บทที่ 27 ก้าวกระโดด

บทที่ 27 ก้าวกระโดด

การรอครั้งนี้ต้องรอจนถึงพระอาทิตย์ตก แม้แต่ป้าวฝาหู่และเผยกู่ก็ยังนั่งไม่ติด

ภายในถ้ำสองสามวันที่ผ่านมานี้ต่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของลมปราณที่หนาแน่น พวกเขาทั้งสองยังคิดว่าแม้แต่พวกเขาทั้งสองที่เป็นเซียนระดับสูงกว่าอิ๋นจื่อจางกว่าครึ่งยังรับไม่ไหว แล้วอิ๋นจื่อจางที่เป็นเพียงผู้ฝึกพลังจะรับได้หรือ?

และก็ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการอะไรทำให้มีลมปราณที่หนาแน่นวนเวียนอยู่แถวนี้ ลมปราณที่รุนแรงขนาดนี้เกรงว่าเขาจะได้รับอันตรายร้ายแรง

ป้าวฝาหู่และเผยกู่ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอิ๋นจื่อจางมากมายก็ได้ แต่ว่าพวกเขาก็ไม่อยากเห็นอิ๋นจื่อจางฝึกพลังจนทำร้ายตัวเอง พวกเขาลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อเห็นจูจูที่รออย่างเงียบๆ อยู่ที่หน้าประตู พวกเขาทั้งสองก็ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปห้ามการกระทำที่บ้าคลั่งอิ๋นจื่อจาง

การไปขัดเขากลางคันแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็เป็นไปได้ทั้งใหญ่และเล็ก

เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจจะทำให้จิตใจสงบได้แบบนี้พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเวลานั้นผ่านไปนานเท่าไหร่ ระหว่างนั้นจินว่านเลี่ยงเองยังมาถามถึงอิ๋นจื่อจางด้วยตัวเอง แต่ทางด้านอิ๋นจื่อจางนั้นกลับไม่มีปฎิกิริยาอะไรออกมาเลย

เมื่อมองเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาถึงขนาดนี้แล้ว วันที่สามของการบำเพ็ญตบะกำลังจะหมดลง จูจูปิดตาลงและให้กำลังใจตัวเองไม่หยุด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงประตูของถ้ำเปิดออกเสียงดัง

นางค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ ภายใต้แสงอ่อนๆ ที่ลอดออกมาของไข่มุกราตรี อิ๋นจื่อจางยืนอย่างสดชื่นอยู่หน้าประตูถ้ำ จูจูมองเขาอย่างเซ่อๆ ปากไม่สามารถควบคุมได้ พูดออกไปว่า “ข้ารอเจ้ากินข้าว รอจนกับข้าวเย็นหมดแล้ว!”

ในใจของป้าวฝาหู่และเผยกู่ที่เป็นกังวลนั้นต่างผ่อนคลายลง เมื่อได้ยินประโยคนั้นของจูจู ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

ในใจของอิ๋นจื่อจาง รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที เขายื่นมือออกมาเขกกะโหลกนางหนึ่งที ยิ้มแล้วตำหนิว่า “เจ้าหมู่โง่! รู้จักแต่กิน!”

ป้าวฝาหู่จ้องไปที่อิ๋นจื่อจาง ทันใดนั้นก็ต้องอ้าปากค้างพลางพูดว่า “เก้า ระดับเก้า? ผู้ฝึกพลังระดับเก้า?!”

“อะไรนะ?” เผยกู่กระโดดขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ มองซ้ายทีขวาที แล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “เจ้า เจ้า เจ้าทำได้อย่างไร? เกินไปแล้วมั้ง? ภายในหนึ่งเดือนสามารถกระโดดจากระดับเจ็ดขึ้นไปเป็นระดับเก้า เจ้าเป็นตัวประหลาดอะไรกันแน่เนี่ย!”

อิ๋นจื่อจางไม่ตอบอะไร จูงจูจูไปที่โต๊ะอาหารพลางนั่งลง

อาหารที่อยู่บนโต๊ะไม่ได้เย็นจริงๆ จูจูขอให้เผยกู่ใช้คาถาเล็กๆ น้อยๆ ทำให้อาหารที่อยู่บนโต๊ะมีอุณหภูมิแยกออกจากโลกภายนอก ทำให้อาหารก็ยังคงสดใหม่เหมือนเพิ่งทำเสร็จ

ป้าวฝาหู่พวกเขายังรอที่จะถามอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าอิ๋นจื่อจางกินอาหารอย่างไม่เกรงใจ และยังตักแต่อาหารดีๆ พวกเขาจึงละความสนใจเอาไว้ก่อน นั่งลงแย่งกันกินก่อนเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง

ตอนนี้ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว อิ๋นจื่อจางและจูจูก็ไม่ได้รีบร้อนจะไปรายงานตัวที่หุบเขาอิงปั้งอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงนั่งลงล้อมรอบเขา พลางถามประสบการณ์ที่อิ๋นจื่อจางได้รับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

อิ๋นจื่อจางบอกเพียงว่าเขาได้ยาวิเศษมาหนึ่งเม็ดโดยบังเอิญ ในนั้นมีพลังลมปราณอัดแน่นอยู่มาก หลังจากที่เขากินเข้าไป ก็ทำให้ทะลวงกลายเป็นผู้ฝึกพลังระดับแปด พลังปราณของยานั่นยังเหลืออยู่ เขาก็เลยทะลวงพลังต่อถึงระดับที่เก้าเสียเลย

ส่วนเรื่องที่มันอันตรายต่อร่างกายและเจ็บปวดมาก อิ๋นจื่อจางไม่ได้พูดถึง แต่ป้าวฝาหู่และเผยกู่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนนั้นต่างรู้ดี

โดยเฉพาะป้าวฝาหู่ พอได้ยินอิ๋นจื่อจางอธิบายอย่างง่ายๆ เช่นนี้ ก็ชักสีหน้าพลางพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ามีเวลาจำกัด แต่ว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่า ทำแบบนี้มันตรายต่อเจ้าเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะพัฒนามาเป็นระดับเก้าได้สำเร็จ แต่ก็ทำลายรากฐานพลังของเจ้าเอง เจ้าคิดว่าข้าที่อายุยังไม่ถึงหกสิบเป็นเซียนระดับจู้จีสูงสุด ทำไมระดับพลังถึงไม่พัฒนาขึ้นแล้วยังต้องฝึกฝนอย่างยากลำบากอยู่ที่หุบเขาเริ่มต้นด้วย?”

ภายในสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ลูกศิษย์ระดับจู้จีที่มีอนาคตต่างถูกอาวุโสหุบเขาต่างๆ แย่งกัน หากอยู่ที่หุบเขาหลักๆ พวกนั้นจะได้รับพลังลมปราณที่เข้มข้น และยังได้รับหน้าที่ในการดูแลจัดการที่นั่น ส่วนหุบเขาเริ่มต้นเป็นเพียงรอบนอก พลังลมปราณไม่หนาแน่น หน้าที่ที่รับผิดชอบก็มีน้อย มีเพียงแค่เซียนระดับจู้จีขั้นต้นไปจนถึงผู้ที่อายุเยอะและไม่มีหวังที่จะกลายเป็นระดับเจี๋ยตันเท่านั้นที่จะเลือกอยู่ที่นี่

โดยปกติแล้วเมื่ออายุสี่สิบห้าสิบปีพัฒนามาถึงระดับจู้จีก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อายุหกสิบปีได้ระดับจู้จีสูงสุดก็ถือว่าอัจฉริยะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะยังอยู่ที่หุบเขาเริ่มต้นให้เปลืองเวลา

“ตอนนั้นข้าอายุสี่สิบสามปีก็ได้กลายเป็นระดับจู้จีสูงสุดแล้ว ก็เหมือนกับเจ้า รีบใช้ยาวิเศษเพิ่มพลังเพื่อหวังจะได้กลายเป็นระดับเจี๋ยตันในเร็ววัน เพื่อจะระบายแค้นแทนอาจารย์ แต่แล้วผลลัพธ์ก็ไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ทำลายรากฐานพลังของตัวเอง ฝืนตัวเองเพิ่มพลังจนถึงขั้นสูงสุดได้ไม่ถึงหกเดือนก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิม และเรื่องนี้ก็ยังผ่านมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ไม่ว่าข้าจะพยายามฝึกพลังยังไงก็ไม่สามารถก้าวหน้าได้อีก” ป้าวฝาหู่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จิตใจของเขาก็เศร้าสลด

เขาก็เคยเป็นอัจฉริยะที่ทุกคนนับถือเช่นกัน แต่เป็นเพราะว่ารีบร้อน ผลลัพธ์ของมันไม่เพียงแค่ทำลายตัวเขาเอง ยังต้องโดนคำดูถูกเหยียดหยาม เขาไม่ยอมเห็นอิ๋นจื่อจางเดินทางผิดเหมือนกับเขาแน่

อิ๋นจื่อจางเข้าใจในความหวังดีของเขา จึงตอบอย่างจริงจังว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ที่เตือนข้า หลังจากนี้ข้าจะฝึกฝนอย่างระมัดระวัง ไม่รีบร้อน ทำให้รากฐานมั่นคงเสียก่อน ค่อยคิดเรื่องจะกลายเป็นระดับจู้จี”

