แม้กูณฑ์จะรักทองมากเพียงใด แต่เขาก็รักชีวิตมากกว่า เขาทิ้งหีบที่ช่วยมลขนทันที ทำเอาอีกฝ่ายเซถลาเพราะน้ำหนักของหีบที่หนักเกินกว่าจะยกคนเดียวไหว
"เพื่อนทรยศ" มลสบถ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มหัวไฟเผ่นไปไกล ทิ้งให้เขารับน้ำหนักหีบอยู่คนเดียว แน่ล่ะว่าเขาไม่ได้อาลัยอาวรณ์หีบนี้หรอก แต่มันก็หนักเกินกว่าจะโยนทิ้งได้ เขาต้องค่อย ๆ ก้มลงไปวาง แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว ชายหน้าไฟไหม้เดินมาจับบ่าทั้งสองข้างของเขาไว้ มลยืนอยู่กับที่เหมือนกับรากงอก แววตาของชายคนนี้ดูช่างคุ้นตาเหลือเกิน
"มลใช่ไหม"
มลพยักหน้า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปิดบังต่อไปอีก ชายคนนี้ต้องได้ยินที่กูณฑ์เรียกเขาแล้วแน่ ๆ
ชายคนนั้นร้องไห้ น้ำตาไหลออกมาจริง ๆ
"มล เจ้าจำพ่อไม่ได้หรือ"
มลส่ายหัว เขาไม่ได้เจอมณีโชติมานาน แต่ชายคนนี้ไม่น่าจะเป็นมณีโชติได้เลย แต่คิดอีกทีเขาก็เปลี่ยนไปตั้งเยอะเหมือนกัน
ชายที่อ้างตัวว่าเป็นมณีโชติกระซิบอะไรบางอย่างใส่หูของมล ความลับที่มีแต่เขากับพ่อที่รู้
"ท่านพ่อ" มลเรียกเสียงแหบพร่า
"ไปเถิด ลูกรัก" มณีโชติว่า "เจ้าจะได้คนอื่น ๆ อีก"
"เดี๋ยวข้าชอไปตามเพื่อนก่อนนะขอรับ" มลพูดอย่างตื่นเต้น
มณีโชติยิ้ม "ส่งหีบมาให้พ่อสิ"
โชคดีที่กูณฑ์ไม่ได้เผ่นไปไกล มลลากกูณฑ์ให้มารู้จักกับมณีโชติ มณีโชตินำเด็กทั้งสองเข้าป่า นำไปสู่ถ้ำ ลงไปในอุโมงค์
"ผมไม่เข้าใจ" กูณฑ์ถามมณีโชติ ขณะที่เดินลงไปในอุโมงค์ด้วยกัน "คุณรู้ได้ไงว่าเขาเป็นลูกชายคุณ ผมหมายถึงว่า หน้าตาเขาไม่เหมือนเดิมสักหน่อย
"ก็เขาได้ยินเจ้าเรียกชื่อข้าน่ะสิ" มลว่า "โชคดีนะที่เป็นท่านพ่อ ไม่ใช่พวกศัตรู"
กูณฑ์เกาหัวแกรก ๆ "ชื่อนายมันเป็นเอกลักษณ์ขนาดนั้นเชียว ถ้าฉันได้ยินคนเรียกชื่อคนรู้จัก แต่หน้าตาไม่เหมือน ฉันก็ไม่คิดว่าเป็นคนรู้จักนะ"
มณีโชติหัวเราะ "เจ้ามาจากโลกภายนอกสินะ ที่ป่าหิมพานต์นี่ อย่าว่าแต่แค่เปลี่ยนหน้าตา สีผิวนิดหน่อยเลย บางคนเกิดมาเป็นสัตว์ ต่อมาลอกคราบเป็นมนุษย์ก็มี อีกอย่างหน้าตาของมลตอนนี้คล้ายข้ากับจันทประภามาก ถึงผิวจะคล้ำไปหน่อยก็เถิด อีกอย่างข้าฝันว่าฤๅษีมาบอกว่ามลจะกลับมาหาข้าวันนี้"
"ข้าผิวคล้ำ เพราะโดนภูตหนังสือพ่นหมึกใส่ขอรับ" มลว่า "ตลอดเวลาที่อยู่ในเมือง ข้าไม่กล้าขัดผิวเลย กลัวคนจะจำได้"
กูณฑ์ยกมือปิดจมูก "เหม็น"
"ภูตหนังสือหรือ" มณีโชติถามอย่างสนใจ "อยู่ไหนล่ะ"
เคียวปรากฏกายขึ้น เขาโค้งคำนับให้พ่อของมล
