บทที่ 39 เจตนาร้าย

บทที่ 39 เจตนาร้าย

เฉินฮวายปิดเปลือกตาหนาลงทำทีเป็นมิเห็นสิ่งใด

องค์จักรพรรดิมิได้เผยรอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว สนมจ้าวก็มิได้แสดงท่าทีว่าอยากกระโจนเข้าสู่พระอุระขององค์จักรพรรดิเสียเต็มประดา ทุกคนล้วนมีสีหน้าดั่งประสบความพินาศเช่นเดียวกัน

ระยะนี้เขาเริ่มไม่เข้าใจความคิดอันแปลกประหลาดขององค์จักรพรรดิมากขึ้นทุกที ทั้งที่นางเป็นโล่กันภัยที่พระองค์ทรงเลือกมา จะเพื่อกันคลื่นแห่งรักที่โหมซัดสาดก็ดีหรือเพื่อมิให้ไท่โฮ่วและเหล่าขุนนางต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับการไม่ใส่พระทัยต่อวังหลังก็ช่าง ทว่าสนมจ้าวผู้นี้ก็เป็นคนที่ทรงเลือกเฟ้นมาจากคนนับร้อยจะมิทรงสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับนางก็มิเป็นไรแต่กลับทรงคิดทุกวิถีทางเพื่อกลั่นแกล้งนาง หากวันใดแผนที่วางไว้ไม่สำเร็จลุล่วงล้วนมิอาจบรรทมหลับได้ เขาเองก็มิรู้ได้ว่าสิ่งใดไปสะกิดถูกจุดทรมานผู้คนของพระองค์เข้ากันแน่

องค์จักรพรรดิทรงทำเช่นนี้โดยมิเกรงกลัวว่าจะทำให้นางเสียสติไปก่อนแล้วพระองค์จะต้องค้นหาโล่กันภัยอันใหม่หรืออย่างไร?

สนมจ้าวเป็นคนที่พระองค์เฟ้นมาเพื่อใช้อวดแสนยานุภาพมิใช่เพื่อให้พระองค์ทรมาน ไม่ทราบว่าพระองค์ยังทรงจำได้หรือไม่?

“อ้ายเฟยยังมิเข้ามาอีก หรือจะให้เจิ้นไปรับเจ้า?” องค์จักรพรรดิทรงเริ่มมีโทสะอีกครั้ง พระพักตร์งามสง่าคล้ายแย้มสรวลทั้งคล้ายไม่แย้มสรวล มองไปยังนางด้วยสายพระเนตรวาวโรจน์ อาจเรียกได้ว่าเป็นการจ้องเขม็ง

น่าเสียดายที่เป็นเพียงพระสุรเสียงที่เอ่ยออกไปแต่พระองค์มิได้ทรงขยับเขยื้อน แม้แต่พระกรก็ไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหว

เฉินหรูอี้ไหนเลยจะกล้าให้พระองค์ลำบาก กลัวเหลือเกินว่าหากตนเชื่องช้าอาจทำให้พระโอษฐ์อันแสนร้ายกาจของพระองค์ผุดพ่นคำแค้นเคืองใดๆ ต่อนางอีกรีบเร่งก้าวเท้าไป เพียงไม่กี่ก้าวก็มายืนอยู่ด้านข้างของเก้าอี้แล้ว

หากผู้ใดทราบคงรู้ว่านางหวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดจากร่างจึงมิกล้าขัดคำสั่งองค์จักรพรรดิ หากผู้ที่ไม่ทราบอาจคิดว่านางเห็นองค์จักรพรรดิตรัสเช่นนั้นจึงทะยานเข้าหาพระองค์อย่างมิอาจอดรนทนได้

“โอ้ วันนี้อ้ายเฟยทำทรงผมเหมือนเขาแพะเสียด้วย นี่.....แสดงว่าเจ้าต้องชอบแพะที่เจิ้นให้เฉินฮวายเอาไปให้เจ้ามากใช่หรือไม่?”

