บทที่ 5 ฟันต่อฟัน
บรรดาสนมล้วนทราบถึงนิสัยแข็งกร้าว ไม่ฟังผู้ใดของสนมลู่แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีพลังพุ่งรบที่แข็งแกร่งปานนี้ เมื่อครู่เพิ่งยั่วยุต่อกุ้ยเฟยพอพลิกตัวกลับก็ตบตีสนมคนโปรดคนใหม่ของจักรพรรดิ ผู้คนล้วนกลั้นหายใจในทันที ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของสนมลู่ มีเพียงสายตาหลายคู่ที่ชมชอบเห็นผู้อื่นประสบเคราะห์กรรมกลอกกลิ้งไปมา
เฉินหรูอี้ยามนี้ล้วนมิได้ใส่ใจต่อความอับอายอันเกิดแก่ตน เพียงรู้เจ็บปวดแสบปวดร้อนบนใบหน้า ข้างหูเกิดเสียงดังวิ้งๆ
มารดาเจ้าเถอะ สนมลู่คือสุนัขบ้าชัดๆ
หากกล่าวว่านางคือนักรบก็ออกจะไม่ให้เกียรติ ”นักรบ”เกินไป
ต่งกุ้ยเฟยใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่ไว้หน้าสนมลู่สักเพียงนิด แล้วเกี่ยวอันใดกับนางเล่า?
เหตุที่เกิดกับสนมจ้าวแท้จริงเป็นอุบัติเหตุหรือแผนการก็ยังไม่อาจทราบแน่ชัด สนมลู่ผู้นี้กลับดียิ่ง ไม่เพียงผลักความรับผิดชอบให้ไกลตัวหากพอต่อกรกับต่งกุ้ยเฟยไม่ได้ก็เอาโทสะมาลงที่นาง จะระบายโทสะอย่างไรก็ต้องมีขอบเขตบ้าง ผู้ที่ต้องมีโทสะสมควรเป็นนางสิจึงจะถูก
เฉินหรูอี้ซ่อนฝ่ามือที่กำแน่นไว้ใต้แขนเสื้อ ใช้พลังทั้งหมดในกายจึงสามารถสกัดฝ่ามือที่อยากตอบโต้ออกไปไว้ได้
วังย่อมมีกฎวัง แม้แต่นางกำนัลที่กระทำผิดก็ไม่อาจตบหน้า ต้องส่งตัวไปรับโทษที่ฝ่ายพระราชวังเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกนางที่เป็นถึงชายาสนมขององค์จักรพรรดิ อย่างไรก็มิใช่ทุกคนที่มีนิสัยเช่นสนมลู่ผู้เพียงอาศัยความเขลาที่มีอยู่เต็มท้องกระทำการตามใจตน
โดยเฉพาะต่งกุ้ยเฟยที่มองนางด้วยสายตาอันแฝงเจตนาร้ายก่อนจากไป หากล่วงรู้จุดอ่อนของนางแล้วไม่ทรมานนางให้เจ็บปวดหวาดกลัวแล้วล่ะก็ นางยินยอมเปลี่ยนแซ่ตามต่งกุ้ยเฟย!