"ยินดีที่รู้จักขอรับ"
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงใจกลางอุโมงตอนแรกที่มณีโชติบอกว่าจะมีคนอื่นอยู่ด้วยนั้น มลไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้ มีทั้งพวกวิทยาธรและนาค จำนวนมากพอที่จะเป็นกองทัพหนึ่งได้เลย
"พวกเขามาทำอะไรที่นี่ครับ" กูณฑ์ถาม
มณีโชติยิ้มเหี้ยมเกรียม "พวกเรากำลังทำสงคราม แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องเล่ามาก่อน ว่าเจ้ามารู้จักกับลูกชายข้าได้อย่างไร"
กูณฑ์เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง มณีโชติมีน้ำตาคลอตา เขาดึงเด็กทั้งสามเข้าไปกอด
"พวกเจ้ากล้าหาญมาก" วิทยาธรที่ได้ชื่อว่าเป็นกบฏพูดด้วยเสียงสั่นเครือ "ลูกชายข้าโชคดีที่มีเพื่อนอย่างพวกเจ้า"
กูณฑ์ลูบแก้มแก้เก้อ "ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ"
"แล้วท่านพ่อล่ะขอรับ" มลถามบ้าง "เกิดอะไรขึ้นกับหน้าของท่าน พวกวิทยาธรนี้มาจากไหน"
คราวนี้มณีโชติเป็นผู้เล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ลูกชายฟังบ้าง
"ตั้งแต่ปู่ของลูกตาย พ่อก็ได้รับความช่วยเหลือจากแม่ของอัครเดช"
มลพยักหน้า เรื่องนั้นเขารู้อยู่แล้ว
"พ่อหนีเข้าไปในป่า ตั้งใจจะหลบซ่อนตัว พ่อไม่หวังจะได้กลับเข้าเมืองอีก ใช้ชีวิตเป็นคนเร่ร่อนไปวัน ๆ"
มลเอื้อมมือไปกุมมือผู้เป็นพ่อ "ท่านพ่อคงลำบากมาก"
"ไม่เท่าไรหรอก ลูกเอ๋ย พ่อเสียใจมากกว่าที่ปกป้องลูกกับแม่ไว้ไม่ได้"
"เล่าต่อสิครับ" กูณฑ์ร้องขอ
"คนพวกนี้" มณีโชติโบกมือไปทางวิทยาธรตนอื่น ๆ ที่ชุมนุมกันอยู่ "ก็ถูกอัครเดชใช้อำนาจข่มเหงรังแกจนต้องหนีมาเหมือนกัน พวกเรามารวมตัวกันอยู่ในอุโมงค์นี่ หาวิธีที่จะไปยึดเมืองคืน"
"คุณอยากเป็นพระราชาเหรอ" เคียวถาม
มณีโชติส่ายหน้า "ข้าแค่อยากให้บ้านเมืองมีพระราชาที่มีคุณธรรม จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น"
"แล้วทำไมหน้าของท่านพ่อถึงเป็นอย่างนี้เล่าขอรับ"
มณีโชติลูบแผลบนใบหน้าก่อนจะเล่าเรื่อง "วันแรกที่พ่อออกจากเมืองมา พ่อมีโอกาสช่วยพญานาคตนหนึ่งจากไฟป่า เขาก็เลยตอบแทนพ่อด้วยการพ่นพิษใส่"
"เดี๋ยว เดี๋ยว" กูณฑ์ขัดขึ้นมา "ตอบแทนด้วยการพ่นพิษใส่เนี่ยนะ ทำเป็นเรื่องชาวนากับงูเห่าไปได้"
"นายนี่ไม่รู้อะไรแล้วยังจะพูดอีก พญานาคตนนั้นคงทำเหมือนกับที่ทำกับพระนลล่ะมั้ง" เคียวว่า ก่อนหันไปพูดกับมณีโชติ "ใช่ไหมครับ"
"พระนลนี่อยู่วัดไหน" กูณฑ์ถามอย่างไม่รู้จริง ๆ
