ตอนที่ 8 ความหมายในการมีอยู่ของร้านขายสัตว์เลี้ยง
ความหมายในการมีอยู่ของร้านขายสัตว์เลี้ยงคืออะไร? ก็คือการทำหน้าที่เป็นเครื่องกรอง ช่วยเลือกสัตว์เลี้ยงที่มีนิสัยเชื่องและสุขภาพแข็งแรงออกมาจากโรงเพาะพันธุ์สัตว์ พร้อมจัดหาสัตว์เลี้ยงที่มีลักษณะที่สวยงามให้แก่ลูกค้า และให้คำแนะนำแก่ลูกค้าที่เข้ามาซื้อ แม้ว่าที่สุดแล้วจะมีลูกค้าเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจความหมายนี้ได้อย่างถ่องแท้
หลังจากไปสำรวจมาแล้วหนึ่งครั้ง หากเปรียบเทียบกันกับ ‘รักสัตว์น่ารัก’ ที่ไม่ยอมให้เขาเข้าไปชมโรงเพาะพันธุ์สัตว์แล้ว โรงเพาะพันธุ์สัตว์ของ ‘บ้านสัตว์เลี้ยง’ นั้นทำให้จางจื่ออันรู้สึกพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นระดับความเอาใจใส่ในการเพาะพันธุ์หรือระดับมาตรฐานของน้ำยาฆ่าเชื้อ ที่สำคัญที่สุดคือทัศนคติของที่นี่ ที่ไม่นำแมวและสุนัขมาเป็นเครื่องจักรเพาะพันธุ์ลูก
เขาเน้นสังเกตเหล่าแม่พันธุ์แมวและแม่พันธุ์สุนัขที่กำลังให้นมลูกอยู่อย่างละเอียด สังเกตดูร่างกายและสีขนของพวกมัน ถือว่าสุขภาพจัดอยู่ในระดับที่ดูมีชีวิตชีวามาก ตลอดจนพฤติกรรมการดูแลลูกน้อยของพวกมัน
ที่นี่ยังมีจุดเด่นอีกข้อหนึ่งก็คือลูกสัตว์ทั้งหมดที่ออกจากระยะให้นมแม่แล้ว ไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือเล็ก ก็จะถูกจัดให้อยู่ในกรงของตนเอง ไม่ใช่ไปอยู่ร่วมกันกับสัตว์น้อยตัวอื่นๆ
เมื่อชายหนุ่มผู้มากประสบการณ์พ่นยาฆ่าเชื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาปลดเครื่องพ่นยาไฟฟ้าลงจากหลัง ถอดชุดป้องกันเชื้อโรค พร้อมถอดที่อุดหูกับผ้าปิดปากออกและเดินมาทางจางจื่ออัน
"คุณมาจากร้านขายสัตว์เลี้ยงร้านไหน?” เมื่อสังเกตตั้งแต่หัวจรดเท้าครั้งหนึ่งแล้ว เขาถามจางจื่ออันอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
เขาชื่อซุนอี๋เหนียน หน้าตาคล้ายกับชาวนาผู้มากประสบการณ์ แต่งตัวก็คล้ายกับชาวนา เมื่อก่อนเขาต้องเป็นชาวนาอย่างแน่นอน แต่ว่าตอนนี้มาเป็นเถ้าแก่ของที่นี่ ปกติหากคนงานไม่พอเขาจะลงมือปฏิบัติงานด้วยตนเองเพื่อที่จะประหยัดเงิน เหมือนเมื่อสักครู่นี้ เพราะอย่างนั้นเขาจึงดูไม่เหมือนคนที่เป็นเถ้าแก่เลย
"ร้านสัตว์เลี้ยงมหัศจรรย์ครับ คุณคงไม่เคยได้ยินชื่อนี้หรอก" จางจื่ออันตอบ
"ไอ้หยา ร้านที่อยู่ตรงถนนจงหัวใช่ไหม?” เธอพูดสวนขึ้น
"โอ้ ใช่ร้านนั้นแหละ คุณรู้จักด้วยเหรอ?” จางจื่ออันเพิ่งจะเคยพบคนที่รู้จักร้านสัตว์เลี้ยงของบ้านตน ในใจรู้สึกภูมิใจมาก
"รู้จักสิ จะเรียกว่าเราเป็นเพื่อนบ้านกันเลยก็ได้!” เธอหัวเราะ พร้อมกับยื่นมือออกไปหาเขา "ฉันชื่อซุนเสี่ยวเมิ่ง ที่ถนนจงหัวมีร้านคลินิกรักษาสัตว์ 'หลิงยวี่ (วิญญาณบำบัด) ' ที่เพิ่งเปิดใหม่ คุณเคยเห็นไหม?”
