บทที่ 29 วงแตก
ผู้ที่รับหน้าที่ดูแลการต่อสู้และตัดสินนั้นมีสองคนเป็นศิษย์สายในระดับจู้จีที่มีคุณสมบัติครบถ้วนที่ถูกเลือกมาโดยเจ้าสำนัก
ในสนามมีม่านอาคมที่สลับซับซ้อน เพื่อป้องกันไม่ให้ศิษย์ที่เข้าร่วมเกิดพลั้งมือจนมีอันตรายถึงชีวิต หากในระหว่างการต่อสู้เกิดสถานการณ์ที่ไม่ถูกต้อง แค่ขยับไข่มุกวิเศษในม่านอาคม ผู้แข่งขันก็จะถูกแยกออกมาจากสนามในชั่วพริบตา เพื่อป้องกันอันตรายถึงชีวิต
หนึ่งในผู้ตัดสินเดินมาตรงกลางเวที มองไปที่จำนวนผู้ต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ก็ขมวดคิ้วพลางถามอิ๋นจื่อจางว่า “เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะต่อสู้พร้อมกันห้าคน? ความเลือดร้อนของเด็กหนุ่มยังไงก็มีข้อจำกัดนะ เวทีนี้มีไว้ให้ลูกศิษย์แลกเปลี่ยนความรู้กัน จะช่วยพัฒนาระดับพลังได้ ไม่ได้มีไว้เพื่อความแค้นส่วนตัวของใคร”
ประโยคหลังๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นการเหน็บแนมการกระทำของลูกศิษย์หุบเขาโอวหยวน
ปอเย่าเหลียนยิ้มเย็น ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ส่วนอิ๋นจื่อจางนั้นไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาเลย
ผู้ตัดสินส่ายหน้า ยังคงถามอิ๋นจื่อจางว่า “การแข่งขันจะใช้อาวุธวิเศษหรือไม่?” ลูกศิษย์ของปรมาจารย์หยวนอิงล้วนมีอาวุธวิเศษที่ล้ำค่าเอาไว้ในครอบครอง มิฉะนั้นคงไม่มีท่าทีที่ไม่กังวลเช่นนี้
อิ๋นจื่อจางยื่นมือออกมาชี้ไปที่ฝ่ายตรงข้ามพลางพูดว่า “ให้พวกเขาตัดสินใจก็แล้วกัน เวลาแพ้จะได้ไม่หาอะไรมาเป็นข้ออ้างอีก”
ผู้ตัดสินและบรรดาผู้ที่มาเข้าชมต่างใบ้กิน อะไรที่เรียกว่าบ้าสุดๆ ก็คือเขานี่แหละ!
ผู้คนไม่น้อยปิดปากเงียบส่ายหน้าและถอนหายใจ ปรมาจารย์หยวนอิงรับลูกศิษย์ที่มีคุณสมบัติสูงก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่นิสัยแบบนี้ทำให้ผู้คนไม่กล้าสรรเสริญเลย
ทุกคนมองมาที่เขาด้วยสายตาดูถูก ปอเย่าเหลียนมีหรือจะใช้อาวุธวิเศษได้? แต่จะว่าไปแล้วเขายังสงสัยว่าในตัวของอิ๋นจื่อจางว่าจะมี ‘อาวุธลับวิเศษ’ ซ่อนอยู่ ดังนั้นจึงกัดฟันแกะถุงจัดเก็บออกโยนไปให้ผู้ตัดสินอีกคน พลางพูดอย่างดุดันว่า “จะจัดการคนที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอย่างเจ้า จะต้องให้ข้าใช้อาวุธวิเศษด้วยรึ?” ลูกศิษย์อีกสี่คนก็ทำตามเขา
ผู้ตัดสินทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วก็คิดว่าช่างเถอะ สิ่งที่ควรพูดก็ได้พูดไปแล้ว ถ้าไม่ฟังพวกเขาก็จนปัญญา
เป๊ง! เสียงระฆังดังขึ้น ผู้ตัดสินเดินลงจากเวทีแล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “เริ่ม!!”