เฉินหรูอี้เพิ่งจะนั่งได้ถนัด เซียวเหยี่ยนก็ยื่นมืออันเรียวยาวของตนออกมาดึงมวยผมทั้งสองข้างของนาง ใบหน้าแต้มยิ้มคล้ายกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์ก็มิปาน

เฉินหรูอี้พลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเต็มไปด้วยเจตนาร้ายขององค์จักรพรรดิ

ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงนึกขึ้นได้ว่ามีต่งกุ้ยเฟยกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าตน ร่างอรชรสวมใส่ชุดกระโปรงสีม่วงเข้มขลิบทอง มวยผมเกล้าสูงประดับด้วยมุกเม็ดงามทั่วทั้งศีรษะ เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องมายังใบหน้าด้านข้างของต่งกุ้ยเฟยจึงทำให้เห็นสีหน้าของนางมิชัดเจนนัก

เวลานี้เฉินหรูอี้ล้วนมิได้สนใจอาการปวดหนึบบนหนังศีรษะเนื่องด้วยองค์จักรพรรดิคอยดึงทึ้งมวยผมของนางอยู่ นางกระโดดลงจากเก้าอี้โดยพลันคล้ายบนนั้นมีเข็มคอยทิ่มแทงก้นอยู่ รีบร้อนย่อกายคารวะต่อต่งกุ้ยเฟย

“เชี่ยเซินคารวะกุ้ยเฟย”

ต่งกุ้ยเฟยชะงักงันไปเพียงเล็กน้อยก็กลับมามีท่าทีนิ่งสงบงามสง่าดุจเดิม นางคลี่ยิ้มบางเบาแม้ว่าตนคุกเข่าอยู่บนพื้นแต่เฉินหรูอี้ที่คารวะนางนั้นอยู่สูงกว่านาง ทว่าท่าทางของนางกลับมิได้ดูด้อยลงเลยแม้แต่น้อยคล้ายกับตนอยู่บนที่สูงส่งแล้วก้มมองผู้ต่ำต้อยกว่ากระนั้น

เฉินหรูอี้อดที่จะยกนิ้วโป้งให้นางอยู่ในใจมิได้

นึกย้อนไปถึงปีแรกที่สตรีสกุลต่งเข้าวัง แม้นว่าจะเป็นคนฉลาดแต่ถึงอย่างไรก็ยังเยาว์นักทั้งยังเย่อหยิ่งในตน ไม่ว่าจะเป็นโกรธเกลียดยินดีซึมเศร้าล้วนมิได้เก็บงำ บัดนี้ต่งกุ้ยเฟยมิได้เป็นเช่นกาลก่อนแล้วทั้งที่ยามนี้นางมีอำนาจบารมีมากกว่าแต่ก่อนด้วยเพราะนางต้องการข่มขวัญให้ผู้อื่นเกรงกลัว

หากบรรดาสนมสามารถเห็นถึงอารมณ์ต่างๆ ที่แสดงออกมาของต่งกุ้ยเฟยได้อย่างง่ายดายนั่นก็เพราะนางยินยอมให้ผู้อื่นได้เห็น

“นี่เป็นตำหนักฉางเล่อของเจิ้น หาใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาประจบสอพลอผู้คนไม่” เซียวเหยี่ยนส่งเสียงขึ้นจมูกคราหนึ่ง

เฉินฮวายนิ่งงัน ทุกคราที่สนมจ้าวมาที่นี่ก็มิใช่เพื่อมาประจบสอพลอหรอกหรือ? เพียงแค่บัดนี้เปลี่ยนเป้าหมายก็เท่านั้น....

เวลานี้เองเฉินหรูอี้จึงได้หยัดกายยืนขึ้น องค์จักรพรรดิจึงยื่นพระกรยาวของพระองค์ออกไปดึงรั้งสายคาดเอวของนางทางด้านหลัง นางจึงเสียหลักล้มลงไปบนเก้าอี้ยาว ครั้นเมื่อก้นของนางกำลังจะแตะบนเก้าอี้ ข้อศอกนางได้กระทุ้งเข้าไปที่พระนาสิกโด่งขององค์จักรพรรดิเข้า

