บทที่ 21 ฝึกฝน
เฉินหรูอี้เอ่ยเสียงหวานปานน้ำผึ้งอันแฝงแววเหน็บแหนมอยู่ในทีทั้งใบหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มนั้นอีก ช่างเป็นลักษณะของสนมที่ได้รับการโปรดปรานโดยแท้ นางยังมิทันกล่าวจบก็ได้รับสายตาชื่นชมจากองค์จักรพรรดิที่อยู่ด้านซ้ายและเฉินฮวายที่ด้านขวา
แม้นนางดั่งเป็ดบินขึ้นรัง* แต่ในเมื่อนางขึ้นรังมาแล้ว ก็จะเป็นเป็ดชั้นดีที่รับผิดชอบหน้าที่ตนอย่างเต็มที่
แม้นฝีมือด้านการร้องรำของนางจะมิสู้ดีทั้งเรื่องการเอาอกเอาใจองค์จักรพรรดิก็มิอาจเป็นคู่แข่งผู้ใดได้ แต่เรื่องการกำหราบเหล่าสนมในวังหลังนั้นเก่งกาจไม่น้อย สองปีที่นางดำรงตำแหน่งหวงโฮ่วได้ฝึกให้นางมีความชำนาญนี้ติดตัวมาด้วย
บัดนี้นางมิได้มีความทรงจำของสนมจ้าวอยู่เลย ทุกคราที่ตกอยู่ใต้ฝ่าพระหัตถ์ขององค์จักรพรรดินางล้วนได้รับแต่ความปราชัย ไม่ง่ายเลยที่องค์จักรพรรดิจะยอมมอบโอกาสให้นางได้ฝึกฝนเช่นนี้ นางจะทำให้พระองค์ทรงผิดหวังได้อย่างไร
วาจาเมื่อครู่โจมตีเสียสนมเฉียนมิอาจตอบกลับ นางคุกเข่าอยู่บนพื้นเหลือบมองเฉินหรูอี้ด้วยสายตาตะลึงลานพลันเกิดความสับสนขึ้นในบัดดลว่าเฉินหรูอี้คือผู้ใดถึงได้กล้าเอ่ยคำกลับดำเป็นขาวด้วยน้ำเสียงและท่าทางเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิ
หากจะตำหนิก็คงต้องตำหนิองค์จักรพรรดิที่ทรงพระทัยโลเลเป็นที่สุด สนมนางใดล้วนเรียกขานว่า “สนมรัก” เช่นนี้อย่างไรก็มิมีเรียกผิด แต่นางเพิ่งเข้ามาวังหลังได้ไม่นานจะรู้จักทั่วทุกคนได้อย่างไร ด้วยนางกำนัลขันทีข้างกายนางนั้นเป็นต่งกุ้ยเฟยประทานให้ เมื่ออยู่ต่อหน้าล้วนยกยอปอปั้นนาง แต่ทว่าเรื่องราวในวังนั้นลึกลับซับซ้อนยิ่ง เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้นางยิ่งมิอาจทำความเข้าใจได้ ได้แต่ทำตนดั่งตาบอดคลำช้างอาศัยความรู้สึกของตนเดาส่งเดชไปซึ่งไม่มีอันใดที่เป็นประโยชน์ต่อนางเลย
สนมเฉียนถูกนางกำนัลเป่าหูเสียจนชินจึงเข้าใจว่าองค์จักรพรรดิมิเคยเจอผู้ใดที่รู้ใจเช่นตนมาก่อน บัดนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดินั้นเย็นชายิ่ง แต่นางคิดว่าพระองค์แค่ทรงเย้านางเล่นเท่านั้น ส่วนเฉินหรูอี้ก็เป็นนางจิ้งจอกที่คอยยุแยงเมื่อสบจังหวะก็เท่านั้น
“กฎที่ข้าเรียนรู้ล้วนเป็นคนที่กุ้ยเฟยส่งมาอบรมด้วยตนเอง ฝ่าบาทยังเคยเอ่ยชมข้าด้วยซ้ำ แต่ไม่ทราบว่าเหตุใด...ในสายตาของพี่สาวข้าจึงกลายเป็นผู้มิรู้กฎไปเสียได้” สนมเฉียนยืดอกที่อวบอั๋นของตนขึ้น คางน้อยๆ เชิดขึ้นด้วยท่าทางที่มิเกรงกลัวต่ออำนาจใด
เฉินหรูอี้ตะลึงไปเล็กน้อย บรรดาสนมที่แสร้งเป็นตะปูอ่อน ต่อหน้าทำความเคารพ ลับหลังก่นด่า นางเจอมามิใช่น้อย แต่ที่เหิมเกริมดุจตบหน้ากันเสียงดังฉาดทั้งที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้นางกลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
องค์จักรพรรดิช่างมีสายพระเนตรที่แตกต่างจากปุถุชนทั่วไปโดยแท้
ผู้หนึ่งรู้จักแต่กล่าวทูลฟ้องอีกผู้หนึ่งกลับมีสติปัญญาดุจคนสติฟั่นเฟือน หลายปีมานี้พระองค์ทรงพบเจอสิ่งใดมากันแน่?