จูจูยืนอยู่หน้าสุดของด้านล่างเวที นางกำชายเสื้อเอาไว้แน่น เกรงว่าผู้ที่เข้าชมมากมายนี้คงไม่มีใครคิดว่าอิ๋นจื่อจางจะชนะสักคนนอกจากนาง
นางเห็นวิธีการฝึกของอิ๋นจื่อจางมาด้วยตาตัวเอง ใช้คำว่าโหดร้ายมาอธิบายยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่มีป้าวฝาหู่และเผยกู่คอยช่วยฝึก เขาเกือบจะใช้เวลากว่าครึ่งวันในการฝึกฝนตัวเอง อีกครึ่งวันในการรับมือการสอนของป้าวฝาหู่และเผยกู่ แม้กระทั่งเวลาจะนอนยังไม่ค่อยมี เวลาที่เขาจะผ่อนคลายก็คงมีแต่เวลากินข้าวเท่านั้น
ป้าวฝาหู่เคยพูดว่า อิ๋นจื่อจางมีวิธีการเรียนรู้การต่อสู้ที่ไวจนน่าตกใจ และความสามารถยังทิ้งห่างลูกศิษย์ระดับเดียวกันเป็นอย่างมาก ฟ้าประทานให้เขาเป็นคนบ้าที่กระหายในการต่อสู้ และวิธีการฝึกฝนที่ดีที่สุดก็คือการเรียนรู้จากการต่อสู้
กลางสนามลูกศิษย์หุบเขาโอวหยวนทั้งห้าคนต่างแสดงความเชี่ยวชาญในด้านการต่อสู้ที่ดุดันออกมา ศิษย์สายนอกผู้ฝึกพลังระดับแปดสองคนท่องคาถา หนึ่งในนั้นร่ายสายฟ้าขนาดใหญ่ขึ้นและผ่าลงมาจากฟ้าไปที่อิ๋นจื่อจางยืนอยู่ ลูกไฟขนาดใหญ่สองลูกที่ส่งเสียงเปรี๊ยะๆ พุ่งไปยังช่องท้องและหน้าอกรวมทั้งส่วนล่างของอิ๋นจื่อจาง ทั้งสามจุดถูกโจมตีพร้อมๆ กัน
ศิษย์สายนอกอีกคนในมือของเขามีพลังปราณสีเขียวอ่อนอัดแน่นกันจนเป็นเหมือนเถาวัลย์และส่งพลังไปทางอิ๋นจื่อจางเพื่อจะมัดขาของเขาเอาไว้
และศิษย์ระดับเก้าอีกสองคนก็ร่วมมือกันโอบล้อมเขาไว้ทั้งสามด้าน เพื่อกันไม่ให้อิ๋นจื่อจางถอยหนี ในเวลาเดียวกันยังโจมตีอย่างน่ากลัว
ลูกศิษย์ที่เป็นผู้ชมอยู่ด้านล่างเวทีอุทานกันอย่างต่อเนื่อง พลางคิดว่าหากเป็นตัวเองที่กำลังยืนอยู่บนเวทีแทนอิ๋นจื่อจางนั้น เกรงว่าคงไม่มีทางรอด ผู้ตัดสินทั้งสองนำมือไปจับที่ไข่มุกที่ใช้ควบคุมการประลอง เตรียมที่จะแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกันเพื่อไม่ให้มีการเสียชีวิตเกิดขึ้น
อิ๋นจื่อจางเมื่อพบกับการโดนล้อมแบบนี้ ก็ทำในสิ่งที่ผู้คนไม่คาดคิดขึ้น…
เขาใช้ความเร็วที่เร็วกว่าฝ่ายตรงข้ามหายตัวออกมาในพริบตา จงใจชนปอเย่าเหลียนที่กำลังเฝ้าสถานการณ์อยู่ด้านหลัง ลูกศิษย์ที่เฝ้าระวังอยู่ด้านหลังอีกคนหนึ่งยังไม่ทันมีปฎิกิริยาตอบสนอง ก็รู้สึกเย็นวาบที่หลัง ด้วยความตระหนกจึงพุ่งตรงไปข้างหน้า ผลลัพธ์คือเขาปะทะเข้ากับการโจมตีสามครั้งจากฝ่ายของตัวเองที่อยู่เบื้องหน้า
ทั้งสี่คนต่างวุ่นวายกับการป้องกันตัวเอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของปอเย่าเหลียนดังมาจากอีกด้าน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงกระแทกดังสนั่น พวกเขารีบหันหน้าไปดูก็พบว่า ปอเย่าเหลียนตกลงไปด้านล่างของเวที ทั้งปากและจมูกต่างมีเลือดไหลออกมา ใบหน้าขาวซีด เสื้อผ้าและผมมีน้ำแข็งเกาะอยู่
คนของหุบเขาโอวหยวนต่างคิดว่าอิ๋นจื่อจางอ่อนแอกว่าพวกเขา จึงเลือกผู้ที่มีระดับเก้ามาแค่สองคนและเลือกผู้ฝึกพลังระดับแปดที่ไม่ค่อยเก่งมากนักมาอีกสามคน คิดไม่ถึงว่าแค่เริ่มต้นพวกเขาจะเห็นศัตรูจัดการกับปอเย่าเหลียนที่แข็งแกร่งที่สุดไปต่อหน้าต่อตา และความเร็วของเขายังเหนือกว่าที่พวกเขาเคยคิดเอาไว้ด้วย
