บทที่ 15 คิดจะหลอกข้าหรือ ไม่มีทาง!

บทที่ 15 คิดจะหลอกข้าหรือ? ไม่มีทาง!

ลูกศิษย์ใหม่ทุกคนที่อยู่ในหุบเขาเริ่มต้น ต่างสวม ‘เครื่องแบบบอกระดับความสามารถ’ ของตนเอง จูจูที่สวมเครื่องแบบสีเทายืนอยู่ด้านข้างของอิ๋นจื่อจางที่หล่อเหลาทำให้นางดูเหมือนหนูยักษ์ตัวสีเทาที่เพิ่งโผล่พ้นออกมาจากพื้นดิน

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้เรื่องที่ว่านาง ‘มีคนคอยหนุนหลัง’ ลูกศิษย์ใหม่ทุกคนต่างก็ได้ยินข่าวนี้กันหมดแล้วและยังถูกกำชับว่าหากไม่มีอะไรก็อย่าไปหาเรื่องดาวมหาภัยอย่างอิ๋นจื่อจางเข้า

ตอนแรกคิดว่าเรื่องที่ทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟก็เพราะสาวสวยดั่งดรุณีแรกแย้ม คิดไม่ถึงว่านางจะมีรูปโฉมเช่นนี้ ทำให้ทุกคนประหลาดใจเป็นอย่างมาก

ถ้าเกิดอิ๋นจื่อจางไม่ได้มีรสนิยมแปลกๆ ล่ะก็ เขาก็คงจะมีความสัมพันธ์ที่พิเศษอย่างอื่นกับผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ คนนี้เป็นแน่

“ไร้สาระ ศิษย์พี่ของข้าหน้าตางดงามกว่าเจ้าตั้งเยอะ!”

จูจู หูไวเป็นอย่างมาก นางได้ยินประโยคของผู้ที่มีดวงตาดอกท้อพูดชัดเจนทุกถ้อยคำ

แต่ว่าดูจากความคิดของพวกเขา ดูเหมือนจะเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว

ตอนนี้นางกับอิ๋นจื่อจาง เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกันคราวหลังถ้ามีคนมาถามว่า เขาและนางมีความสัมพันธ์อะไรกัน ก็มีคำตอบที่ชัดเจนแล้ว

ในตอนนั้นมีหลายคนที่ไม่พูดอะไร ผู้มีดวงตาดอกท้อถึงจะค่อยรู้สึกตัวกลับมาพร้อมกับหัวเราะออกมาตรงๆ

อิ๋นจื่อจาง ริมฝีปากกระตุกเล็กน้อย เขาจ้องไปที่จูจู พร้อมด่าอย่างอารมณ์เสียว่า “เจ้าหมูโง่!”

เด็กหนุ่มที่มีท่าทางหยิ่งทะนงที่ทำท่าราวกับใช้ปลายจมูกชี้หน้าผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาอีกคนยิ้มและแค่นเสียงหึขึ้นจมูกพลางพูดว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าอาวุโสเจิ้งเลือกลูกศิษย์ยังไง” พูดเสร็จแล้วก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป เด็กหนุ่มอีกสองคนรู้สึกเห็นด้วยกับที่เขาพูดจึงเดินตามเขาไป

ดวงตาดอกท้อเดินช้าลงจงใจให้อยู่ในระดับเดียวกับจูจูและยักคิ้วหลิ่วตา “ศิษย์น้องหญิงเจ้าชื่อจูจูใช่ไหม ศิษย์พี่ชื่อจิงจี๋เหริน จี๋เหรินที่แปลว่าคนดีน่ะ เมื่อเช้าเจ้าทำอะไรกินเหรอ คราวหลังทำให้ศิษย์พี่บ้างชุดนึงได้หรือไม่”

จูจู ในขณะนั้นก็รู้สึกตัวแล้ว นางรู้สึกโกรธคนคนนี้ที่ตัดสินคนอื่นจากภานนอกและทำให้นางเสียหน้า นางขยับอ้อมไปอยู่ข้างๆ อิ๋นจื่อจางและปฏิเสธเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวว่า “ไม่ได้!”

นางมีเจ้าคนเลวคนนี้คอยเป็นที่พึ่ง คนอื่นคิดจะมากดขี่นางหรือ? ผ่านด่านเจ้าคนเลวนี่ไปให้ได้ก่อนเถอะ!