"พระนลเป็นกษัตริย์ โดนกาลีเข้าสิงทำให้ติดการพนัน เล่นจนเสียบ้านเสียเมือง พอเข้าไปอยู่ป่ากับนางทมยันตี กาลีก็ทำให้พระนลหนีนางไปอีก จนกระทั่งพญานาคพ่นพิษไร้กาลีออก และพิษนั้นยังช่วยปลอมตัวไม่ให้ใครจำพระนลได้อีกด้วย" เคียวอธิบาย
"ถูกแล้ว" มณีโชติว่า "พญานาคตนนั้นมอบหน้าตาที่ไม่มีใครจำได้ให้แก่ข้า อีกทั้งพระนางมุจลินท์ยังช่วยส่งพญานาคมารบอีกด้วย"
"วิเศษ" กูณฑ์ว่า "แล้วทำไมถึงไม่รบกันสักทีล่ะครับ รอฤกษ์อยู่หรือ"
เด็กหนุ่มตั้งใจจะหยอกเล่น แต่วิทยาธรอีกตนที่ท่าทางเป็นผู้ใหญ่พูดแทรกขึ้นมา
"ถูกแล้ว"
"ท่านโหรหลวง" มลร้องขึ้นเมื่อเห็นหน้าคนผู้นั้นเต็ม ๆ ตา
โหรหลวงยิ้มพร้อมส่ายหน้า "อย่าเรียกข้าว่าโหรหลวงอีกเลย ท่านมล นับตั้งแต่ทรราชอย่างอัครเดชครองอำนาจ มันก็หาใส่ใจประเพณีของเราไม่ ขุนนางผู้ใดไม่ประจบประแจงมันก็ถูกถอดยศอย่างไร้ความยุติธรรม ตัวข้าเองที่เคยกล่าวคำทำนายเรื่องของท่านก็ถูกมันขับไล่ออกมา"
"ข้าต้องขอโทษด้วย" มลว่า
อดีตโหรหลวงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก "มันเป็นเรื่องของชะตากรรม ข้าไม่โทษท่านหรอก"
"ผมขอถามอะไรหน่อยสิ" กูณฑ์เข้ามามีส่วนร่วมในวงสนทนาด้วย "ทำไมอัครเดชไม่ฆ่าคุณทิ้งเสียล่ะ"
อีกฝ่ายหัวเราะ "ศัตรูที่เป็นคนเป็นจัดการง่ายกว่าศัตรูที่เป็นคนตาย โหรหลวงอย่างข้าศึกษาไสยศาสตร์แทบทุกแขนง ต่อให้จัดการกายเนื้อของข้าได้ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะสิ้นฤทธิ์ อัครเดชรู้เรื่องนี้ดีจึงจำต้องเก็บข้าไว้เป็นหอกข้างแคร่"
"อีกประการหนึ่ง" มณีโชติช่วยอธิบาย "ท่านโหรเป็นที่นิยมชมชอบอยู่มาก การประหารโหรย่อมทำให้ขุนนางหลายคนไม่พอใจ อัครเดชไม่กล้าทำขนาดนั้นหรอก"
"แล้วฤกษ์ที่ว่าคือเมื่อไหร่ล่ะครับ" เคียวถาม ช่วยดึงบทสนทนาเข้าสู่ประเด็นที่คุยกันก่อนหน้า
อดีตโหรหลวงพยักพเยิดไปทางมล "ก็เมื่อผู้มีบุญมานำชัยให้พวกเราอย่างไรเล่า พวกเราไม่คิดจะทำสงครามเพราะทำไปก็หาผู้เหมาะสมขึ้นครองบัลลังก์ไม่ได้"
มลเกาหัวเขิน ๆ "ข้าเป็นแค่เด็ก ข้าว่าให้ท่านพ่อปกครองไม่ดีกว่าหรือขอรับ"
"นั่นน่ะสิ" กูณฑ์สนับสนุน "ยังไงพ่อก็ดีกว่าลูกอยู่แล้ว"
"ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก" เคียวขัด "พ่อเป็นลา ลูกยังออกมาเป็นม้าอัสดรได้เลย"
กูณฑ์เลิกคิ้ว "พูดอะไรของนาย"
"ช่างเถิด ช่างเถิด" มณีโชติห้าม "ข้าไม่ได้อยากได้บัลลังก์หรอก หากจัดการกับอัครเดช แก้แค้นให้บิดาได้แล้ว ข้าจะไปอยู่ป่ากับจันทประภา"
"ท่านพ่ออย่าไปอยู่ป่าเลยนะขอรับ" มลว่า "อยู่ในเมืองกับข้าเถิด"