จางจื่ออันครุ่นคิด มีอยู่ร้านหนึ่งจริงๆ ด้วย อยู่ทางทิศเหนือของถนนจงหัว ร้านมหัศจรรย์ร้านสัตว์เลี้ยงอยู่ทางทิศใต้ เกือบจะคนละฟากถนน ระยะห่างหลายร้อยกว่าเมตร จะบอกว่าเป็นเพื่อนบ้านก็จะฝืนๆ อยู่สักหน่อย แต่ว่าก็จริงอยู่ที่ว่าใกล้มากๆ
คลินิกรักษาสัตว์หลิงยวี่เพิ่งจะเปิดร้านใหม่ เนื่องจากกฎของประเทศ การเลือกที่ตั้งของคลินิกรักษาสัตว์กับโรงพยาบาลสัตว์ต้องอยู่ห่างไกลจากบ้านผู้คนและโรงเพาะพันธุ์สัตว์ โรงฆ่าสัตว์และสถานที่ค้าสัตว์สองร้อยเมตรขึ้นไป ดังนั้นไม่สามารถเป็นเพื่อนบ้านติดกันกับร้านขายสัตว์เลี้ยงได้แน่นอน เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ที่มาเข้ารับการรักษาเกิดโรคติดต่อถึงกัน
เขารีบร้อนจับมือกับเธอ "ถ้าอย่างนั้นต่อไปฝากดูแลด้วยนะครับ"
เธอตอบอย่างตรงไปตรงมา "ได้ยังไงกัน เป็นเพื่อนบ้านกัน ต้องดูแลซึ่งกันและกันสิถึงจะถูก"
ซุนอี๋เหนียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่สามารถอดทนรอได้อีกต่อไป ดึงมือของพวกเขาออกจากกันอย่างไม่มีเหตุผล พูดด้วยเสียงฮึดฮัด "ตกลงว่าคุณมาทำอะไรกันแน่? จะมาเลือกสัตว์เลี้ยงก็รีบๆ เลือก! ผมยังมีธุระอีก!”
ซุนเสี่ยวเมิ่งบุ้ยปาก บอกจางจื่ออันไม่ต้องถือสา พ่อของเธอเป็นคนอารมณ์รุนแรง
ก่อนที่จางจื่ออันจะมาก็คิดไว้ดีแล้ว เพราะร้านสัตว์เลี้ยงมหัศจรรย์มีเขาเพียงคนเดียว และตนก็ยังไม่คุ้นเคยกับงานนี้ ถ้ามีสัตว์เลี้ยงเยอะเกินไป เขาคงดูแลไม่ไหวเป็นแน่ อย่างมากซื้อสักสี่ห้าตัวก็พอแล้ว
เขากล่าวว่า "ผมอยากดูแมวสยาม (แมววิเชียรมาศ) , แมวบริติชขนสั้นและซามอยด์ ขอที่เป็นอายุประมาณสี่เดือนทั้งหมดนะครับ"
เพราะราคาของทั้งสามชนิดนี้เป็นราคาหลักพันที่พอรับได้ และทั้งหมดนี้กำลังเป็นที่นิยม ซึ่งส่วนใหญ่เขตเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงมักจะนำออกมาให้ดู
"ได้ ตามผมมา" ซุนอี๋เหนียนไม่พูดมาก รุดเดินนำหน้าไปทันที
แต่เมื่อเดินไปได้สองก้าว เขาหันหลังกลับมา เห็นว่าลูกสาวก็เดินตามมาเช่นกัน จึงถลึงตาใส่ทันที "แกตามมาทำไม? เมื่อกี้ยังเอะอะโวยวายจะรีบกลับอยู่เลยไม่ใช่รึ?”
