"น้องบีพร้อมนะ"
"ครับผม"
ผมพกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า ถ้าคาบแรกยังไม่กล้าพูดอะไรเยอะ งั้นก็แบ่งให้นักเรียนพูดบ้างก็ได้
ตอนนี้เราอยู่ที่หน้าห้องเรียนห้องเก้าแล้ว ถึงผมจะไม่ใช่ครูที่เก่งกาจอะไรขนาดนั้น แต่กิจกรรมที่ผมเตรียมมาคงราบรื่นไปได้ด้วยดี เพราะมันทั้งง่าย และน่าจะสนุกด้วย
"เดี๋ยวน้องบี ถอดรองเท้าทำไม" พี่เคนถามขึ้น ดูจากสีหน้าแล้ว ข้อความนี้ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำบอกเล่าว่าครูผู้สอนไม่ต้องถอดรองเท้าเข้าห้องเหมือนที่นักเรียนวางเรียงรองเท้าของตนไว้หน้าห้องก็ได้
ผมจึงก้าวเข้าไปที่ประตูหน้าพร้อมเสียงตึงตังจากการกระทบกันของรองเท้าหนัง นักเรียนส่วนใหญ่สังเกตเห็นผมแล้ว แต่มีแค่สามสี่คนเท่านั้นที่รีบกลับไปเข้าที่นั่งของตัวเอง
เอาวะ ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ แล้ว ลองดูสักตั้ง
"เอ่อ….นักเรียนครับ"
เสียงพูดคุยยังคงสนั่นอยู่ ไม่มีทีท่าจะลดลงเลย
"นักเรียนครับ"
คราวนี้เริ่มมีนักเรียนหญิงที่เข้าที่นั่งแล้วตะโกนดุเพื่อนแทนผมให้มานั่งเข้าที่พร้อมเรียนได้แล้ว
ไม่เป็นผล นักเรียนส่วนใหญ่ยังคงไม่สนใจผมอยู่ แถมยังตะโกนกลับมาอีก
ตึก ตึก ตึก
เสียงย่ำเท้านั้นเนิบนาบแต่ก็หนักแน่นในเวลาเดียวกัน
แค่เพียงแว่วเสียงเท้านั้น นักเรียนที่เหลือก็พากันกลับเข้าที่นั่งทันที
พี่เคนนั่นเอง
คนตัวสูงผู้นั้นเดินเข้ามาที่ประตูข้างหลังห้อง ใบหน้าบึ้งตึง คบกรามแน่นจนเห็นสันกรามได้ชัดเจน เมื่อหาที่ยืนที่พอใจแล้วก็ทำท่ากอดอก สอดส่องสายตาไปยังนักเรียนที่ชักช้าทีละคน
…น่ากลัวชะมัด… ดูแล้วอย่างกับไม่ใช่พี่เคนในห้องพักครูคนนั้นเลย
ไม่นานนัก ระดับเสียงก็เบาลงเรื่อย ๆ จนเกือบจะเงียบสงบ เหลือเพียงเสียงลมและเสียงพัดลมเพดาน
สักพักจึงเริ่มมีเสียงดังฟังชัดให้ทำความเคารพครูจากหัวหน้าห้อง
"สวัสดีครับ/ค่ะ คุณครู"
"ส…สวัสดีครับ เด็ก ๆ" นี่ผมเรียกนักเรียนว่าเด็ก ๆ เหรอ? "ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ครูชื่อครูจักรวาลนะ หรือจะเรียกว่าครูบีก็ได้"
ผมชำเลืองมองไปยังผู้คุมคุกในคราบครูโดยไม่ได้ตั้งใจ คิ้วนั้นขมวดเล็กน้อย ทำเอาผมประหม่า
ผมทำอะไรผิดไปเหรอ…อะ จริงด้วย
"แต่ถ้าให้ดี เรียกครูจักวารดีกว่านะ" แถอะไรของกูวะเนี่ย
คราวนี้ไม่ใช่แค่พี่เคนเท่านั้น แต่นักเรียนก็พากันขมวดคิ้วด้วยเช่นกัน
"จารย์จักรครับ" เด็กชายคนหนึ่งเรียกผมด้วยชื่อจริงแบบย่อ ๆ ให้ตายเถอะ ผมควรไปอำเภอ เปลี่ยนชื่อจริงเป็น บี ไปเลยดีไหมเนี่ย
"ว่ายังไงครับ"
"ไมจารย์หล่อจังอะ" สิ้นเสียงก็ตามมาด้วยเสียงเฮจากเดอะแก๊ง เด็กหญิงบางคนก็ไม่วายหันไปซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้
จริงอยู่ที่ผมอาจจะมีเชื้อจีนมาบ้าง แถมหน้าตาก็ไร้รอยสิว แต่ผมว่าตัวผมเองนั้นห่างไกลจากคำว่าหล่ออยู่ไกลโขเลย
"ก็ ล้างหน้าให้สะอาด จะได้ไม่มีสิว ส่วนผิว พยายามหาครีมบำรุง…."
