คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย

"นายจะไปคนเดียวได้ยังไง" กูณฑ์ค้าน "เราฝ่าอุปสรรคมาด้วยกันขนาดนี้แล้ว"

"นี่มันอันตราย" มลว่า

"มันจะอันตรายขนาดไหนกันเชียว อีกอย่างยิ่งมันอันตราย เราก็ยิ่งควรไปด้วยกัน"

มลส่ายหน้า "ข้าอยากให้เจ้าช่วยว่าราชการแทน"

เด็กหนุ่มหัวไฟผงะ "พูดอะไรบ้า ๆ ฉันนี่นะจะว่าราชการแทน หาคนอื่นทำเถอะ"

"ข้าไม่ไว้ใจใครนอกจากเจ้า"

กูณฑ์เกาแก้มเขิน ๆ "ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานบ้านงานเมืองสักอย่าง อีกอย่างฉันอยากไปกับนายมากกว่า"

"พวกเราจะทิ้งบ้านเมืองไปด้วยกันทุกคนไม่ได้" พระราชาวิทยาธรพูดเสียงเย็นชา "อย่างน้อยก็ต้องมีคนอยู่ให้ประชาชนอุ่นใจ"

"ฉันเนี่ยนะทำให้คนอุ่นใจ" กูณฑ์พูดเสียงสูงอย่างไม่อยากเชื่อ

มลพยักหน้าขรึม ๆ "ใช่ เจ้าเป็นร่างอวตารของเทพอัคนี เทพที่ติดต่อสื่อสารระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ แน่นอนว่าประชาชนต้องอุ่นใจที่มีเจ้าอยู่ด้วย"

ความจริงถ้ามลไม่เตือน กูณฑ์ก็คงลืมไปแล้วว่าเขาเป็นร่างอวตารของเทพ เพราะไม่ว่าในหนังสือหรือในหนัง ร่างอวตารของเทพล้วนแต่มีฤทธิ์มหัศจรรย์ทั้งนั้น แต่เด็กหนุ่มได้เพียงพลังเพลิงที่ควบคุมไม่ค่อยได้

"ก็ใช่ว่าพวกเขาจะรู้สักหน่อย" กูณฑ์ว่า แล้วเขาก็ไม่อยากให้ใครรู้ด้วย อดีตชาติก็คืออดีตชาติ เขาไม่ยึดติดกับอดีตหรอก ยกเว้นเคียวคนเดียว

"ข้าไม่รู้แหละ" มลพูดอย่างดื้อดึง "ข้าจะไปประกาศในท้องพระโรง ให้เจ้าว่าราชการแทนข้า"

"แล้วเคียวล่ะ" กูณฑ์ถาม

มลชำเลืองทางภูตหนังสือแวบหนึ่ง "เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา"

"งั้นให้กูณฑ์อยู่ดูแลเมือง ฉันจะไปกับนายด้วย" เคียวว่า

กูณฑ์กับมลอ้าปากจะคัดค้าน แต่เคียวขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

"ฉันเห็นด้วยกับนายว่าจะปล่อยให้บ้านเมืองอยู่โดยไม่มีผู้ปกครองไม่ได้" เด็กหนุ่มผมขาวหันไปทางมล แล้วเขาก็หันไปทางคนรัก "แต่ฉันก็ปล่อยให้มลไปตามลำพังไม่ได้เหมือนกัน"

"แต่ฉันเป็นห่วงนายนี่" กูณฑ์พูดเสียงอ่อย

"ฉันตายไปแล้วนะ ไม่มีอะไรมาทำร้ายฉันได้อีกแล้ว" เคียวยืนยันให้กูณฑ์มั่นใจ

กูณฑ์ก้มลงมองเท้าตัวเอง "ถึงอย่างนั้นก็เถอะ"

"ถ้าลำบากมากนัก เจ้าไม่ต้องไปก็ได้" มลว่า "ข้าไปคนเดียวสะดวกกว่า"

"ไม่ได้" ทั้งกูณฑ์และเคียวพูดพร้อมกัน

"ฉันยอมให้เคียวไปกับนายด้วยก็ได้" กูณฑ์ว่า แม้เขาจะอยากให้คนรักอยู่ด้วยเพียงใด แต่ก็เห็นด้วยกับเคียวว่ามลไม่ควรไปคนเดียว สภาพจิตใจของเด็กชายยังไม่อยู่ในสภาวะคงที่ การมีเพื่อนอยู่ด้วยจะช่วยได้มาก

"ฉันจะติดต่อมาหานายแน่" เคียวว่า

เด็กหนุ่มหัวไฟหัวเราะ "ติดต่อทางไหนล่ะ โทรศัพท์ก็ไม่มี"

'ก็ติดต่อทางนี้ไง' เคียวส่งกระแสจิตมาหากูณฑ์

'ฉันลืมไปแล้วนะว่าเราติดต่อกันทางนี้ได้ด้วย' กูณฑ์ส่งกระแสจิตกลับไป

มลมองหน้าเพื่อนรุ่นพี่สลับกันไปมา "พวกเจ้าคุยกันทางโทรจิตหรือไงเนี่ย"

