่ก็พอจะสูสีกับดาวดึงส์ได้ แต่ทว่าพวกเขาไม่เคยพอใจ พวกเขาต้องการบ้านเมืองที่เคยเป็นของตัวเองกลับมา

เทวาสูรแบ่งการปกครองออกเป็นสี่ทิศ แต่ละทิศก็มีหัวหน้าประจำทิศของตัวเอง พอถึงเวลาทำเทวาสุรสงครามก็จะมารวมตัวกันยกไปทำศึก แม้ว่าจะไม่เคยชนะเลยก็ตาม แต่ว่าช่วงนี้พวกเทวาสูรมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมีเทวาสูรมากำเนิดใหม่ เทวาสูรตนนี้มีฐานะเป็นบุตรของพญาพรหมทัตอสูรซึ่งเป็นหนึ่งในพญาอสูรผู้ครองทิศเหนือ เนื่องด้วยเกิดบนตักของพญาอสูรตนดังกล่าว เมื่อเกิดมาก็มีอายุสิบหกปี เก่งกาจเรื่องการรบจนพวกอสูรเห็นว่าเทวาสูรตนนี้จะช่วยนำชัยมาให้พวกตนได้ พญาพรหมทัตตั้งชื่อลูกชายว่าชยังกูร อีกทั้งประกาศสละราชบัลลังก์และยกให้ชยังกูรปกครองบ้านเมืองแทน ชยังกูรแต่งงานกับอสุรีตนหนึ่งและมีลูกสาวชื่อแก้วประไพ ชยังกูรหวงลูกคนนี้มาก ถึงขนาดสร้างปราสาทเจ็ดชั้น แต่ละชั้นมียามเฝ้าอย่างแน่นหนา บนปราสาทมีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมมูล สิ่งเดียวที่แก้วประไพขาดก็คืออิสระ เพราะตั้งแต่ลืมตาดูโลกเธอก็ไม่เคยย่างออกจากหอคอยที่เป็นเหมือนคุกอันแสนสุขนี้เลย

ชยังกูรวางแผนเอาไว้ว่าหากหมดหน้าหนาวเมื่อไหร่ เขาก็จะยกทัพขึ้นไปตีดาวดึงส์อีกครั้ง ครั้งที่แล้วเกือบจะยึดสวรรค์ดาวดึงส์ได้แล้วเชียว แต่กลับพลาดท่าช่วงวินาทีสุดท้ายเสียอย่างนั้น เขาได้กล่าวคำอาฆาตไว้ว่าครั้งต่อไปจะยึดดาวดึงส์ให้ได้ เรื่องนี้พวกเทวดาก็รู้และหวั่นใจอยู่ไม่ใช่น้อย เทวดาประจำต้นไม้ใหญ่ที่เด็กทั้งสามมาขอพักพิงก็เป็นหนึ่งในบริวารของท้าวสักกะ หากท้าวสักกะโดนยึดบัลลังก์ มีหวังวิมานต้นไม้อันแสนสุโขสโมสรก็คงล่มไปด้วย เขาจะยอมให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด ขณะที่กำลังกลุ้มใจอยู่นั้นสวรรค์ก็ส่งวีรบุรุษมาช่วย เทวดาปรากฏกายเมื่อแน่ใจว่าเด็กทั้งสามหลับสนิทแล้ว อีกทั้งยังร่ายมนตร์สำทับไม่ให้มีใครตื่นขึ้นมากลางคัน ก่อนจะช้อนตัวมลขึ้นและอุ้มไปที่หอคอยของแก้วประไพ แล้ววางมลให้นอนคู่กันกับนางแก้วประไพบนเตียง เทวดาประจำต้นไม้ใหญ่ถูมือไปมา

"ขอโทษจริง ๆ ที่ต้องทำอย่างนี้" เทพารักษ์กระซิบ "แต่เจ้าเป็นคนมีความสามารถ อย่างไรก็เอาตัวรอดได้ เจ้าช่วยกำจัดชยังกูรให้ข้าหน่อยเถิด ชาวดาวดึงส์จะได้เป็นสุขสักที"

พูดจบ เทพารักษ์ก็คลายมนตร์สะกดและเหาะหนีไป

มลรู้สึกเมื่อยจึงพลิกตัว แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเขาสัมผัสอะไรนิ่ม ๆ ยิ่งไปกว่านั้นอะไรนิ่ม ๆ นั่นยังส่งเสียงกรีดร้องด้วย เสียงกรีดร้องของผู้หญิง แสงจันทร์ที่พาดผ่านหน้าต่างทำให้แก้วประไพกับมลเห็นหน้ากันชัดเจน ยากจะบอกได้ว่าใครตกใจมากกว่ากัน

"กรี๊ดดด" ผู้หญิงที่มลไม่รู้จักชื่อยังกรีดร้องไม่เลิก มลรู้สึกแปลกใจอยู่หน่อย ๆ ที่ยังไม่มีใครเข้ามา เขาพยายามจุปากให้เธอเงียบ แต่ก็ไม่ได้ผล

'ต้องเป็นเพราะหน้าตาน่าเกลียดของเราแน่ ๆ" มลคิด ก่อนจะถอดหน้ากากออกเพื่อเผยให้เห็นหน้าตางดงาม เขาพยายามส่งยิ้มพิมพ์ใจไปให้เธอ แต่อีกฝ่ายกลับทุบเขาไม่หยุด

"ท่านเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร" ผู้หญิงปริศนาถามไปทุบไป

นั่นน่ะสิ มลก็สงสัยเหมือนกัน เขาจำได้ว่าเขานอนใต้ต้นไม้นี่นา ทำไมตื่นมากลับมาอยู่ที่ปราสาทไปเสียได้

แต่มาได้อย่างไรไม่เป็นปัญหาเท่ากับเขาจะออกไปได้อย่างไร