ยังไม่ทันพูดจบ เสียงหัวเราะทั้งห้องก็ดังขึ้น
ผมแทบเอาหัวมุดลงไปใต้โต๊ะ เด็กมันแค่แซว ไม่ได้ถามจริงจังสักหน่อย
พี่เคนทำท่าอ้าปากขึ้น แต่แล้วก็หยุดลง ผมเดาว่าคงอยากให้ผมลองจัดการด้วยตัวเองดูก่อน
"เอ้า รู้ใช่ไหมครับว่าเรากำลังเรียนวิชาอะไร" ผมชวนนักเรียนคุยเพื่อแก้สถานการณ์
"ครูขา" หัวหน้าห้องยกมือถามจังหวะเดียวกับที่ผมพูดจบพอดี
"ครับ ว่าไง"
"ให้หนูรวมโทรศัพท์ไปให้ครูเลยไหมคะ หรือครูจะเรียกเก็บตอนไหนคะ"
คำถามของเด็กคนนี้เตือนสติผมให้นึกถึงข้อที่ว่า โทรศัพท์เป็นสิ่งต้องห้ามในห้องเรียน
"เอ่อ…" ผมหยุดชำเลืองมองผู้คุมขังชุดกากีแล้วว่าต่อ "เอาเป็นว่า เก็บใส่กระเป๋าดี ๆ อย่าเอาออกมาเล่นกันนะครับ" ผมไม่ได้มุ่งสายตาไปที่หัวหน้าห้อง แต่มุ่งไปที่นักเรียนทั้งหมด
ทุกคนดูตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน มันอาจจะแปลกไปสำหรับที่นี่ละมั้ง ที่จะไม่เก็บโทรศัพท์ตอนเริ่มคาบ
ผมมองไปหาพี่เคนอีกครั้ง ดูว่าปฏิกิริยาจะเป็นอย่างไร
แล้วก็เป็นดังคาด เขาดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ คิ้วข้างหนึ่งเลิกสูงมากพลางส่งสายตาไม่เข้าใจมาทางผม
'ตอนเรียนเกลียดครูแบบไหน ก็อย่าเป็นครูแบบนั้น' เสียงของบอลดังแว่วเข้ามาในสมอง ผมยังจำได้ไม่ลืม เรื่องของเพื่อนในห้องที่นั่งข้างหลังทั้งสองคน ที่ภายหลังพบว่าโทรศัพท์บีบีได้หายไปไหนไม่รู้ เพราะครูภาษาไทยคนนั้นริบแล้วลืมไว้บนโต๊ะหน้าห้อง คาดกันว่านักเรียนห้องอื่นที่มาใช้ห้องต่อได้เอาไปแล้ว
และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ครูคนนั้นไม่รับผิดชอบค่าเสียหายด้วยเหตุที่ว่า โรงเรียนไม่ได้ให้นำของมีค่าโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือมาโรงเรียนด้วย
…ช่างเป็นครูที่ไร้ความรับผิดชอบเสียจริง…
พี่เคนไม่ได้เอ่ยปากใด ๆ คงให้เกียรติผมในฐานะครูอย่างเต็มที่
ขอโทษที่ดื้อนะครับพี่เคน แต่ผมก็มีรูปแบบการจัดการห้องเรียนในแบบของผมเหมือนกัน
"คาบนี้เป็นคาบภาษาอังกฤษใช่ไหมครับ" ผมกลับเข้าเรื่องต่อ "และครูก็ยังไม่รู้จักทุกคนเลย เพราะงั้นมาแนะนำตัวกันนะครับ" ผมสังเกตว่าผมพูดดังและเป็นประโยคยาวมากขึ้น เป็นสัญญาณที่ดี
ผมคว้าปากกาไวท์บอร์ดสีแดงและสีน้ำเงินจากกระเป๋าแล้วเขียนประโยคคำถามด้วยสีแดงสี่ประโยค และประโยคตอบกลับด้วยสีน้ำเงินอีกสี่ปรโยค
What is your name?
