บทที่ 2 ไปกับข้า รับรองไม่มีอด

บทที่ 2 ไปกับข้า! รับรองไม่มีอด!

เมื่อนึงถึงความฝันแล้ว จูจูก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ตัวนางเองฝันอะไรที่เพ้อฝันและไร้สาระ สมองของนางเองก็ไม่ได้มีปัญหา และนางเองก็ยังเป็นแค่สาวบริสุทธิ์คนหนึ่ง ทำไมถึงได้ฝันถึงคนที่วิปริตกระหายเลือดแบบนั้นได้นะ

จูจูดึงผ้ากลางเก่ากลางใหม่ที่อยู่บนชั้นวางของข้างผนังโยนลงไปในน้ำ จ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองหลังจากนั้นจึงวักน้ำขึ้นและลูบใบหน้าตัวเองแรงๆ

ถึงล้างแรงๆ ยังไงก็ไม่เจอสาวสวยหรอก! มันก็เป็นแค่ความฝัน จะไปคิดมากทำไม? จูจูมองค้อนตัวเองและหันหลังตั้งใจจะไปทำอาหารเลี้ยงปากท้อง

บะหมี่ผักป่าสองชามเพิ่งจะทำเสร็จและถูกวางไว้ที่โต๊ะ ประตูห้องก็ถูกคนที่อยู่ข้างนอกถีบเข้ามาอย่างหยาบคาย เด็กหนุ่มที่อายุราวๆ สิบแปดปีถลันเข้ามาในบ้านของจูจู เพราะเขาหันหลังให้กับแสงแดดจึงมองไม่เห็นว่าหน้าตาของเขาเป็นเช่นไร

หนุ่มน้อยจ้องมายังบะหมี่ผักป่าที่อยู่บนโต๊ะแล้วขมวดคิ้วพลางถามด้วยน้ำเสียงที่โกรธๆ ว่า “กินไอ้นี่อีกแล้ว? ! เมื่อวานข้าเอาไก่ฟ้าสองตัวมาให้แล้วไม่ใช่เหรอ?!”

จูจูตกใจจนสะดุ้งก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว พลางพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ตอน…ตอนเช้ากินแล้วมันออกจะมันไปหน่อย ข้า…ข้าทำให้เจ้ากินเป็นอาหารกลางวันดีไหม? โอ๊ย…”

ยังพูดไม่ทันจบหูของนางก็ถูกเด็กหนุ่มบิดและถูกเด็กหนุ่มตำหนิต่อหน้า “สมองหมูของเจ้าใส่อะไรไว้? ข้าบอกเจ้าแล้วว่าวันนี้ข้าต้องไปกราบอาจารย์ที่เขาญาณศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เช้าและจะต้องอยู่ที่นั่น แล้วกลางวันจะกินไก่ฟ้าอะไรอีก?”

เมื่ออยู่ในระยะที่ประชิดขนาดนี้จึงทำให้เห็นว่า เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าตาหล่อเหลามาก คิ้วตรงรูปดาบ ทุกอย่างบนใบหน้าล้วนงดงามแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเยียบเย็นราวปีศาจ ถึงแม้ว่าเขากำลังโกรธ แต่ก็ยังดูดีมาก

จูจูใช้คำพรรณนาไม่เป็น ทันใดนั้นก็คิดคำพูดไร้สาระขึ้นมาได้คำนึง: แม้ไม่ต้องทำอะไรก็ทำให้ผู้คนหลงใหลได้

นางคิดคำพูดสวยหรูแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไงกันนะ? นางไม่เคยเข้าโรงเรียนหรือแม้กระทั่งอ่านหนังสือ แต่นิสัยของนางคือช่างสังเกตและจดจำ

เด็กหนุ่มเลิกคิ้วซ้ายขึ้นและมองพิจารณานางด้วยสายตาดุๆ ดวงตาคู่นั่นแสดงออกเลยว่า : ถ้าไม่พูดอะไรให้เขาพอใจล่ะก็ เขาคงจะบิดหูนางจนขาดแน่ !

จูจูเจ็บจนน้ำตาเล็ด พูดเสียงแผ่วเบาว่า “งั้น…งั้นข้าจะไปทำให้กินเดี๋ยวนี้…” การเถียงข้างๆ คูๆ ยิ่งทำให้ถูกลงโทษมากกว่าเดิม สู้ยอมรับความผิดและแก้ไขดีกว่า ถึงจะทำให้ยังพอเหลือทางรอด

เด็กหนุ่มส่งเสียงหึในลำคอ และยอมปล่อยมือออกจากใบหูของนาง “รอเจ้าทำเสร็จฟ้าคงมืดพอดี จะออกเดินทางทันได้ยังไง? เก็บสัมภาระเสร็จหรือยัง? รีบกินให้เสร็จแล้วไปกับข้า!”