เพียงยินเสียง “ฮึ” ขององค์จักรพรรดิคราหนึ่ง พลันงอพระขนองทั้งยกพระหัตถ์ทั้งสองกุมพระนาสิกไว้

เฉินหรูอี้ตกใจจนปัสสาวะแทบราดจึงรูดตัวลื่นไหลลงคุกเข่าที่พื้นอยู่ข้างเก้าอี้ เหงื่อกาฬผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผาก ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ

ถึงแม้เหตุจะเกิดจากองค์จักรพรรดิเป็นผู้ลงมือดึงสายคาดเอวของนาง ทั้งหมดคือกรรมตามสนอง ทว่าแต่ไหนแต่ไรองค์จักรพรรดิก็มิใช่ผู้ที่ว่ากล่าวด้วยเหตุด้วยผล ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับพระอารมณ์ของพระองค์ หากแม้นนางวาดฝันให้พระองค์รู้จักว่ากล่าวด้วยเหตุผลแม้เพียงนิดแสดงว่านางได้เสียสติไปแล้วเป็นแน่

ยามนี้องค์จักรพรรดิใช้นางเป็นเครื่องมืออยู่ นางมิห่วงว่าพระองค์จะบันดาลโทสะด้วยการเตะนางเข้าไปอยู่ตำหนักเย็นแต่องค์จักรพรรดิเป็นผู้ชมชอบการแก้แค้น นางเพียงกลัวว่าพระองค์จะกลั่นแกล้งทรมานนางอย่างบ้าคลั่ง

หลายวันนี้นับว่านางได้ลึกซึ้งถึงพระปรีชาสามารถในการทรมานผู้คนของพระองค์แล้ว

“ฝ่าบาท....” เฉินหรูอี้เบิกตากลมโตกล่าววาจาอ้ำอึ้งมิกล้าเข้าใกล้

ต่งกุ้ยเฟยหยัดกายลุกยืนย่างใกล้เข้ามาสองก้าว เหลือบตามองพลางกล่าวตำหนินาง “น้องจ้าวเหตุใดจึงมิระวังเยี่ยงนี้” แล้วหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าที่มีกลิ่นหอมอันเข้มข้นส่งให้องค์จักรพรรดิด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยพลางกล่าวเสียงอ่อนนุ่มว่า “ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ต้องเรียกหมอหลวงหรือไม่?” ประโยคสุดท้ายคล้ายเอ่ยกับเฉินฮวาย

เฉินฮวายคือผู้ที่ฝึกฝนจนกลายเป็นภูตพรายไปแล้ว ยามนี้จึงมิกล้าออกความคิดเห็นแทนองค์จักรพรรดิจึงก้าวขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าวค้อมตัวลงเล็กน้อย ใช้ภาษากายแสดงออกว่าตนห่วงใยต่อองค์จักรพรรดิ เฝ้ารอรับสั่งของพระองค์ด้วยความเคารพนบน้อม นอกเหนือจากนี้ล้วนแสร้งมิได้ยิน

เซียวเหยี่ยนถูกข้อศอกนั้นกระทุ้งเสียจนสันจมูกแทบหัก หากมิใช่ว่ามีผู้อื่นอยู่ด้วย เขาคงคำรามร้องลั่นไปเสียนานแล้ว เขารู้สึกเจ็บหนุบหนับที่จมูกอยู่ตลอดแต่ทนข่มกลั้นไว้ สายตาเหลือบมองยังผ้าเช็ดหน้าอันคละคลุ้งด้วยกลิ่นหอมที่ต่งกุ้ยเฟยยื่นส่งให้ เขารับมาแล้วสั่งน้ำมูกออกมาโดยแรงพลันกลิ่นหอมอันเข้มข้นนั้นจึงพุ่งเข้าจมูกเต็มรักทำให้เขาจามติดต่อกันไม่หยุดถึงสี่ห้าครา

“กุ้ยเฟยเอาน้ำปรุงเทใส่ผ้าเช็ดหน้าเสียหมดขวดหรือไร?” เซียวเหยี่ยนทิ้งผ้าเช็ดหน้าของต่งกุ้ยเฟยลงกับพื้นแล้วหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าปักลายมังกรคู่ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากมือของเฉินฮวายขึ้นเช็ดจมูกตน ใช้อากัปกิริยาทุกอย่างบอกกล่าวถึงความไม่พอใจในยามนี้ของตน