ซุนเสี่ยวเมิ่งเสยหน้าขึ้น "แหม ก็เพราะว่าพ่อไม่จ่ายเงิน หนูถึงไม่อยากอยู่ทำงานฟรีๆ อีกอย่างเขาเป็นเพื่อนบ้านหนู หนูเลยต้องตามไปด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อหลอกเขา!”
จางจื่ออันพูดโน้มน้าว "ถ้าคุณมีธุระจะกลับก่อนก็ได้นะครับ ผมอยู่ได้"
เธอส่ายหัวอย่างไม่สนใจ "ไม่มีธุระอะไรหรอก คลินิกของฉันเพิ่งเปิด ไม่มีงานอะไร เอ่อ คุณขับรถมาหรือว่า..."
"ผมนั่งรถประจำทางมาครับ ที่นี่มีบริการส่งสินค้าฟรีไหมครับ?”
"คุณคิดว่าคนขี้งกแบบนี้จะมีบริการส่งสินค้าให้คุณฟรีเหรอ? ถ้าใครจะมาซื้อของจากที่นี่ก็ต้องขับรถมาเองกันทั้งนั้น"
เขาค่อนข้างกลุ้มใจนิดหน่อย จะถือกรงหลายกรงขึ้นรถประจำทางได้ยังไง? ถ้าจะเรียกรถแท็กซี่ คนขับคงไม่ยอมให้เอาขึ้นรถเป็นแน่
นอกจากว่าจะใช้ นักล่าสัตว์เลี้ยง เกมนี้สามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปไว้ในโทรศัพท์ได้ชั่วคราว แต่เขาก็ไม่อยากทำเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่น ถึงยังไงความจริงแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องที่ทั้งโลกจะต้องตกใจเรื่องหนึ่ง
"ไม่เป็นไร ฉันมีรถ คุณเอากลับไปด้วยกันก็ได้" เธอเห็นความลำบากใจของเขา จึงพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ
"คุณช่วยผมได้มากเลย ผมจะออกค่าน้ำมันให้นะครับ" จางจื่ออันพูดด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
ขั้นตอนการเลือกสัตว์เลี้ยงค่อนข้างราบรื่น จางจื่ออันไม่เคยประกอบธุรกิจร้านขายสัตว์เลี้ยงด้วยตนเอง แต่ยังดีที่เขาเคยเห็นสัตว์เลี้ยงมาไม่น้อย จึงไม่ถึงกับไม่รู้จักแม้แต่ลักษณะเฉพาะของสัตว์เลี้ยง อีกทั้งยังมีซุนเสี่ยวเมิ่งที่เป็นสัตวแพทย์ จึงเพิ่มความสบายใจให้แก่เขาได้อีก
เมื่อเลือกสัตว์เลี้ยงเรียบร้อยแล้ว ก็ควรที่จะคุยเรื่องราคา
เมื่อได้ยินซุนอี๋เหนียนพูดถึงเรื่องตัวเลขออกมา ถึงแม้ว่าจางจื่ออันจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่มุมปากยังกระตุกลงเบาๆ ราคาของที่นี่แพงกว่าร้านรักสัตว์น่ารักจริงๆ ด้วย สูงกว่าเกือบ 40% ด้วยซ้ำ มิน่าล่ะขนาดร้านของทางนั้นจึงใหญ่กว่า การค้าขายก็ดีกว่า
สำหรับร้านขายสัตว์เลี้ยง ราคาสินค้าที่สูงหรือต่ำเกี่ยวเนื่องกับกำไร แม้ราคาที่ต่ำจะน่าดึงดูดใจจนยากปฏิเสธ เพราะถึงยังไงถ้าขายสัตว์เลี้ยงได้ก็ถือว่าทำเงินได้แล้ว หลังจากนั้นไม่ว่าสัตว์เลี้ยงจะแข็งแรงหรือไม่ ร่างกายจะมีข้อบกพร่องหรือไม่ จะเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ? เพราะสามารถปฏิเสธได้โดยอ้างว่าลูกค้าเลี้ยงไม่เป็น