My name is Jackrawan.
How old are you?
I am 22 years old.
What is your favorite color?
My favorite color is yellow.
When is your birthday?
My birthday is 13 October.
ทั้งหมดเป็นประโยคง่าย ๆ ที่เด็ก ม.3 น่าจะพูดโต้ตอบได้ ถึงแม้ประโยคชุดสุดท้ายจะพูดเป็นประโยคยากไปสักหน่อยก็ตาม เพราะเป็นตัวเลข ซึ่งมักจะมีปัญหาเสมอ
ผมอ่านออกเสียง พยายามให้ดังฟังชัดที่สุดพร้อมสำเนียงที่ฝึกมาอย่างดีเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน
เงียบ
พี่เคนมองมาอย่างตั้งใจ ส่วนนักเรียนทุกคนดูสงบนิ่ง เมื่อไม่มีใครถามอะไรผมจึงพูดต่อ
"แต่ถ้าจะให้แนะนำตัวธรรมดาก็คงจะน่าเบื่อแย่ใช่ไหมครับ ครูเลยมีอันนี้มาให้"
คราวนี้นักเรียนดูตื่นเต้นมากขึ้น แต่แล้วก็นิ่งลง อาจเพราะคาดหวังกันไปยิ่ใหญ่เกินกว่ากองกระดาษยับ ๆ กองหนึ่ง
กิจกรรมนี้เรียกว่า 'กะหล่ำปลี' วิธีการเล่นก็เหมือนการโยนลูกบอลไปมาท่ามกลางเสียงดนตรี หากดนตรีหยุดลง เท่ากับว่าคนที่ถือลูกบอลอยู่เป็นผู้โชคดี
กะหล่ำปลีนี้ต่างออกไปตรงที่ แทนที่จะเป็นลูกบอล แต่จะเป็นกระดาษที่ถูกขยำเป็นชั้น ๆ คล้ายกระหล่ำปลี กระดาษแต่ละชั้นจะมีคำถามเขียนอยู่ เป็นคำถามทั้งสี่ประโยคที่ถูกสุ่มมาวางนั่นเอง
สิ่งที่ผู้โชคดีจะต้องทำก็คือตอบคำถามนั้น ซึ่งก็มีรูปแบบอยู่บนกระดาน เพียงแค่เปลี่ยนข้อความให้เข้ากับของตัวเองเท่านั้น
เมื่อบอกวิธีการเล่นเสร็จ ผมก็เริ่มให้ลองเล่นครั้งแรก
ผู้โชคดีคนแรกคือเด็กชายที่แหย่ผมเมื่อต้นคาบ สะใจชะมัด แต่ผมต้องเก็บอาการไว้ก่อน
"ในนั้นเขียนว่าอะไรครับ"
"วอท อีด….อะไรวะมึง" พูดแค่สองคำก็หันไปถามเพื่อนทันที
ผมจำประโยคแรกได้แน่นอน มันคือ What is your name? นั่นเอง
แปลกจังที่เด็ก ม.3 จะไม่รู้วลีพวกนี้บ้างเลย ที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือเพื่อนรอบข้างส่ายหน้ากันหมด
"ผมพูดไม่ได้หรอกจารย์"
ผมแก้สถานการณ์ด้วยการออกเสียงให้ฟังอีกครั้ง แล้วให้นักเรียนพูดตาม ก็พอไปวัดไปวาได้
ผู้โชคดีคนที่สอง เป็นเด็กผู้หญิงท้ายห้อง เด็กคนนี้แอบเล่นโทรศัพท์ตั้งแต่ผมอธิบายการเล่นแล้ว
"ฮาว โอ อา ยู" แล้วหันไปกระซิบกับเพื่อนแล้วจึงพูดต่อ "ไอ อีด ฟิบตี้ เยีย โอ"
ผมแทบกุมขมับ ที่สับสนว่าสิบห้าเป็นห้าสิบนั้นพอเข้าใจได้ แต่ใช้ verb be ผิดนี่มันขั้นหนักเลยนะ