กูณฑ์กับเคียวระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนจะตอบพร้อมกันว่า "ใช่แล้ว"

มลขึ้นนั่งบัลลังก์และบอกข้าราชบริพารว่าจะแต่งตั้งกูณฑ์ผู้สำเร็จราชการแทน

"ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ จงปฏิบัติต่อสหายของข้า เหมือนกับที่ปฏิบัติต่อข้า"

พวกข้าราชบริพารต่างน้อมรับด้วยดี เพราะเคยเห็นฝีมือของกูณฑ์มาแล้วเมื่อครั้งสงคราม

"ฉันว่านายน่าจะไปอาบน้ำสักหน่อย" เคียวแนะนำ

"ก็ได้" มลยอมตาม เขาเตรียมชุดทรงเครื่องอย่างกษัตริย์เข้าไปอาบน้ำในห้องอาบน้ำส่วนตัว ขัดสีฉวีวรรณเสียจนสะอาด เมื่อดูเงาในน้ำแล้ว ผิวขาว ๆ ทำให้เขายิ่งเหมือนพ่อมากกว่าเดิมเสียอีก

เด็กชายกำลังจะใส่เสื้อผ้าที่เตรียมมา แต่มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็น เห็นเพียงแต่หนังเสือของฤๅษีที่วางไว้ส่งตำแหน่งที่เขาเตรียมชุดทรง มลไม่มีทางเลือก นอกจากใส่ชุดหนังเสือไปแทนก่อน เขาไม่อยากแก้ผ้าออกไปหรอกนะ

เมื่อมลออกมานอกห้อง ก็เห็นเคียวยืนยิ้มอยู่

"ชุดหนังเสือเหมาะกับนายดีนะ" เคียวพูดขำ ๆ

มลไม่ขำด้วย "เจ้าเห็นชุดเครื่องทรงของข้าหรือเปล่า"

"เห็น" เคียวว่า

"เอามาคืนข้าเดี๋ยวนี้เลย" มลพูดด้วยเสียงวางอำนาจ

เคียวส่ายหน้า "นายจะไปเมืองรากษส ปลอมตัวเป็นฤๅษีจะดีกว่า"

มลเลิกคิ้ว "ทำไม"

"ชุดเครื่องทรงของกษัตริย์โรคหูล่อตาโจรจะตาย ชุดฤๅษีดีกว่า ใครเห็นก็ศรัทธา นายจะได้ถามข่าวง่าย ๆ ด้วย" เคียวอธิบาย

"แต่ข้าไม่ใช่ฤๅษี" มลว่า เขาไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ที่จะเอาเครื่องแบบอันศักดิ์สิทธิ์มาใส่เล่นแบบนี้

ภูตหนังสือยักไหล่ "เราทำเพราะความจำเป็น ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างเราก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนี่"

มลพยักหน้าอย่างลังเล

"ไปกันได้แล้ว" เคียวว่า เขาออกเดินนำอย่างกระฉับกระเฉง

มลสาวเท้าตามเขาไป "เจ้ารู้ทางเหรอ" เขาถามเมื่อออกนอกเขตเมืองวิทยาธรแล้ว

เคียวชะงักฝีเท้า หันมายิ้มเก้อ ๆ ให้ "ไม่รู้"

มลสบถอย่างไม่สมกับเป็นพระราชาเลย เขาตัดสินใจเป็นผู้นำทางแทน

พวกเขาใช้เวลาสามวันก็มาถึงเมืองรากษส บ้านเมืองของพวกนั้นใหญ่โตเสียจนเคียวกับมลรู้สึกว่าตัวเองเป็นตุ๊กตา

มลนึกขอบคุณเคียวที่แนะนำให้เขาปลอมตัวเป็นฤๅษี เพราะว่าตอนที่พวกเขาเข้าเมืองมาใหม่ ๆ พวกรากษสก็จะจับเขากิน แต่เมื่อพวกมันเห็นหนังเสือก็รีบปล่อย เห็นได้ชัดว่าพวกนี้กลัวฤๅษี เนื่องจากฤๅษีเป็นผู้มีฤทธิ์มาก เวลาไม่พอใจใครก็สาปให้อีกฝ่ายพบความทุกข์ทรมานต่าง ๆ นานา

ตอนนี้มลมานั่งวางท่าอยู่บนที่ที่พวกรากษสจัดทำไว้ให้ เคียวนั่งหลั่นลงมาในฐานะศิษย์เอก ส่วนรากษสตนที่คิดจะกลับเขากินเป็นอาหารมาหมอบกราบอยู่ตรงหน้า

"ท่านฤๅษี ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นท่าน อย่าสาปข้าเลยนะขอรับ"

มลวางท่าขรึม ทั้ง ๆ ที่อยากหัวเราะแทบตาย "ข้าไม่สาปเจ้าให้เป็นบาป เป็นกรรมหรอก แต่ข้ามีเรื่องอยากถาม หวังว่าเจ้าจะตอบตามความจริง"

รากษสตนนั้นยกมือไหว้ท่วมหัว "ท่านฤๅษีมีอะไรจะถาม ก็ถามมาได้เลยขอรับ"