“หา? สัมภาระ?” จูจูพูดด้วยใบหน้างุนงง นางจำได้ว่าสองวันก่อนแด็กหนุ่มมาบอกนางว่าจะไปภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อกราบอาจารย์บำเพ็ญเพียร แต่บ้านของเขาอยู่ข้างๆ นี่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับนาง นางจะเก็บสัมภาระให้เขาได้ยังไง? ไม่ใช่สิ! เขาบอกว่าต้องไปกับเขา? !

ใบหูของนางที่เพิ่งเป็นอิสระจากการถูกบิดกับถูกเด็กหนุ่มบิดอีกครั้งด้วยความโกรธ “เจ้าหมูโง่ เจ้าต้องไปเขาญาณศักดิ์สิทธิ์กับข้า แค่นี้ยังต้องให้ข้าเตือนรึไง?!”

จูจูพยายามช่วยหูของนางให้รอดพ้นจากการบิด และพูดเบาๆ ว่า “ข้าไม่ได้อยากจะยิ่งใหญ่มีชีวิตอมตะ จะไปที่เขาญาณศักดิ์สิทธิ์ทำไมกัน?”

เด็กหนุ่มอึ้งไปชั่วครู่และพูดด้วยความโกรธว่า “คนอื่นขอร้องยังไงก็ยังไม่ได้รับโอกาสนี้ ข้าเต็มใจพาเจ้าไป เจ้ายังกล้าปฎิเสธข้าอีกงั้นเหรอ?!”

“ข้าไม่ได้อยากเป็นเซียนนี่ อยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้วนี่นา” ไม่ง่ายเลยที่จูจูจะหลุดพ้นจากกรงเล็บปีศาจมาได้ เพื่อรักษาหูของนาง นางเลยรีบเขยิบออกมาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีญาติ หิวตายไปก็ยังไม่มีใครสนใจ ไปกราบอาจารย์ที่เขาศักดิ์สิทธิ์กับข้า แค่ได้เป็นลูกศิษย์สายนอก ก็มีกินมีใช้ไปทั้งชีวิต ไม่ดีหรือไง?” ในแววตาเด็กหนุ่มมีแผนการบางอย่างวาบผ่านไป แค่นเสียงพูดอย่างพยายามเก็บไฟโทสะ

เขาและจูจูรู้จักกันมาได้เกือบปีแล้ว เขาก็รู้จักวิธีการคิดของนางเป็นอย่างดี และรู้ว่าอะไรที่เป็นแรงดึงดูดใจสำหรับนาง หนทางที่จะไปเขาญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นช่างยาวไกล ไวที่สุดก็คงจะใช้เวลา สองถึงสาม วัน ถ้าหากไม่ทำให้นางยอมสมัครใจไปด้วยแต่โดยดีแล้ว คงเกิดปัญหาไม่น้อย

อย่างที่เขาคิด หลังจากได้ยินจูจูก็รู้สึกลังเลใจ “มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยเหรอ? เป็นลูกศิษย์พวกเขายากไหม? ต้องทำอะไรบ้างเหรอ?”

เด็กหนุ่มส่งเสียงหึในลำคอพลางพูดว่า “ไม่ยาก แค่ผ่านการทดสอบเกี่ยวกับรากวิญญาณของพวกเขาได้ก็ผ่านแล้ว ปกติก็แค่ทำความสะอาดเรือนพักปลูกสมุนไพร สบายจะตาย ถ้าข้าไม่เคยรับปากท่านยายของเจ้าไว้ว่าจะดูแลเจ้า ข้าคงไม่เพิ่มภาระให้ตัวเองแบบนี้หรอก! ไม่ตักน้ำมาส่องดูเงาตัวเองบ้าง แม้แต่ตาแก่ที่ยังไม่ได้แต่งงานของหมู่บ้านนั่นก็ยังไม่กล้ามาขอเจ้าเลย ถ้าเจ้าแก่ไปใครจะดูแล?”

จะพูดก็พูดสิ ทำไมถึงต้องดูถูกนางขนาดนี้ด้วย!