แล้วทำไมร้านขายสัตว์เลี้ยงมหัศจรรย์ของพ่อกับแม่ถึงเปิดมาได้หลายสิบปี ทั้งที่ 80% ของร้านขายสัตว์เลี้ยงเปิดใหม่จะเจ๊งกันในเวลาหนึ่งปี? จึงกล่าวได้เพียงคนทำอะไร ฟ้าย่อมมองเห็น เพียงเพื่อผลตอบแทนอันน้อยนิดที่อยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่สนใจในคำพูดของผู้ใดเลยก็สมควรแล้วที่จะจบลงอย่างนั้น
เพราะคนที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงมักชอบที่จะมีประติสัมพันธ์กัน เช่น ลงรูปในหนังสือพิมพ์รายวันบ้าง ในเวยป๋อบ้าง หรือในวีแช็ตบ้างเป็นต้น ถ้าพวกเขาซื้อสัตว์เลี้ยงที่มีปัญหามาจากร้านของคุณไป แล้วรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ พวกเขาต้องบอกคนอื่นอย่างแน่นอนว่าอย่าไปซื้อสัตว์เลี้ยงร้านนี้ จากหนึ่งแพร่ไปสิบ จากสิบแพร่ไปร้อย เรื่องดีๆ ไม่แพร่หลายออกไปในวงกว้าง แต่เรื่องเลวร้ายมักแพร่ออกไปได้ไกลเป็นพันลี้ คิดอยากจะโกงลูกค้า แต่สุดท้ายแล้วกลับเป็นการโกงตนเอง
ซุนเสี่ยวเมิ่งช่วยพูดอยู่ข้างๆ "พ่อ! เขาเพิ่งมาครั้งแรกเองนะ พ่อคิดเงินกับเขาถูกลงกว่านี้ไม่ได้เหรอ?”
พ่อของเธอถลึงตาใส่ "นี่แกเป็นลูกของฉันหรือว่าเป็นลูกของเขา? สรุปแล้วแกจะพูดช่วยใคร?”
"เชอะ! คนขี้งก!” เธอโกรธจนไม่พูดอะไร หันหน้าไปอีกข้าง
"ตกลง! ผมจะเอา ราคานี้แหละ!” จางจื่ออันตัดสินใจได้แล้ว เหตุผลก็คือ ของถูกไม่มีวันดี ของดีไม่มีวันถูก
การที่เขาตอบรับอย่างง่ายดายแบบนี้ ทำให้ซุนอี๋เหนียนรู้สึกแปลกประหลาดใจ เดิมทีซุนอี๋เหนียนตั้งราคาไว้สูงลิ่ว อยากจะให้เจ้าหนุ่มคนนี้รู้ซึ้งถึงความลำบากและถอยกลับไป เพราะเขายังมีอคติกับเด็กหนุ่ม ตอนนี้คนหนุ่มไฟแรงมากมายต่างก็อยากเปิดร้านขายดอกไม้ ร้านกาแฟ ร้านขายสัตว์เลี้ยง และเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้...พอมองดูแล้วก็ไม่ใช่ลักษณะของพ่อค้าหน้าเลือด
"อะแฮ่ม!” ซุนอี๋เหนียนกระแอมไอครั้งหนึ่ง "งั้นก็ตกลง ที่ร้านของผมถ้าหากซื้อครบห้าพันจะแถมสัตว์เล็กอย่างอื่นให้นิดหน่อย"
“เอ๊ะ ทำไมหนูไม่เคยรู้เรื่องกฎนี้เลยคะ?” ซุนเสี่ยวเมิ่งหันหน้ากลับมา ตั้งใจใช้น้ำเสียงเยาะเย้ยถามพ่อของเธอ
"ฉันตั้งกฎขึ้นมาต้องขอความเห็นจากเธอด้วยเหรอ?” ซุนอี๋เหนียนถลึงตาอีกครั้ง
รถของซุนเสี่ยวเมิ่งเป็นรถสี่ประตู ค่อนข้างเล็กแคบ แต่ก็เพียงพอที่จะใส่กรงทั้งสี่กรงเข้าไปได้
จางจื่ออันมองดูสัตว์ตัวเล็กที่ซุนอี๋เหนียนมอบให้ แล้วอดที่จะส่ายหัวไม่ได้ ที่แท้ก็แถมหนูแฮมสเตอร์ให้นี่เอง! เป็นสัตว์เล็กจริงๆ