บทที่ 4 ในกำไลมีโลกอีกใบอยู่
เด็กหนุ่มรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ากำไลของจูจูนั้นไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าภายนอกจะไม่มีกลิ่นอายพลังเวทอะไร แต่ลวดลายของมันเป็นลายเมฆไหลเหมือนกับแหวนของเขาไม่มีผิด
ว่ากันว่านี่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอาวุธที่ถูกสร้างจากปรมาจารย์หลอมอาวุธผู้มีชื่อเสียงที่เร้นกายอยู่ในแคว้นโอสถ จริงๆ แล้วลวดลายของมันก็คือเวทย์อาคม สามารถเก็บกลิ่นอายของดาบอาคมและสิ่งของอาคมล้ำค่าเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถทำให้มองเห็นเป็นแค่เครื่องประดับธรรมดาสามัญชิ้นหนึ่ง
และจุดสำคัญอีกหนึ่งข้อคือ สิ่งของพวกนี้เมื่อยอมรับเจ้านายของมันแล้ว จะมีเพียงเจ้านายของมันเท่านั้นที่สามารถใช้ปราณวิญญาณเปิดมันได้ คนอื่นไม่สามารถเปิดเพื่อแอบดูของข้างในได้ ถ้าหากว่าเจ้าของตายไป ของล้ำค่าที่อยู่ในช่องว่างนั้นก็จะไม่สามารถนำออกมาได้อีก นอกเสียจากจะมีคนอื่นที่สามารถทำให้มันยอมรับเป็นเจ้านายปรากฎกายขึ้น
หลายครั้งเด็กหนุ่มสงสัยว่ายายของนางจะต้องเก็บสิ่งของล้ำค่าเอาไว้ให้นางในกำไลแน่ เขาไม่ได้โลภอยากได้ของของจูจู แต่แค่อดสงสัยไม่ได้ว่าข้างในมีอะไร
คิดไม่ถึงว่าจูจูจะไม่รู้อะไรเลย และบนร่างกายของนางก็ไม่มีกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเซียนอะไรด้วย ถ้าจะให้นางใช้ปราณวิญญาณเปิดกำไลออก คงเป็นไปไม่ได้
“เจ้าหมูโง่!” เด็กหนุ่มขี้เกียจพูดให้มากความ เขานำหม้อ ผ้าห่มและฟูกออกมา พลางพูดว่า : “ข้าจะไปหาจับไก่ป่าหรือกระต่ายป่า เจ้าหาไม้มาก่อไฟ อย่าเดินไปไกลล่ะ ไม่งั้นโดนหมาป่าคาบไปข้าขี้เกียจไปช่วย” พูดเสร็จเขาก็เดินตรงเข้าไปในป่าทันที
จูจูคิดว่านี่คงจะเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็น ‘สิ่งของวิเศษพวกนี้’ แต่นางกลับไม่มีความประหลาดใจเลยสักนิด กลับเอาแต่คิดถึงตระกร้าไม่ไผ่ที่ตนแบกอยู่คนเดียวตลอดทางอย่างไม่พอใจ
เจ้าคนเลวนั่นมีสิ่งของที่สะดวกขนาดนี้ทำไมไม่ยอมเอาตระกร้าไม้ไผ่ใส่ลงไปด้วย? เจ้าคนขี้งก!