ข้างหน้าคือหมาป่าข้างหลังคือพยัคฆ์ ไม่ควรตอแยเลยสักอย่าง
“หากสนมลู่กังขาต่อการตัดสินของต่งกุ้ยเฟยไม่สู้พูดคุยกันให้เข้าใจ เชี่ยเซินพลัดตกน้ำด้วยเป็นอุบัติเหตุ เรื่องนี้..ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจตำหนิเชี่ยเซินกระมัง” เฉินหรูอี้ค่อยๆ ปรับอารมณ์กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
นางค่อยๆ ช้อนตาขึ้น ดวงตาสกาวดุจสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง แววตาเช่นนี้ของนางในสายตายของสนมลู่นั้นกลับเป็นสายตาท้าทาย อีกทั้งน้ำเสียงหวานล้ำที่แสร้งทำนั่นอีก ยิ่งทำให้เพลิงโทสะของสนมลู่ลุกโหม พลันเงื้อแขนขึ้นอีก
เฉินหรูอี้คาดไม่ถึงว่าสนมลู่จะลงมืออีกครั้ง มือคว้าจับฝ่ามือที่ยื่นออกมาต่อหน้าตนด้วยสัญชาตญาณ จากนั้นก็โน้มตัวไปด้านหลัง สนมลู่ถูกดึงก็เลยรั้งเท้าไว้ไม่อยู่จึงล้มตามลงไป
“อ๊า” ไม่ทราบเป็นผู้ใดร้องขึ้น ทำให้ผู้คนแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง
เฉินหรูอี้กลับกุมมือสนมลู่ไว้แน่น แล้วย่อขาลงเล็กน้อย ร่างจึงตะแคงล้มลงไปกับพื้นและชั่วขณะเดียวกันนั้นก็บิดข้อมือของสนมลู่โดยแรงแล้วกระแทกลงบนพื้นหิน
ในช่วงชุลมุนนั้นเหล่าสนมก็ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน สนมลู่กรีดร้องเสียงแหลมสูงยิ่งกว่าเฉินหรูอี้ที่ถูกนางทับอยู่ใต้ร่างเสียอีก ฟังดูน่าเวทนายิ่ง
“โอ๊ย โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน” เฉินหรูอี้กลิ้งตัวกลมอยู่บนพื้น เนื้อตัวคลุกฝุ่น ร้องโอดโอยไม่หยุดปาก แต่สายตากลับเหลือบมองไปยังร่างสนมลู่อย่างอดไม่ได้
จึงเห็นใบหน้าอันซีดเผือดของสนมลู่ดังคาด นางกุมมือขวาของตนแผดเสียงร้องดัง เม็ดเหงื่อผุดพรายกระจายเต็มหน้าผาก
“หญิงแพศยาสกุลจ้าว ข้าจักต้องหักสองมือของเจ้าให้จงได้” นัยน์ตาสีน้ำตาลหม่นของนางเบิกกว้าง กัดฟันกรอดด้วยแค้นเคือง “เจ้ามันหน้าเนื้อใจเสือ ถึงกลับกล้าลอบทำร้ายข้า”
บรรดาสนมล้วนมาเพื่อกล่าวอวยพรในงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของสนมลู่จึงย่อมต้องสนิทกับนางเป็นธรรมดา ถึงแม้เมื่อครู่จะเกิดศึกภายในจนเกือบเลือดตกยางออกก็ตาม กอปรกับสนมลู่ฐานะสูงส่ง เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ทุกผู้ทุกนามจึงโยกย้ายไปฝั่งของนาง ส่วนอีกฝั่งนั้นเหลือเฉินหรูอี้เพียงผู้เดียว ช่างแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน
เฉินหรูอี้คลี่ยิ้มบาง กะพริบนัยน์ตาดำขลับของนางเอ่ยวาจาด้วยสีหน้าหม่นหมอง “สนมลู่ใช่เข้าใจผิดต่อเชี่ยเซินหรือไม่? เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?”
ตบหน้านางภายใต้สายตาทุกคู่ที่จับจ้องได้คงคิดว่านางจะเป็นลูกพลับอ่อนให้ผู้ใดบีบเล่นอย่างไรก็ได้หรือ?