"ข้าสงสัยว่ากษัตริย์ที่ครองเมืองนี้ชื่ออะไร พระองค์ทรงหนุ่มหรือแก่ มีโอรสสืบราชสมบัติบ้างหรือไม่"

"พระราชาของเราทรงพระนามว่าวิรุณพัฒน์ ทรงอยู่ในวัยฉกรรจ์ ไม่หนุ่มไม่แก่ พระองค์มีโอรสหลายองค์ ล้วนแต่เกิดจากนางสนม"

"งั้นหรือ" มลรำพึง ก่อนจะซักต่อไปว่า "แล้วพระองค์มีมเหสีหรือไม่"

"พระองค์ได้นางกินรีตนหนึ่งมาเป็นมเหสี ว่ากันว่ามีรูปโฉมงดงามมาก แต่ก็ยังไม่มีโอรสหรือธิดาด้วยกัน"

มลแทบจะเป็นลม หมดสติเมื่อได้ยินข่าวแบบนี้ แต่ก็แข็งใจถามต่อไปว่า "พระองค์กับมเหสีรักใคร่กันดีอยู่หรือ"

รากษสผู้นำข่าวเลิกคิ้ว แต่ก็ตอบไปตามที่คิด "ข้าคิดว่าอย่างนั้นนะ พระราชารับสั่งให้ปลูกดอกไม้ตามที่นางโปรด"

คราวนี้มลเป็นลมขึ้นมาจริง.ๆ

พวกรากษสต่างพยายามเข้ามาพยาบาลมล

"ท่านฤๅษี ท่านเป็นอะไร" พวกรากษสต่างส่งเสียงเซ็งแซ่

"ท่านฤๅษีพักผ่อนน้อยก็เลยเป็นลม" เคียวว่า พลางโบกมือไล่ "พวกเจ้าถอยไปก่อน เดี๋ยวข้าจัดการเอง"

"ให้พวกเราช่วยอะไรไหม"

เคียวส่ายหน้า พูดเสียงเฉียบขาด "ถอยไปให้พ้น"

พวกรากษสทำตามที่สั่ง เคียวหันมานวดฟั้นให้มลจนพื้น

"ข้ามาที่นี่เพื่ออะไร" มลรำพึง

"นายก็มาช่วยแม่ไง" เคียวปลุกปลอบใจ

"หึ" มลทำเสียงเยาะ "ท่านแม่ยังต้องการให้ข้าช่วยเหลืออยู่อีกหรือ"

"นายหมายความว่าไง แม่นายต้องการให้นายช่วยอยู่แล้ว"

"เจ้าไม่ได้ยินที่พวกมันพูดกันหรือไร" มลพูดเสียงสั่นด้วยแรงโทสะ "ท่านแม่ของข้าหลงรักพวกรากษสเสียแล้ว ท่านพ่อของข้าเป็นเพียงเจ้าชายปลายแถว จะเทียบอะไรกับพระราชาได้"

เคียวคิดถูกจริง ๆ ที่ขอมาด้วย ความเสียใจทำให้มลไม่ค่อยมีเหตุมีผลมากนัก ภูตหนังสือจับบ่าของยุวกษัตริย์เอาไว้ ก่อนจะพูดเตือนสติด้วยเสียงหนักแน่น

"นายเป็นคนเดียวที่รู้จักแม่ของนายดีที่สุด นายคิดว่าแม่นายจะหลงมัวเมากับทรัพย์สมบัติเหรอ ท่านจะรักทรัพย์สมบัติมากกว่านายกับพ่อหรือยังไง"

มลส่ายหน้า "แล้วที่พวกชาวเมืองพูดกันล่ะ"

"ทำไมเราไม่ไปดูให้รู้กันเลยล่ะ" เคียวว่า

"งั้นเราหาที่พักก่อน พอถึงตอนกลางคืนก็ค่อยไปหาท่านแม่"

เด็กทั้งสองพักกันที่ศาลา พอพระจันทร์ขึ้น พวกเขาก็เหาะไปที่ปราสาทรากษส ทั้งเคียวและมลไปดูที่หน้าต่างทีละช่องจนพบว่าช่องไหนทะลุไปห้องของจันทประภาได้ มลร่ายคาถาสะเดาะกลอน ก่อนจะย่องเข้าไป

แสงจันทร์ที่ส่องลอดหน้าต่างทำให้มลเห็นจันทประภานอนอยู่บนเตียง เธอยังคงงดงามเช่นวันวาน แต่ริ้วรอยบนใบหน้าบ่งบอกให้รู้ว่าชีวิตที่ผ่านมาของเธอขมขื่นเหลือเกิน เพราะปกติกินนรจะมีอายุยืนถึงพันปี ยากที่จะมีริ้วรอยปรากฏ

"ท่านแม่"มลเรียก เขากราบเท้าผู้เป็นแม่ ก่อนจะเขย่าตัวปลุกให้เธอตื่น

จันทประภาลืมตา เมื่อเห็นลูกชายยืนอยู่ปลายเตียง เธอก็หลุดปากออกมาว่า

"ท่านพี่"