ถึงแม้ว่าในใจนางจะไม่พอใจ แต่ก็นางยังคงเชื่อฟัง นางเริ่มเก็บกิ่งไม้แห้งๆ เพื่อนำมาก่อไฟ นางเลือกหม้อที่อยู่ในกองสิ่งของที่เขาทิ้งไว้ เดินตรงไปตักน้ำมาจากลำธารเพื่อตั้งไฟ หลังจากนั้นจึงหมุนตัวไปจัดการทำความสะอาดกระโจม
หลังจากที่ยุ่งอยู่พักหนึ่ง นางก็ตัดสินใจนั่งลงเพื่อจะพักผ่อน แต่กลับได้ยินเสียงคนดังมาจากตีนเขา ไม่นานก็ปรากฏกลุ่มคนเก้าคน
คนพวกนี้มีหกคนที่แต่งตัวด้วยชุดของบ่าวรับใช้และแบกสิ่งของสัมภาระห่อใหญ่ห่อเล็กอยู่ บนร่างกายยังมีดาบและอาวุธเหน็บอยู่ หัวหน้ากลุ่มเป็นชายวัยกลางคนที่ร่างกายกำยำสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ข้างกายเขามีชายหญิงที่อายุราวๆ เดียวกับจูจูอยู่ อายุประมาณสิบหกปี ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลา ผู้หญิงก็สวยสดงดงาม ท่าทางหยิ่งทะนง แค่มองก็รู้ว่านั่นคือคุณชายและคุณหนูของตระกูลใหญ่
หน้าตาของพวกเขาทั้งสามใกล้เคียงกัน ถ้าไม่ใช่พ่อลูก ก็คงจะเป็นญาติที่ใกล้ชิดกัน
กลุ่มคนพวกนี้ก็คิดว่าที่นี่เหมาะแก่การพักค้างคืน มองจากที่ไกลๆ ก็เห็นแสงไฟ ไม่คิดว่าเมื่อเดินมาถึงจะพบแค่หญิงสาวที่แสนธรรมดาคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กองไฟ
หัวหน้ากลุ่มวัยกลางคนขมวดคิ้วอยู่เงียบๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับนาง เขาหันหลังไปโบกมือให้คนรับใช้ ตั้งค่ายพักแรมที่นี่ เตรียมทำมื้อเย็น
อยู่ๆ จูจูก็พบผู้คนมากมาย แถมแต่ละคนก็ไม่ใช่คนธรรมดาที่นางจะไปล่วงเกินได้เสียด้วย จึงได้แต่เงียบ รอเด็กหนุ่มกลับมาก่อนค่อยว่ากัน!
นางไม่วุ่นวายกับใคร แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับนาง
หม้อน้ำที่อยู่ตรงหน้านางไม่นานก็เดือด นางหยิบผักป่าที่เก็บมาระหว่างทางใส่ลงไปในหม้อคิดจะทำน้ำแกงร้อนๆ ขอแค่ดูแลปากท้องของเด็กหนุ่มให้ดี พอเขาอารมณ์ดีก็จะปฎิบัติต่อนางดีขึ้นมาก
กลิ่นหอมที่มีเสน่ห์ลอยไปตามสายลม ข้างภูเขาอีกฝั่งนึงคนที่กำลังตั้งค่ายทำอาหารอดไม่ได้ที่จะลอบกลืนน้ำลาย แม้แต่หัวหน้าขบวนที่เป็นชายวัยกลางคนนั้นก็ไม่ละเว้น เขาผ่านอะไรมามากมาย แต่ไม่เคยได้กลิ่นอาหารที่หอมขนาดนี้มาก่อน
เขาคิดไปคิดมาแล้วตัดสินใจเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของจูจูพลางพูดว่า “นังหนู ข้าให้เจ้าหนึ่งตำลึงเงิน ขายน้ำแกงหม้อนี้ให้ข้าเถอะ” คำพูดไม่ถึงกับไร้มารยาท น้ำแกงผักป่าหม้อเดียวใช้เงินถึงหนึ่งตำลึงเงินซื้อก็ถือว่าราคาสูงมากแล้ว แต่น้ำเสียงของเขาที่ใช้นั้นแสดงออกชัดเจนว่ากำลังออกคำสั่ง คุณชายคุณหนูที่เขาพามาด้วยไม่มีอะไรทำก็เดินตามมาด้วย
จูจูอ้าปากยังไม่ทันได้ตอบอะไร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มตะโกนปฏิเสธมาอย่างเด็ดขาดว่า : “ไม่ขาย!”
ชายวัยกลางคนหน้าขรึมลง คุณชายที่ตามเขามาด้วยก็ตะโกนด้วยเสียงดังว่า : “บังอาจ! เจ้าเป็นใคร?! พ่อข้าไว้หน้าพวกเจ้าจะซื้ออาหารหยาบๆ พวกนี้ พวกเจ้ารู้ไหมว่าพวกข้าเป็นใคร?”
เด็กหนุ่มไม่สนใจพวกเขา เดินไปหน้ากองไฟอย่างช้าๆ และนำกระต่ายป่าสองตัวที่ล่ามาส่งให้จูจูพลางพูดว่า “ไปล้างให้สะอาดแล้วเอามาย่างกิน”
จูจูเหลือบไปมองคนที่อยู่ข้างๆ กองไฟแวบนึง ก่อนจะวิ่งไปล้างกระต่ายที่ลำธารอย่างเชื่อฟัง ที่จริงแล้วนางคิดว่าถ้าขายน้ำแกงหม้อนั้นไปก็ไม่เป็นไร นางยังไม่เคยเห็นเลยว่าเงินตำลึงว่าหน้าตาเป็นยังไง!