ทุกวันตอนเช้านางตักน้ำมาส่องดูตัวเองทุกครั้งนั่นแหละ! ท่านยายยังบอกว่านางเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกเลย แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ใช่ แต่ผู้หญิงพออายุ 18 ปี ก็จะเปลี่ยนไปอีก ต้องมีสักวันที่นางต้องสวยขึ้นอย่างแน่นอน! จูจูเน้นย้ำตัวเองอยู่ในใจ แต่นางก็ไม่โง่พอที่จะพูดประโยคพวกนี้ออกมา ไม่งั้นเจ้าคนเลวนี้ต้องหัวเราะเยาะนางเป็นแน่

เมื่อลองคิดทบทวนคำพูดของเด็กหนุ่มอีกครั้ง ถึงแม้เขาจะชอบรังแกนางอยู่บ่อยๆ ใช้นางเหมือนทาสก็ไม่ปาน แต่เขาไม่เคยโกหก เรียกได้ว่าไม่กล้าโกหกนาง ดูจากสภาพนางตอนนี้ คงพูดอย่างเจ็บปวดใจได้ว่า แม้แต่พวกค้ามนุษย์เห็นนางก็ยังเลือกที่จะเดินอ้อมไปให้ไกลจากนาง เพราะบนร่างของนางไม่มีเงินและไร้ซึ่งแรงดึงดูดพอที่จะให้คนสนใจได้

ท่านยายก็จากไปแล้ว เจ้าคนเลวก็จะไปแล้ว เจ้าพวกคนอันธพาลที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ต้องหาเรื่องมารังแกนางแน่ นางตัวคนเดียวแบบนี้ วันข้างหน้าคงต้องอยู่แบบเงียบเหงาแน่ๆ

เด็กหนุ่มเมื่อเห็นปฎิกิริยาของนางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขานั่งลงเริ่มซดบะหมี่ที่อยู่ข้างหน้าเสียงดัง จูจูถึงแม้จะหน้าตาไม่สวย แต่ฝีมือการทำอาหารของนางนั้นถือว่าโดดเด่นมาก

ในที่สุดจูจูก็เหมือนจะยอมรับในชะตาชีวิตของตัวเอง นางนั่งลงกินบะหมี่ให้เสร็จหลังจากนั้น จึงเก็บชามและตะเกียบก่อนจะหันหลังกลับไปเก็บของที่ห้อง

เด็กหนุ่มเห็นเงาหลังที่กำลังยุ่งก็แอบลำพองใจ ท่านแม่เคยบอกเอาไว้ว่าอาหารที่เขาญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นรสชาติแย่มาก ปกติแล้วพวกศิษย์จะต้องลงมือซักผ้าทำความสะอาดด้วยตัวเอง พาเจ้าหมูโง่นี้ไปด้วย ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้อีกแล้ว และยังถือว่าได้ทำตามที่รับปากไว้กับยายของนางอีกด้วย เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

เมื่อนึกถึงมารดาเด็กหนุ่มก็จิตใจหลุดลอยไปชั่วขณะและก้มหน้าลงเม้มปากไม่พูดอะไร

จูจูไม่ใช่ไม่รู้ว่าเมื่อตามเขาไปที่เขาญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ววันๆ จะต้องถูกเขาเรียกใช้ไม่หยุดเป็นแน่ แต่มันก็ยังดีกว่าอยู่คนเดียวที่หมู่บ้านแห่งนี้ ถ้าแก่ตัวไปไม่มีคนดูแล คงอดตายแน่ๆ

ตั้งแต่ที่เขามาเป็นเพื่อนบ้านของนาง ก็ทำให้นางฝันร้ายน้อยลง ก่อนหน้านี้นางมักจะถูกฝันร้ายปลุกให้ตื่นทุกสองสามวันครั้ง ตั้งแต่เขามานางก็ฝันร้ายเพียงแค่เดือนละครั้ง…บางทีฝันร้ายอาจจะกลัวคนเลวละมั้ง

นางเคยไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้เนี่ย! ยามฝันก็ถูกคนวิปริตรังแก ยามตื่นก็ยังถูกเจ้าคนเลวใช้งาน!

จริงๆ แล้วจูจูไม่มีอะไรต้องเก็บ จะมีก็เพียงแต่เสบียงอาหาร น้ำสะอาด และเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด นางทำความสะอาดห้องให้สะอาด เก็บของจิปาถะ แล้ววานเพื่อนบ้านให้คอยช่วยดูบ้านให้ก็พอแล้ว ของพวกนี้ล้วนแต่เป็นของที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร ถึงแม้นางไม่อยู่แล้วก็คงไม่มีขโมยที่ไหนเข้ามาขโมยแน่

ก่อนจากไป จูจูมาที่หน้าหลุมศพหลังภูเขาของท่านยายและโขกหัวที่หลุมศพสามครั้ง นางสะพายตระกร้าไม้ไผ่ที่มีเสบียงอาหารและเสื้อผ้าเอาไว้ข้างหลัง นางลูบคลำกำไลทองแดงเล็กๆ ที่ท่านยายเหลือไว้ให้ นึกย้อนกลับไปถึงชีวิตเมื่อสองปีก่อนที่หมู่บ้านแล้วหันหลังกลับเดินตามเด็กหนุ่มจากไป