บทที่ 9 อัจฉริยะฟ้าประทาน?!
อิ๋นจื่อจางเดินขึ้นไปด้านหน้าด้วยจิตใจที่เงียบสงบ สองมือยื่นออกไปแตะก้อนหินที่ใช้ทดสอบรากวิญญาณด้วยความมั่นคง…
แล้วสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็เกิดขึ้น ก้อนหินทั้งก้อนเกือบจะกลายเป็นเหมือนก้อนหยกสีขาวก็ไม่ปาน หยกสีขาวที่ดูนุ่มนวลในพริบตาก็เปลี่ยนเป็นสีขาวสะอาดราวกับหิมะที่บริสุทธิ์ แสงสีขาวยิ่งสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้คนลืมตาไม่ขึ้น ทั้งตำหนักเต็มไปด้วยสีขาวโพลนปะปนกับความหนาวเย็น ทำให้ผู้คนทั้งตำหนักอดไม่ได้ที่จะหนาวจนตัวสั่น
ไม่เพียงแต่ผู้ที่มาทดสอบ แม้กระทั่งบรรดาผู้อาวุโสก็ทยอยกันตาโตอ้าปากค้าง จ้องมองอิ๋นจื่อจางอย่างตกตะลึง
“รากวิญญาณเดี่ยว! รากวิญญาณธาตุน้ำแข็งเดี่ยว! สวรรค์!” ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสคนไหนอุทานออกมาคนแรกด้วยความตกใจ ทำให้บรรยากาศในตำหนักเงียบลงในพริบตา
ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับอิ๋นจื่อจางได้สติกลับคืนมา เขายื่นมือออกมาข้างหนึ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางพูดว่า : “ข้าชื่อจินว่านเลี่ยง เป็นลูกศิษย์ระดับจู้จีของหุบเขาเม่ยหย่วน เจ้ามากับข้า”
ว่ากันตามตรงแล้วไม่ว่ายังไงจินว่านเลี่ยงก็คือผู้อาวุโส แต่ในสถานการณ์แบบนี้เพียงผ่านการรับรองของปรมาจารย์ระดับหยวนอิงและผู้อาวุโสระดับประมุขที่สามารถรับรองได้เท่านั้น การจะกลายเป็นศิษย์สายในนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นแล้ว หนทางข้างหน้านั้นไม่อาจจำกัดได้ ถึงเวลาก็ยังต้องพึ่งคำแนะนำจากเขา ดังนั้นสุภาพหน่อยก็ไม่เสียหาย
บรรดาผู้อาวุโสที่เหลือฟังเขาพูดแล้วใบหน้าก็แสดงออกถึงความอิจฉาอย่างปิดไม่มิด พบลูกศิษย์ชั้นยอดขนาดนี้ ท่านเจ้าสำนักจะต้องมอบรางวัลให้อย่างแน่นอนช่างเอาเปรียบคนอื่นจริงๆ โชคดีเสียจริงนะ!
อิ๋นจื่อจางกลับรู้ผลลัพธ์ของการทดสอบอยู่ก่อนแล้ว หลายปีก่อนในตระกูลของเขาก็เคยมีหินทดสอบรากวิญญาณ เขาคิดว่ามันจะสามารถเปลี่ยนโชคชะตาที่น่าสงสารของเขาและแม่ได้ คิดไม่ถึงว่ามันกลับนำพาความสูญเสียมาแทน วันนี้เขาต้องกลับมาอยู่ในสถานการณ์ที่รู้สึกเหมือนกับวันนั้น ทำให้ในใจของเขารู้สึกเศร้า ไม่รับรู้การมีอยู่ของความสุขอยู่เลยแม้แต่น้อย
สองพี่น้องตระกูลเลี่ยวเห็นฉากนั้นก็ตกตะลึง สีหน้าของเลี่ยวหย่งหลินนั้นแทบดูไม่ได้
รากวิญญาณเดี่ยวปกติแล้วจะมีธาตุแค่ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ห้าธาตุ คุณสมบัติเช่นนี้หาได้ยากมาก และยิ่งที่ต้องนำรากวิญญาณธาตุทอง ไม้ น้ำ มารวมกันถึงจะกลายเป็นรากวิญญาณพิเศษอย่าง ธาตุสายฟ้า ลม น้ำแข็งได้นี่ยิ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากยิ่งกว่า เพียงแค่หาวิชาเวทย์ที่เหมาะสมให้ฝึกก็จะสามารถเลื่อนระดับได้ไวกว่าผู้ที่มีรากวิญญาณเดี่ยวแบบธรรมดาได้ถึงสิบเท่า!