"เก่งมากครับที่พูดได้เต็มประโยคเลย แต่ถ้าให้ถูกกว่านี้ จะต้องพูดว่า I am fifteen years old นะครับ"
"ค่ะ" สิ้นเสียงก็เอามือซุกเข้าใต้โต๊ะเช่นเคย
คงต้องปรับพื้นฐานกันมากกว่านี้แล้วแหละ เอาเถอะ คงจะมีแค่ส่วนน้อยละมั้ง
ผมเปิดเพลงแล้วเริ่มกิจกรรมต่อ ผ่านไปเพียงสองรอบแต่นักเรียนเริ่มเนือย ๆ กันแล้ว เพื่อความตื่นเต้นผมจึงกดหยุดเพลงเร็วกว่าปกติ
คราวนี้กะหล่ำปลีตกไปอยู่กับนักเรียนชายกลางห้อง
แต่แล้วเด็กคนนั้นก็รีบเขวี้ยงกะหล่ำปลีออกจากตัว ไปหาคนข้าง ๆ แล้วคนข้าง ๆ ก็ปาใส่คนอื่นต่อ ไปเรื่อย ๆ จนสักพักมันกลายเป็นสงคราม คงจะลืมไปแล้วละมั้ว่าพี่เคนดูอยู่ข้างหลังห้องแบบเงียบ ๆ ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
มันจะดูน่าสนุกทีเดียว ถ้าสิ่งที่เล่นอยู่มันอยู่ในแผนของผม
ตอนนี้กลีบกะหล่ำปลีแต่ละกลีบปลิวว่อนทั่วห้อง
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็กน้อยวัยกลัดมันที่ไร้เดียงสาและเสียงของหัวหน้าห้องที่คอยห้ามปรามคนอื่นอยู่ ในใจผมกลับกำลังส่งเสียงซะอื้นอยู่
นรกแตก คำนี้ละมั้งที่สามารถบรรยายบรรยากาศตอนนี้ได้คลอบคลุมที่สุด
ผิดหวัง คำนี้ละมั้งที่สามารถบรรยายความรู้สึกผมตอนนี้ได้ดีที่สุด
"เงียบ!!!!!!!!"
เสียงลากยาวดั่งสายฟ้าฟาดจากทางหลังห้องนั้นทำให้ทุกความวุ่นวายหยุดลง
เจ้าของเสียงคือพี่เคนไม่ผิดแน่ แต่ตอนนี้สายตาผมมองอะไรได้ไม่ชัดนัก หยดน้ำน้อย ๆ บนดวงตาผมบดบังทัศนียภาพไปเกือบหมดสิ้น
แม้จะไม่เห็นสีหน้าได้ชัดเจน แต่จากที่ฟังจากเสียง แน่ ๆ คือระเบิดกำลังจะลงแน่นอน
"นั่งที่! ยัง ยังไม่นั่งอีก นับหนึ่ง…สอง…!" ไม่ต้องรอให้ถึงสาม ทุกคนก็ดูจะเข้าที่เรียบร้อยแล้ว "เอาสมุดขึ้นมา" เสียงพรึบพรับดังขึ้นหลังจากนั้นทันที "การบ้านวันนี้ ลอกคำถามสี่ประโยคบนกระดาน สีแดงน่ะ เห็นไหม! แล้วเขียนตอบกลับมา มีแค่สี่ข้อ เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ตอนเช้าก่อนเข้าแถวครูจะต้องเห็นสมุดทั้งสี่สิบเอ็ดเล่มบนโต๊ะ เข้าใจไหม!"
"ครับ/ค่ะ!" ทุกเสียงตอบรับพร้อมกัน ตามมาด้วยเสียงบ่นอุบอิบประปราย
กรี๊ง!!
เหมือนจัดคิวได้จังหวะพอดี เสียงออดบอกเวลาหมดคาบก็ดังขึ้นหลังจากนั้น
"นักเรียนทั้งหมดทำความเคารพ!….ขอบคุณครับ/ค่ะคุณครู"
ผมที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วนั้น ได้แต่เก็บกระเป๋าแล้วรีบรุดออจากห้องไปทันที ออกไปทั้งที่ไม่รอพี่เคนเลยด้วยซ้ำ