วันนี้นางจะทำให้ฝูงกาฝูงนี้ได้ถ่องแท้ว่า ภายหน้าหากคิดจะลงมือต่อนาง คงต้องไตร่ตรองก่อนว่าข้อมือแข็งพอหรือไม่ กระดูกแกร่งเท่าใด
แต่ทว่านางอาศัยช่วงชุลมุนลอบลงมือ ซ้ายขวาล้วนไม่มีผู้พบเห็น แม้สนมลู่จะลากนางไปพบกุ้ยเฟย นางก็ยินยอมแต่โดยดี ต่อให้ต่งกุ้ยเฟยจะเกลียดชังนางเพียงใดแต่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทั้งพยานและหลักฐาน นางไม่เชื่อว่าต่งกุ้ยเฟยจะกล้าลงโทษดวงใจของจักรพรรดิจางเหอได้
สนมลู่เจ็บปวดทรมานที่ข้อมืออย่างที่สุด สายตาหรี่จ้องเฉินหรูอี้ผู้ไร้คุณธรรมแสร้งเป็นสุกรหลอกกินพยัคฆ์* โกธรจนปอดแทบระเบิด หากมิใช่บรรดาสนมที่ชอบสอพลอเหล่านี้ขวางไว้ สนมลู่คงพุ่งเข้าไปตะกุยหน้านางไปนานแล้ว
“หญิงแพศยา หากข้าไม่ทำลายใบหน้าเจ้า......”
“พระสนมเอก โปรดระงับโทสะก่อน เรื่องที่กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง*มอบหมายนั้น หนูปี้*มิกล้ากระทำการล่าช้า” ลวี่เฉียวเป็นถงสื่อ*ข้างกายของต่งกุ้ยเฟย อายุราวยี่สิบปี รูปหน้ากลมกลึง สวมใส่ชุดคลุมคอกลมสีม่วง บนศีรษะสวมไว้ซึ่งหมวกวูซา*ประดับมุก
ลวี่เฉียวเป็นคนของต่งกุ้ยเฟยย่อมทราบดีว่าต่งกุ้ยเฟยเกลียดชังสนมจ้าวผู้นี้เพียงใด แต่บัดนี้กุ้ยเฟยจากไปแล้ว เหลือเพียงสนมลู่ผู้เปรียบดั่งประทัดพวงใหญ่พวงหนึ่ง หากปล่อยปละจนสนมลู่ก่อเหตุวุ่นวายขึ้น แม้แต่นางเองก็อาจหนีไม่พ้นโทษทัณฑ์
การเอ่ยปากต่อสนมลู่ของนางเมื่อครู่ทำให้นางกำนัลทั้งหลายได้สติคืนมา จึงรีบเข้าไปขวางสนมลู่ไว้เพื่อหยุดยั้งคลื่นมรสุมที่จะก่อตัวขึ้น
“มือของเหนียงเหนียงได้รับบาดเจ็บ ถ้าอย่างไรเชิญหมอหลวงมารักษาดีหรือไม่?ล”
สนมลู่ร้อง “ฮึ” ออกมาคำหนึ่ง สายตาถลึงจ้องเฉินหรูอี้ด้วยความอาฆาต “เรื่องนี้ไม่จบแน่!” นางสะบัดแขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บโดยแรงแล้วหมุนตัวเดินนำคนของตำหนักหย่งโซ่วให้ทยอยออกจากอุทยานหลวงไป
เมื่อคนของตำหนักหย่งโซ่วจากไป พื้นที่ในอุทยานหลวงจึงว่างเปล่าไปถึงครึ่ง
ลวี่เฉียวไม่พูดให้มากความเพียงกำชับนางกำนัลเตรียมพู่กันกระดาษหมึกจดบันทึกนามและตำแหน่งของสนมแต่ละคน
ยามนี้เฉินหรูอี้นับว่าเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในที่นี้แต่ลวี่เฉียวกลับมิได้เห็นแก่ต่งกุ้ยเฟยจนทำให้นางตกที่นั่งลำบากยังคงบันทึกชื่อของนางไว้หลังชื่อของสนมลู่
จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จสิ้น เฉินหรูอี้จึงคิดจะหาใครสักคนนำนางออกจากอุทยานหลวงมุ่งกลับสู่ตำหนักตน ที่สุดแล้วนางจึงได้พบกับนางกำนัลทั้งสองของนาง