เมื่อเผชิญหน้ากับฝูงชนที่ตกตะลึงเขาชักมือกลับมาอย่างสงบพลางชี้ไปยังจูจูที่อยู่ด้านหลัง : “ยังมีอีกคน รอนางทดสอบเสร็จแล้ว ข้ากับนางจะไปพร้อมกับท่าน”
จินว่านเลี่ยงไม่คิดว่าเขาจะมีปฎิกริยาตอบกลับเช่นนี้ หันหน้าไปมองเด็กสาวธรรมดาที่อยู่หลังเขาอย่างละเอียดแล้วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนที่มองคนแต่ภายนอก แต่ผู้ที่มีรากวิญญาณมักจะมีรูปโฉมประณีตหมดจด มีกลิ่นอายปราณแผ่ออกมาให้รู้สึกได้ พลังความสามารถมากกว่าคนธรรมดา แต่สาวน้อยนางนี้ดูยังไงก็ไม่ใช่ และยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมอิ๋นจื่อจางจะเสียเวลากับนางเพื่ออะไร
แต่ว่ายังไงมันก็แค่เรื่องง่ายๆ ดังนั้นจินว่านเลี่ยงจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เขากวักมือเรียกให้จูจูขึ้นมา
จูจูทำตามที่อิ๋นจื่อจางทำ คือนำมือทั้งสองไปวางลงบนก้อนหิน…ผ่านไปสักครู่…และอีกสักครู่
ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จากการทดสอบของเครื่องทดสอบรากวิญญาณ จูจูถือว่าเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีรากวิญญาณ
“จะเป็นไปได้ยังไง?! “ อิ๋นจื่อจางเคาะไปที่ก้อนหินอย่างประหลาดใจ และพูดกับผู้อาวุโสทั้งสองว่า “ท่านลองดูนางดีๆ นางจะไม่มีรากวิญญาณได้อย่างไร?”
จินว่านเลี่ยงเกาหัวตัวเองด้วยความหนักใจ ในใจก็คิดว่า หากนางมีรากวิญญาณน่ะสิแปลก!
ผู้อาวุโสที่เหลือต่างเห็นฉากนั้น ในใจก็ผ่อนคลายลง จะมีผู้ที่มีคุณสมบัติสูงเยอะขนาดนั้นได้อย่างไร แล้วยังจะไปอยู่ที่แถวของจินว่านเลี่ยงอีก? พบแค่หนึ่งคนก็ถือว่าโชคดีมากๆ แล้ว!
อิ๋นจื่อจางยังไม่ยอมเชื่อ เขาอยากให้ลองทดสอบนางด้วยวิธีอื่น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนตะโกนด้วยเสียงอันดังอยู่ที่หน้าประตูตำหนัก : “แสงสีขาวเทียมเมฆเมื่อสักครู่นี้มันคืออะไร?” น้ำเสียงทรงอำนาจเต็มไปด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด
ผู้คนต่างหันหน้าไปมอง คนที่มาคือเจ้าสำนักของสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ ด้านข้างของเขายังมีผู้อาวุโสของหุบเขาต่างๆ อยู่ด้วย แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีปรมาจารย์ระดับหยวนอิงอยู่ด้วย
เมื่อสักครู่พวกเขามองเห็นแสงสว่างมาจากที่ไกลๆ ก็รู้แล้วว่ามีอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้น พวกเขาต่างวิ่งมาอย่างไม่สนใจฐานะของตัวเอง เพื่อ “แย่งลูกศิษย์” เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงการฟื้นฟูสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์และทุกหุบเขา พวกเขาจะไม่อาจไม่ระวังได้
ลูกศิษย์ที่มีคุณสมบัติสูงส่งและหายากขนาดนี้ เปรียบเสมือนของล้ำค่า หากมาช้าแล้วโดนคนอื่นแย่งไปจะทำยังไง ถึงตอนนั้นนอยากจะร้องไห้ก็ไม่มีที่ให้ร้อง!
ผู้ที่มาใหม่นั้นต่างเป็นเซียนผู้มีระดับเจี๋ยตันขึ้นไปทั้งนั้น ทุกคนในนั้นจึงรู้สึกได้ถึงกลุ่มพลังแรงกดที่แข็งแกร่งมาก ผู้ที่เคยผ่านการทดสอบรากวิญญาณยังไม่ทันได้ออกไปไม่น้อยต่างถูกแรงกด ทำให้ต้องคุกเข่าลงบนพื้นจนเกิดความวุ่นวายไปชั่วขณะ
ถึงแม้ว่าอิ๋นจื่อจางพยายามตั้งตัวยืนให้ตรงแต่เขาก็กลับรู้สึกว่าแค่หายใจยังลำบาก แม้แต่ขยับนิ้วโป้งนั้นก็ยากมากๆ
ปรมาจารย์ระดับหยวนอิง ประมุข อาวุโสต่างๆ เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็นึกขึ้นได้รีบเก็บพลังแรงกดดันของตัวเองไว้
แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่าจูจูผู้ที่ไม่มีรากวิญญาณอะไรในตัวเลย เมื่อพบกับกลุ่มเซียนยอดฝีมือแห่งสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังสูงส่งมากขนาดนี้ นางกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย!