แต่ว่าเจ้าคนเลวบอกว่าไม่ขาย นางก็จนปัญญา นางแยกตัวออกมาแบบนี้ดีแล้ว เพราะว่าถ้าเกิดพวกเขาต่อสู้กัน นางก็จะได้ไม่โดนลูกหลง ส่วนเด็กหนุ่มจะเป็นอะไรไหม นางไม่เคยเป็นกังวลเรื่องนั้นเลย
เขาไม่สร้างความลำบากให้ใครก็ถือว่าบุญแล้ว
ข้างกองไฟ ชายวัยกลางคนกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่ลูกสาวของเขากลับดึงชายเสื้อห้ามเอาไว้ และพูดเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ ช่างเถอะ”
ชายวัยกลางคนลังเล แต่ก็ฟังคำพูดของลูกสาว ไม่พูดอะไรอีก เด็กสาวเดินไปสองก้าวแล้วพูดกับเด็กหนุ่มว่า : “ผู้อาวุโสท่านนี้ เมื่อครู่ต้องขออภัยด้วย หวังว่าท่านจะไม่ถือสา” นางกล่าวจบแล้วทำความเคารพอย่างมีมารยาท
ชายวัยกลางคนเห็นลูกสาวที่ปกติเย่อหยิ่งอยู่เสมอยอมลงให้แบบนี้ ก็รู้ทันทีว่าเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าไม่ใช่คนธรรมดา จึงรีบเปลี่ยนสีหน้าทันทีพลางประสานมือพูดว่า : “ข้าคือเลี่ยวเทียนหัว นี่คือลูกสาวของข้าหย่งฉี ลูกชายหย่งหลิน ขออภัยด้วย เมื่อสักครู่นี้เป็นเพียงการเข้าใจผิด เสียมารยาทแล้ว…พี่ชายจะไปคารวะอาจารย์ที่เขาญาณศักดิ์สิทธิ์หรือ?”
ตระกูลเลี่ยวเป็นตระกูลในแถบนี้ที่มีพลังเซียนอยู่บ้าง ลูกของเขาทั้งสองได้เข้าสู่ช่วงการฝึกพลังปราณแล้วโดยเฉพาะลูกสาวฝึกพลังปราณได้ถึงขั้นที่สามตั้งแต่อายุยังน้อย นางยังเรียกชายคนนี้ว่าผู้อาวุโส งั้นชายผู้นี้ต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแน่ๆ แถมระดับยังต้องสูงกว่าลูกสาวของเขา
สำนักเซียนนี้กำลังเปิดรับสมัครลูกศิษย์ใหม่ๆ ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนี้ก็ปรากฏตัวที่นี้ ก็แปลว่าเขาจะไปเข้าร่วมงานนี้
เด็กหนุ่มไม่สนใจการพูดที่มีมารยาทขึ้นของพวกเขา เขาขี้เกียจแม้กระทั่งจะพูดกับคนพวกนี้แม้แต่ประโยคเดียว เขานั่งลงข้างกองไฟทำเหมือนทั้งสามคนนั้นไม่มีตัวตน
เลี่ยวหย่งหลินเคยชินกับการเป็นคุณชาย ไหนเลยจะทนได้กับการไม่ไว้หน้าเช่นนี้ได้? โดยเฉพาะกับคนที่อายุไม่ได้มากกว่าตัวเองสักเท่าไหร่ แต่เขายังไม่ทันที่เขาจะได้ลงมือทำอะไร ก็ถูกน้องสาวหย่งฉีห้ามเอาไว้ และถูกบังคับให้ถอยออกไป
ในใจของเลี่ยวเทียนหัวโกรธมาก แต่เขาเป็นคนฉลาด จากท่าทางของลูกสาวทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่พวกเขาไม่อาจจะไปยั่วโมโหด้วยได้ ดังนั้นจึงได้แต่ยอมฝืนอดทนไว้
สามคนพูดขออภัยในความผิดแล้วกลับไปที่ที่พักตน เมื่อเห็นว่าออกมาได้พ้นระยะที่เด็กหนุ่มจะไม่ได้ยินแล้ว เลี่ยวเทียนหัวก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามลูกสาวเสียงต่ำว่า : “พี่ชายท่านนั้นเป็นใครมาจากไหน?”
ถึงแม้จะอยู่ไกลแล้วแต่เขาก็ยังคงระวังคำพูดและการกระทำของตัวเอง
เลี่ยวหย่งฉีขมวดคิ้วพลางตอบเบาๆ ว่า “ข้าเองก็ดูไม่ออก…”