กุ้ยเฟยใบหน้าแข็งค้างไปชั่วครู่ แค้นใจที่เหตุใดสนมจ้าวจึงมิกระทุ้งให้พระนาสิกของพระองค์หักไปเสียให้สิ้นเรื่อง

พระองค์ทรงกระชากอาภรณ์ผู้อื่นแต่ผลลัพธ์คือถูกข้อศอกผู้อื่นกระทุ้งเข้าที่พระพักตร์ ทุกอย่างล้วนไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับนางสักน้อยนิด?

นางส่งผ้าเช็ดหน้าให้ด้วยเจตนาดีพระองค์ไม่รับน้ำใจนางก็มิเป็นไร แต่เหตุใดต้องตบหน้านางต่อหน้าสนมโปรดคนใหม่ผู้นี้ด้วยเล่า? อย่างไรนางก็เป็นถึงกุ้ยเฟยทั้งยังเป็นผู้ดูแลวังหลัง หากทรงไว้หน้านางสักนิดพระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์หรือไร?

จะทรงสิ้นพระชนม์งั้นหรือ?!

“เอาล่ะ แต่ละคนล้วนมิอยากให้เจิ้นได้อยู่อย่างสงบต่างทำทุกวิธีให้เจิ้นมิอาจอยู่สุขได้...เจ้ากลับไปเถอะ ต่อไปอย่าได้ทำเช่นนี้อีก วันๆ เอาแต่ส่งสารพัดน้ำแกงมายังตำหนักเจิ้น คิดว่าที่นี่เป็นถังปฏิกูลหรือไร มีอันใดก็เอามาทิ้งที่นี่”

เซียวเหยี่ยนขมวดคิ้วแน่น เชิดจมูกแดงช้ำขึ้นพลางกล่าวว่า “ดูแลวังหลังให้ดี สนมโหลว สนมลู่ก็ล้วนเป็นมารดาแล้วทั้งสิ้น ให้พวกนางสงวนท่าทีรักษาไว้ซึ่งความสง่างามเสียบ้าง วันๆ มิรู้จักดูแลอบรมพระราชธิดา รู้จักแต่ทำตนเป็นผีเสื้อราตรีคอยยั่วยวนเจิ้น กุ้ยเฟยกล้าทำให้เจิ้นเห็นหรือไม่ว่าเจ้าสามารถดูแลควบคุมวังหลังให้เรียบร้อยได้?”

ต่งกุ้ยเฟยได้แต่สูดลมหายใจเข้าปอดอยู่ภายในใจ คิดเสียว่าวาจาตำหนิต่อว่าเหล่านี้เป็นเพียงเสียงผายลม เมื่อคิดเช่นนั้นอารมณ์พลันดีขึ้นในทันใด

“เป็นเพราะเฉินเชี่ยอบรมไม่เข้มงวด ล้วนเป็นความผิดของเฉินเชี่ย ต่อไปเฉินเชี่ยจะดูแลควบคุมวังหลังให้ดีเพคะ” นางกล่าวต่อว่า “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้น้องจ้าวมาเข้าเฝ้าคงมีเรื่องปรึกษาหารือ เฉินเชี่ยมิกวนพระทัยแล้ว เชิญฝ่าบาทและน้องจ้าว..ตามสบาย”

ต่งกุ้ยเฟยล้วนรับผิดทุกอย่างด้วยท่าทางที่จริงใจยิ่งทั้งเคารพนบน้อมยิ่ง แล้วสวมเสื้อคลุมจากไปอย่างเงียบๆ

เฉินหรูอี้ชำเลืองมองต่งกุ้ยเฟยย่างเท้ารวดเร็วออกจากห้องตงหน่วนคล้ายดั่งถูกสุนัขบ้าไล่กัดก็มิปาน พลันรู้สึกดั่งมีอีกาฝูงหนึ่งบินวนบนศีรษะ ส่งเสียงร้องโหยหวน “กา กา กา” ใส่นาง