เขาใช้เวลาเพียงสั้นๆ พุ่งเข้าไปหาปอเย่าเหลียนและสร้างโล่น้ำแข็งหนาๆ ขึ้นมาหนึ่งชั้น ปอเย่าเหลียนยังไม่ทันระวังตัวเขาก็ระเบิดพลังออกมาจากร่างชนปอเย่าเหลียนจนกระเด็นตกจากเวที และในสายตาของทุกคนปอเย่าเหลียนที่มีพลังสูงกว่าอิ๋นจื่อจางถึงสองขั้นกลับถูกเล่นงานซะเละ
ทุกคนต่างสงสัย หรือว่าจะเป็นการฝึกฝนที่ไม่สำเร็จ? ทำไมพลังที่เขาระเบิดออกมาจากร่างกายมันถึงน่ากลัวขนาดนี้
แต่ดูจากการที่เขาสร้างโล่น้ำแข็งขึ้นมาในชั่วพริบตา เขาควรจะเหมือนเซียนทั่วไปที่รับปราณวิญญาณเข้ามาในร่างกายแล้วค่อยฝึกฝนอาคมสิถึงจะถูก
ปอเย่าเหลียนที่ถูกจัดการเป็นคนแรกเหมือนเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ผู้ที่อยู่บนเวทีทั้งสี่คนยังไม่ได้สติกลับคืนมา อิ๋นจื่อจางก็ไปปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาราวกับวิญญาณ ลำแสงสีขาว แท่งน้ำแข็งหลายร้อยแท่งพุ่งไปทางผู้ฝึกพลังระดับเก้าอีกหนึ่งคน
เมื่อสักครู่นี้อิ๋นจื่อจางแค่เบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาและพุ่งเข้าไปในขอบเขตของการโจมตีของทั้งสามคน ในขณะนั้นทั้งสี่คนต่างยืนตกตะลึง แท่งน้ำแข็งก็พุ่งเข้ามา ไม่ว่าคนผู้นี้จะพยายามหลบยังไง ก็จะชนกับพวกของตัวเอง เขาฝีเท้าสับสนด้วยความร้อนรนจึงรีบใช้วิชาตัวเบาบินขึ้นไปบนท้องฟ้า และไม่สนว่าพวกด้านหลังของตนเองจะถูกแท่งน้ำแข็งของอิ๋นจื่อจางหรือไม่
แต่ความเร็วของแท่งน้ำแข็งนั้นเร็วเกินไป เท้าของเขาไม่สามารถหลบการโจมตีได้จึงโดนเข้าไปหลายแท่ง แต่น่าแปลกที่มันไม่ถือว่าเจ็บอะไร แต่ยังไม่ทันได้ดีใจ ก็ได้ยินเสียงอิ๋นจื่อจางพูดด้วยเสียงต่ำๆ ว่า “ระเบิด” ความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านออกมาจากแท่งน้ำแข็งพวกนั้น แท่งน้ำแข็งที่ฝังอยู่ตามร่างกายระเบิดออกตามคำสั่ง ทำให้บาดแผลของเขาระเบิดออกจนแยกเนื้อหนังไม่ออก
คนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังเขานั้นเลวร้ายที่สุด ตอนที่วุ่นวายนั้นเขารวบรวมพลังขึ้นมาสร้างเถาวัลย์มาจัดการแท่งน้ำแข็งได้ส่วนนึง แต่ยังมีอีกกว่าครึ่งที่เจาะเข้าไปในตัวเขา และถูกระเบิดจนเลือดท่วมแล้วสลบไป
ลูกศิษย์อีกสองคน หนึ่งในนั้นร่ายสายฟ้าใส่อิ๋นจื่อจาง และอีกคนใช้พลังทั้งหมดเรียกลูกไฟออกมากลายร่างเป็นมังกรที่มีกรงเล็บใหญ่โตแหลมคมพุ่งเข้าใส่เขา
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกพลังระดับแปดที่ใช้พลังทั้งหมดของตัวเองแล้ว อิ๋นจื่อจางกลับสงบมาก มือซ้ายของเขาร่ายก้อนน้ำแข็งขึ้นมาสกัดสายฟ้าและส่งกลับไป มือขวาก็รวบรวมพลังเป็นดาบเล่มยาวสีน้ำเงิน สับมังกรไฟจนกลายเป็นสะเก็ดไฟนับไม่ถ้วน เมื่อสะเก็ดไฟวกนั้นสัมผัสเข้ากับดาบยาวก็เกิดเสียงดังก้อง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผู้ที่ปล่อยสายฟ้าต่างวุ่นวายอยู่กับการรวมพลังให้เป็นเส้นสีดำสนิทที่ดูเลือนรางเพื่อจะรับมือกับกลุ่มก้อนน้ำแข็ง เมื่อทั้งสองปะทะกันเขากลับรู้สึกว่าความหนาวเย็นทั้งหมดทะลุเข้ามา พลังนั้นเปรียบเหมือนค้อนที่ทุบกำแพงจนแตก เขาหมดหนทางจะขัดขวางพลังที่มหาศาลนี้ ทำให้เขาลอยออกไป ตกลงมาจากเวทีแล้วหมดสติไป