เผยกู่แกล้งแหย่ว่า “ศิษย์น้องป้าว เจ้าอย่าคิดเรื่องนี้ให้ปวดสมองเลย เจ้ากินอาหารสมุนไพรและสัตว์เทพพวกนี้หลายๆ เดือนบำรุงร่างกาย ก็ฟื้นฟูได้แล้ว ส่วนเรื่องศิษย์น้องอิ๋นยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีจูจูอยู่ด้วย ไม่ถึงครึ่งปีเขาก็กลายเป็นศิษย์มีพรสวรรค์ที่มีความสุขที่สุดแล้ว จะต้องกังวลอะไร?”

ป้าวฝาหู่มองไปที่หญิงสาวที่นั่งสัปหงกอยู่ข้างกายของอิ๋นจื่อจาง ในใจก็อดอิจฉาวาสนาของเขาไม่ได้

อาหารที่จูจูทำนั้นสำหรับผู้ที่ทำลายรากฐานลมปราณของตัวเอง ยาวิเศษอะไรก็ไม่สามารถใช้ได้อย่างเขาแล้วก็ถือว่าเป็นสิ่งช่วยชีวิตอันล้ำค่า ส่วนอิ๋นจื่อจางที่ไม่มีอาการเจ็บป่วยอะไรเลย ได้กินอาหารที่นางทำทุกวัน นานเข้า ไม่เพียงแค่ร่างกายที่จะแข็งแรง แต่ระดับพลังคงจะทิ้งห่างคนอื่นไปไกลแน่

และจากวิธีการทำอาหารของนาง ก็แทบจะไม่มีสิ่งตกค้างอยู่ข้างในเลย มีแต่การชะล้างพิษในร่างกายมากกว่า วันข้างหน้า ระดับความเร็วในการพัฒนาและโอกาสสำเร็จของเขานั้นมีมากกว่าคนอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย

เพียงแค่หวังว่าอิ๋นจื่อจางจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีค่าขนาดไหน

หนึ่งคืนผ่านไปอย่างเงียบเชียบ วันที่สองอิ๋นจื่อจางได้ฟังคำแนะนำจากจูจูว่า ให้ใส่กำไลเชือกที่ร้อยด้วยเหรียญทองแดงเส้นนี้ที่ป้าวฝาหู่ให้เอาไว้ จะช่วยพรางระดับความสามารถของเขาได้สองขั้น เผยกู่ได้มาส่งพวกเขาที่หุบเขากลางอย่างฮุ่ยลู่เพื่อรับแผ่นป้ายใหม่

เผยกู่พาพวกเขามาส่งตำหนักต้อนรับที่ตีนหุบเขาฮุ่ยลู่แล้วจึงจากไป

อิ๋นจื่อจางและจูจูเข้าไปภายในตำหนักก็พบกับลูกศิษย์ใหม่ที่เข้าสำนักมาพร้อบกับพวกเขาเกือบทั้งหมดอยู่ในนั้น พวกเขาต่างเข้าแถวกันตามหุบเขาของตัวเองแบ่งออกเป็นห้าแถว แบ่งออกตามแผ่นป้ายแยกหุบเขาที่เพิ่งได้รับใหม่

ผู้ที่พักอยู่เรือนเดียวกับอิ๋นจื่อจาง หานเฮิงและอีกสองคนอยู่ที่แถวของหุบเขาโอวหยวน ซูหลิงก็อยู่ที่นั่น นางมองเห็นจูจูมาแต่ไกลก็ส่งสายตาดุร้ายมาให้ทันที จิงจี๋เหรินยืนอยู่ที่แถวของหุบเขาเม่ยหย่วนเขากำลังยักคิ้วหลิ่วตาส่งมาให้จูจู ด้านข้างของเขาไม่ไกลนักมีคนที่จูจูรู้จักนั่นคือเยว่หลิงเอ๋อร์ยืนอยู่ด้วย

เลี่ยวหย่งหลิน และเลี่ยวหย่งฉีอยู่ที่หุบเขาไท่จู๋ ส่วนหลินชิงปอนั้นอยู่ที่แถวของหุบเขากังปี่

อิ๋นจื่อจางและจูจูเพิ่งจะไปยืนต่อแถว ก็ได้ยินเสียงคนที่อยู่ทางประตูของตำหนักหัวเราะเย็นๆ พลางพูดว่า “เจ้าเด็กแซ่อิ๋น ใจกล้าไม่เบาเลยนี่! พวกข้านึกว่าเจ้าจะแอบอยู่ที่หุบเขาเริ่มต้นไม่กล้าออกมาพบผู้คนแล้วเสียอีก!”