มณีโชติลูบหัวลูกชาย "หากเจ้าต้องการอย่างนั้น พ่อก็จะไม่ขัด"
"เราจะทำสงครามกันจริง ๆ เหรอครับ" กูณฑ์ถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ สำหรับเด็กหนุ่มอายุสิบห้าย่างสิบหกอย่างเขา สงครามดูเป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกิน
"แน่นอนสิ" มลตอบ แล้วหันไปทางผู้เป็นพ่อ "ท่านพ่อขอรับ ข้าเจอพระขรรค์ของท่านด้วย ท่านจะเอามันคืนไปไหมขอรับ"
วิทยาธรหนุ่มส่ายหน้า "พ่อไม่ต้องการมันแล้ว เจ้าจงใช้มันตัดหัวอัครเดชเถิด"
มลพยักหน้า แววตาแน่วแน่ กูณฑ์ถึงกับหน้าซีด มีพ่อที่ไหนสั่งให้ลูกไปฆ่าคนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแบบนั้นบ้าง ชีวิตในหิมพานต์ช่างมีเรื่องอัศจรรย์ไม่รู้จบจริง ๆ
มลลูบพระขรรค์ของตัวเอง "ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอัครเดชถึงทิ้งพระขรรค์ดี ๆ อย่างนี้ได้"
"เพราะมันกลัวน่ะสิ" ชายร่างล่ำสันเข้าร่วมวงด้วย เขาแนะนำตัวว่าชื่อมีชัย เคยทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้ดูแลคลังสรรพาวุธ "ตอนนั้นลูกน้องของข้ามันเห็นว่าพระขรรค์นี่อยู่ ๆ ก็เหมือนมีชีวิต เที่ยวไล่ทำลายอาวุธอื่น ๆ ในคลังจนบิ่นไปหมด อัครเดชหวาดกลัวคิดว่าบางทีท่านมณีโชติอาจสิ้นชื่อไปแล้ว เหลือแต่วิญญาณร้ายมาอยู่ในพระขรรค์"
มณีโชติหัวเราะพร้อมส่ายหน้า "อัครเดชกลัวผีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร"
"งั้นเราก็โชคดีแล้ว" มลว่า ชำเลืองไปที่เคียว "เรามีผีน่ากลัวมาด้วย"
"ฉันไม่ใช่ผี/เคียวออกจะน่ารัก" ทั้งคนและภูตพูดพร้อมกัน
"ตกลงพวกเจ้าจะฟังต่อหรือไม่" มีชัยถาม
"ฟัง" เด็กทั้งสามตอบพร้อมกัน
"อัครเดชสั่งให้ข้าพยายามทำลายพระขรรค์ นั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายของข้า แค่เข่นฆ่าเผ่าพันธุ์เดียวกันก็แย่พออยู่แล้ว" มีชัยส่ายหน้า "แต่ถึงกับทำลายพระขรรค์ ข้ารับไม่ได้จริง ๆ"
กูณฑ์เลิกคิ้ว ทำไมการทำลายพระขรรค์ถึงเป็นเรื่องที่อภัยไม่ได้มากกว่าการฆ่าคนจริง ๆ ล่ะ เขาถามมีชัยไปอย่างนั้น
"เพราะการฆ่าทำลายแค่ร่างกาย แต่การทำลายพระขรรค์ทำลายลึกไปถึงแก่นวิญญาณ หากทำลายพระขรรค์สำเร็จ จะไม่มีท่านมณีโชติอีกแล้ว ไม่ว่าในดินแดนใด"
มลพุ่งเข้าไปกอดพ่อ รับรู้ไออุ่นจากอีกฝ่าย ย้ำเตือนตัวเองว่าผู้เป็นพ่อยังมีตัวตนอยู่ตรงนี้ ทั้งร่างกายและวิญญาณยังไม่ดับสลาย
มณีโชติลูบหัวลูกชายพร้อมกระซิบว่า "พ่ออยู่นี่ พ่ออยู่กับลูก และเราจะไม่พรากจากกันอีก"