“เจ้าจะเห็นว่าศิษย์พี่อิ๋นหน้าตาหล่อกว่าข้าแล้วจะเลือกปฏิบัติไม่ได้นะ! เจ้าทำอาหารอร่อยๆ ให้ข้ากิน ข้าจะให้วันละหนึ่งหินวิญญาณ” ดวงตาดอกท้อยิ้มตาหยีชวนให้หลงใหล

อาหารเย็นเมื่อวานทำให้เขาเกือบจะร้องไห้ เขาโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยกินอาหารที่รสชาติแย่ขนาดนี้มาก่อน เขามีตบะเป็นผู้ฝึกพลังระดับสี่ สามถึงสี่วัน ไม่กินข้าวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านานกว่านั้นก็ไม่ไหว เช้าวันนี้เขาได้กลิ่นอาหารที่จูจูทำโชยออกมา ทำให้หิวจนต้องกลืนน้ำลาย

จิงจี๋เหรินก็เกิดในตระกูลผู้บำเพ็ญ ลุงใหญ่ของเขาคือหัวหน้าของหุบเขาเม่ยหย่วน และเป็นระดับอาวุโสที่อายุน้อยที่สุดในสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ชื่อ จิงลี่ ในตระกูลนอกจากเขายังมีอีกหกคนที่อยู่ที่นี่ถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลพอควร เนื่องจากครอบครัวของเขาร่ำรวย ดังนั้นจึงมีกำลังมากพอที่จะจ่ายวันละ หนึ่งหินวิญญาณ เพื่อเป็นค่าอาหารได้

จูจู ส่ายหน้าพลางพูดว่า “หินวิญญาณคืออะไร? มีค่ามากไหม?”

จิงจี๋เหรินเกือบจะล้มลง หินวิญญาณก็เปรียบเสมือน ‘เงิน’ ที่เหล่าผู้บำเพ็ญใช้กันที่นี่ หินวิญญาณสามารถเก็บพลังปราณวิญญาณได้มีประโยชน์มากมาย ดังนั้นเซียนทุกคนจึงจำเป็นต้องมีสิ่งนี้

เขาเกาศีรษะพลางพยายามอธิบายให้จูจูเข้าใจถึงมูลค่าของมัน “มีมูลค่ามาก หนึ่งพันสองร้อยตำลึงเงินถึงจะสามารถซื้อหินวิญญาณได้หนึ่งก้อน” เด็กสาวคนนี้ทำไมแม้แต่หินวิญญาณก็ไม่รู้จัก โลกแคบชะมัด!

“งั้นเจ้าให้ข้าเป็นตำลึงเงินก็พอ” อาหารวันหนึ่งจะต้องจ่ายถึงหนึ่งพันสองร้อยตำลึงเงินเลยงั้นหรือ?!

จะหลอกใครกันน่ะ! จูจูรู้สึกว่าถ้าตัวเองหลงกลเขาแบบนี้ นางก็ได้กลายเป็นหมูโง่ที่แท้จริงน่ะสิ

จิงจี๋เหรินตกตะลึงเขามีหินวิญญาณติดตัวอยู่ไม่น้อย แต่เงินตำลึงกลับไม่มีสักก้อน บนภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์นี้จะใช้เงินตำลึงไปทำไมเล่า ตั้งหนึ่งพันสองร้อยตำลึงเชียวนะ!

จูจูทำหน้า ‘จะหลอกข้างั้นหรือ ไม่มีทาง!’ ใส่ พลางส่งเสียงเหอะออกมาคำนึงแล้วไม่สนใจเขาอีกต่อไป

อิ๋นจื่อจาง เห็นทั้งสองคนคุยกันอย่างสนิทสนม ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดแต่ไม่นานก็เห็นจิงจี๋เหรินใบ้กินก็รู้สึกอดขำไม่ได้ เขาจับแขนของจูจูแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า

แท่นไท่เสวียนเป็นแท่นที่อยู่ตรงกลางหุบเขาเริ่มต้นสูงประมาณหนึ่งจ้าง วัสดุทำมาจากหยกขาวทรงกลมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณใจกลางลานกว้างขนาดสิบกว่าจ้าง บริเวณด้านล่างมีลูกศิษย์ที่สวมเครื่องแบบสีเทาอยู่เต็มไปหมดประมาณหนึ่งพันกว่าคน

สำนักญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะเปิดรับศิษย์ทุกๆ สิบปี และทุกๆ สามปีจะมีการประลอง ลูกศิษย์สายนอกต้องเข้าร่วมทุกคน เฉพาะสิบคนที่ชนะเป็นสิบอันดับแรกเท่านั้นที่จะได้กลายเป็นศิษย์สายในของสำนัก พวกที่เหลือก็ต้องรอโอกาสต่อไปครั้งหน้า หรือไม่ก็ต้องพึ่งความพยายามของตัวเองไปให้ถึงระดับจู้จีถึงจะสามารถเลื่อนขั้นกลายเป็นศิษย์สายในของสำนักได้