จินว่านเลี่ยงเห็นว่าแม้แต่ปรมาจารย์ระดับหยวนอิงก็มาถึงแล้ว ในใจก็รู้ว่านี่คือโอกาสดีที่จะได้หน้า จึงรีบเชิญทุกคนไปที่ตำหนักหลัง และยังเป็นคนพาอิ๋นจื่อจางไปคำนับพวกเขาด้วยตัวเอง อิ๋นจื่อจางยังคงสงสัยในพลังของจูจู และไม่ลืมที่จะลากนางไปด้วย จินว่านเลี่ยงได้แต่ขยับปากพะงาบๆ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เจ้าสำนักของสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ชื่อว่าฝูอวี้ ดูแล้วอายุของเขาน่าจะประมาณสามสิบถึงสี่สิบปี ดูเป็นชายวัยกลางคนที่อ่อนโยน รูปร่างอวบ เขายิ้มแย้มทักทายอิ๋นจื่อจาง และพูดกับจินว่านเลี่ยงว่า “เด็กคนนี้คือคนที่มีรากวิญญาณเดี่ยวธาตุน้ำแข็งที่ทดสอบที่ตำหนักหน้าใช่หรือไม่?”
จินว่านเลี่ยงค้อมตัวลงตอบ “ขอรับ!”
ฝูอวี้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอิ๋นจื่อจางพลางพูดอย่างอ่อนโยนว่า :”ยื่นแขนของเจ้าออกมา ทำตัวตามสบาย เจ้าชื่ออะไร? อายุเท่าไหร่แล้ว?”
“อิ๋นจื่อจาง อายุสิบเก้าปี “ อิ๋นจื่อจางตอบขณะที่ยื่นแขนข้างขวาออกไป ฝูอวี้จับที่ข้อมือของเขาและค่อยๆ ปล่อยพลังผ่านข้อมือของเขาไปตามชีพจรอย่างช้าๆ เมื่อพลังโคจรไปครบทุกแห่งใบหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น
ผ่านไปสักพัก เมื่อตรวจสอบเสร็จฝูอวี้ก็เก็บพลังของตน ปล่อยมือเขาพลางพูดว่า “ดี! ดี! เจ้าอายุยังน้อยยังมีระดับพลังถึงขั้นเจ็ด คลื่นลูกใหม่แซงคลื่นลูกเก่าจริงๆ ก่อนหน้านี้อาจารย์ของเจ้าคือใคร?”
“ผู้น้อยไม่มีอาจารย์ไม่มีสำนัก ข้าฝึกพลังจากตำราลับที่ท่านแม่ของข้าเหลือเอาไว้ให้” อิ๋นจื่อจางเตรียมข้ออ้างมาเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าเรียนรู้ด้วยตัวเอง? หายาก! หาได้ยากจริงๆ!” แววตาของฝูอวี้หรี่ลงเหมือนเศรษฐีขี้เหนียวที่พบทองคำก้อนโต
“อิ๋นจื่อจางคนนี้ก็เอาเข้าฝ่ายของข้า เป็นศิษย์เอกของข้าก็แล้วกัน” ไม่รอให้ฝูอวี้ดีใจเสร็จ ปรมาจารย์ระดับหยวนอิงเพียงหนึ่งเดียวของสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์โหยวเชียนเริ่น ก็พูดขึ้นมา
โหยวเชียนเริ่นคนนี้อายุน่าจะมากกว่าฝูอวี้สักหน่อย แต่ถ้าเอาตามความคิดของจูจูแล้วล่ะก่อน นั่นเป็นใบหน้าคนของร้ายกาจ มองยังไงก็ไม่ใช่คนดี!
ผู้อาวุโสระดับเจี๋ยตันคนอื่น ต่าง ‘โลภ’ อยากได้อิ๋นจื่อจางเป็นศิษย์กันทั้งนั้น แต่ว่าไม่มีใครกล้าค้านปรมาจารย์ระดับหยวนอิง ทุกคนต่างมองไปที่ฝูอวี้ หวังว่าเขาจะออกหน้าตัดสินอย่างเป็นธรรม
ฝูอวี้เองก็ไม่มีอำนาจขนาดนั้น เขาทำได้เพียงไอค่อกแค่กสองที แล้วทำเหมือนมองไม่เห็นสายตาพวกนั้น
คนที่นั่งอยู่ข้างๆ โหยวเชียนเริ่นไม่ไกลนักพลันพูดขึ้นมาว่า : “แม่นางน้อยผู้นี้คือใครรึ?”