พวกนางสองคนติดตามสนมจ้าวมาเพื่อร่วมอวยพรแก่สนมลู่ พอก้าวเท้าเข้าอุทยานหลวงก็ถูกคนเรียกใช้มือเป็นระวิง ไม่มีเวลาแม้หยุดพัก หากไม่ใช่ยกน้ำรินสุราก็วิ่งวุ่นเป็นธุระช่วยผู้อื่น จนกระทั่งได้ยินว่าสนมจ้าวของพวกนางสองคนจมน้ำสิ้นใจแล้ว น้ำตายังมิทันหยดถึงพื้น ก็ได้ยินว่าสนมจ้าวฟื้นคืนมาเสียแล้ว เพิ่งถอนหายใจโล่งอกได้เพียงครู่กลับได้ยินว่าสนมจ้าวทะเลาะตบตีกับสนมลู่ ทำเอาพวกนางหวาดหวั่นเสียจนถุงน้ำดีแทบพัง
ผู้คนล้วนกล่าวว่าสนมจ้าวหยิ่งผยอง ทั้งเย็นชาชอบกล่าววาจาเหน็บแนม ความจริงมีเพียงพวกนางสองคนที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายเท่านั้นที่กระจ่างใจดีว่าสนมจ้าวเป็นเพียงแค่ผู้ไม่รู้จักพาที แม้นนางมิมีเจตนาแต่คำพูดไร้แก่นสารเพียงประโยคเดียวของนางถึงกลับแทงทะลุอวัยวะภายในทั้งห้าของผู้คนได้ เช่นนี้จะให้ผู้อื่นชอบใจได้อย่างไร แต่หากกล่าวถึงเจตนาร้ายนั้นนางกลับไม่มีแม้แต่น้อยซ้ำยังปฏิบัติต่อบ่าวไพร่ด้วยความใจกว้าง
สมองน้อยๆ ของนางใช้เพียงครุ่นคิดถึงวิธียั่วยวนองค์จักรพรรดิเท่านั้นไม่เคยขบคิดหนทางรังแกผู้คนแต่อย่างใด
นางกำนัลสองคนนี้เข้าวังมาแต่เยาว์วัย พวกนางเข้าวังมาตั้งแต่จักรพรรดิจางเหอยังไม่ทันขึ้นครองราชย์ด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้จึงกระจ่างแจ้งถึงนิสัยของบรรดาสนมชายาในวังอยู่ถึงเจ็ดแปดส่วน เข้าใจดีกว่าสนมจ้าวเสียอีก
สนมลู่นิสัยแข็งกระด้างมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้ผู้ใด หากเปรียบเทียบสนมจ้าวกับสนมลู่มองอย่างไรก็มีเพียงสนมจ้าวของพวกนางเท่านั้นที่เสียเปรียบ
สองนางกำนัลเข้าปลอบประโลมผู้ที่พวกนางเข้าใจว่าเป็นสนมจ้าวทันที เมื่อขึ้นเกี้ยวอ่อนที่ด้านนอกอุทยานหลวงก็มุ่งตรงกลับตำหนักหมิงกวางในทันที
*แสร้งเป็นสุกรหลอกกินพยัคฆ์ เป็นสำนวนหมายถึง แกล้งเป็นผู้อ่อนแอเพื่อรอจังหวะทำร้ายผู้อื่น
*เหนียงเหนียง เป็นคำที่นางกำนัล ขันที ใช้เรียกเจ้านาย ซึ่งมีตำแหน่งเป็นหวงโฮ่วไปลงมาถึงตำแหน่ง 9 พระสนมเอก
*หนูปี้ เป็นคำใช้แทนตัวของบ่าวไพร่ ขันที นางกำนัลเมื่อพูดกับเจ้านายอาจแปลได้ว่า หม่อมฉัน ข้าน้อย บ่าว ตามแต่ว่าพูดคุยกับผู้ใด
*ถงสื่อ เป็นชื่อตำแหน่งซึ่งมีหน้าที่จดบันทึกรายละเอียดของสนมทุกพระองค์และวันเวลาที่พระชายาพระสนมถวายงานรับใช้องค์จักรพรรดิ
*หมวกวูซา หรือหมวกแพรสีนิล ใช้ผ้าสีนิลประดิษฐ์เป็นหมวกยอดกลม มีปลายห้อยสองข้างยาวประมาณ 40 เซนติเมตร