ศิษย์สายนอกสำนักและศิษย์สายในสำนักต่างได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน โดยปกติแล้วพวกเขาจะไม่ได้ยาจู้จี การที่ไม่มียาจู้จีแล้วจะฝึกสำเร็จกลายเป็นเซียนระดับจู้จีได้นั้นถือว่ามีความเป็นไปได้ที่ต่ำมาก ช่วงสามร้อยปีที่ผ่านมานี้ ผู้ที่สามารถพลิกฟ้ากลายเป็นระดับจู้จีได้ มีเพียงไม่ถึงสิบคน ยากกว่าการที่ชนะการแข่งขันเป็นหนึ่งในสิบคนเสียอีก

ในลานกว้างลูกศิษย์สายนอกสำนักทุกคนต่างต่อแถวเป็นแนวยาว จากผู้ที่ระดับพลังขั้นหนึ่งไปจนถึงระดับขั้นเก้า แต่คนที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ อีกแถวหนึ่งที่สะดุดตาก็คือผู้ที่เหมือนจูจู ที่เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้แม้แต่พลังระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุเพียงไม่กี่ขวบ จูจูยืนอยู่ในแถวนั้นจึงโดดเด่นและดึงดูดสายตามาก

ผู้คนไม่น้อยที่ได้ยินเรื่องราวของนางว่าเป็นคนไร้ประโยชน์แต่กลับถูกอาวุโสเจิ้งรับเป็นศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียวนั้น ต่างก็พากันชี้มาที่นาง แต่จูจูกลับสงบนิ่ง ในสถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครทำอะไรนางได้ ใครอยากพูดอะไรก็พูดไป แล้วแต่เขา

ท่านยายเคยพูดไว้ว่า เป็นปุถุชนย่อมต้องโดนคนริษยา! พวกเขาก็แค่อิจฉาในความโชคดีของนาง นางก็ควรจะพอใจถึงจะถูก

ตอนแรกอิ๋นจื่อจางค่อนข้างเป็นกังวล แต่พอเห็นท่าทางที่นางแสดงออกอย่างเซ่อๆ ก็รู้ทันทีว่านางไม่รู้ได้รู้สึกกดดันจากความรู้สึกนี้ จึงรู้สึกวางใจขึ้น คิดอีกทีแล้วก็รู้สึกโมโห คนที่ไม่คิดอะไรเลยแบบนี้เขาจะไปกังวลแทนนางทำไม เจ้ากี้เจ้าการไม่เข้าเรื่องจริงๆ!

บนแท่นบูชาไท่เสวียนระฆังทองส่งเสียงดังขึ้น เสียงยาวก้องกังวาน บนท้องฟ้ามีแสงหลากหลายสีวาบไปมา เจ้าสำนักของสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์นำห้าหัวหน้าของแต่ละหุบเขายืนอยู่บนอาวุธเวทย์ของตัวเองลอยพลิ้วจากบนท้องฟ้าลงมาบนแท่นอย่างคล่องแคล่วทำให้บรรดาลูกศิษย์ต่างร้องด้วยความชื่นชมเลื่อมใส

ผู้คนไม่น้อยต่างจินตนาการว่าสักวันหนึ่งจะได้มีโอกาสสำเร็จจากระดับจู้จีกลายเป็นระดับเจี๋ยตันหลังจากนั้นก็สามารถยืนอยู่บนอาวุธเวทย์และบังคับทิศทางไปมาอยู่บนฟ้าได้อย่างอิสระเหมือนพวกหัวหน้าอาวุโส นั่นคงเป็นเรื่องที่มีความสุขมากทีเดียว!

และนี่ก็เป็นจุดประสงค์ที่เจ้าสำนักและหัวหน้าหุบเขาปรากฎตัวต่อหน้าบรรดาศิษย์ด้วยวิธีนี้ เจ้าสำนักฝูอวี้รอจนถึงแท่นบูชาก็จงใจปล่อยพลังแรงกดดันของตนออกมา บรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้แท่นบูชาไม่น้อยต่างทนไม่ไหวต้องคุกเข่าลง

ผู้ที่อยู่บนแท่นบูชาทั้งหกคน เห็นเข้าก็เก็บพลัง ยิ้มและเดินมาด้านหน้าของแท่นบูชา

ผู้ที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายสุดคือหัวหน้าแห่งหุบเขาโอวหยวน ซูจิง เขากวาดตามองมาที่ด้านล่างของแท่นและมองเห็นจูจูที่ยืนอยู่ท่ามกลางบรรดาเด็กเล็กๆ ได้โดยง่าย เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น ความโหดเหี้ยมวาบผ่านดวงตาไป

จูจูที่กำลังครุ่นคิดว่า กลางวันนี้จะทำอะไรกิน จู่ๆ ก็รู้สึกหนาวขึ้นมาในทันที นางหันซ้ายหันขวา และบังเอิญไปสบตาเขากับสายตาที่ไม่เป็นมิตรของซูจิงเข้าพอดี…