นางกวาดมององค์จักรพรรดิอย่างครุ่นคิดกลับเห็นพระพักตร์หล่อเหลามืดดำดุจถูกอัสนีผ่าฟาดไปถึงเจ็ดแปดส่วน เพื่อมิให้องค์จักรพรรดิทรงกริ้วแล้วตัดโอกาสการมีชีวิตรอดของนางไป นางจึงรีบร้อนกล่าวสั่งสอนสนมเฉียนอย่างไม่รอช้า “ฝ่าบาทและกุ้ยเฟยเห็นว่าเจ้ายังเยาว์วัยนัก มิอยากเอ่ยตำหนิเจ้า เจ้าควรรู้สิ่งใดควรมิควรจึงจะถูก สนมเฉียนอย่าได้โกธรเคืองไป ถึงอย่างไรพี่สาวก็อายุมากกว่าเจ้า จึงอยากบอกกล่าวเจ้าสักหน่อย ก่อนหน้านี้พี่สาวก็ได้กระทำผิดเช่นกัน กุ้ยเฟยเพียงกักบริเวณข้า มิได้กล่าวโทษอันใดอีก แต่ข้านั้นกลับสำนึกในความผิดตนด้วยใจจริงจึงตัดสินใจว่าจะไม่กระทำผิดเช่นนั้นอีก ”
วาจาเช่นนี้ช่างมีจังหวะรุกรับอย่างพอเหมาะ ทั้งแฝงแววประชดประชันสนมเฉียนและในขณะเดียวกันก็กล่าวชมกุ้ยเฟยไปพร้อมด้วย แม้แต่ผู้ที่ช่างตำหนิอย่างเซียวเหยี่ยนยังพยักหน้าพอใจไม่หยุดหย่อน
เซียวเหยี่ยนบีบเค้นเอวบางของเฉินหรูอี้เบาๆ ต่อว่าอย่างยิ้มแย้ม “เจ้านี่ปากหวานเสียจนทำคนตายได้เลยนะ เหตุใดเจิ้นฟังเจ้ากล่าวเช่นนี้คล้ายว่าการถูกกุ้ยเฟยลงทัณฑ์มิใช่เรื่องน่าอับอายแต่เป็นเรื่องน่าภูมิใจ ถูกลงโทษแล้วยังบอกกล่าวไปทั่วคล้ายเป็นเรื่องอันทรงเกียรติจนต้องอวดอ้างไปทั่วกระนั้นหรือ?”
“เชี่ยเซินภูมิใจที่ใดกัน?” เฉินหรูอี้ส่งยิ้มเต็มหน้าแก่จักรพรรดิจางเหอ “เชี่ยเซินสำนึกในความผิดจึงคิดแก้ไขตน มิกล้าเล่นลิ้นเด็ดขาดเพคะ สนมเฉียนยังเยาว์นัก เชี่ยเซินมิอยากเห็นนางทำผิดเช่นเชี่ยเซิน จึงบอกกล่าวนางด้วยใจจริง ฝ่าบาทมิทรงช่วยเชี่ยเซินยังทรงพระสรวลเย้ยเชี่ยเซินอีก ”
สนมเฉียนเห็นทั้งสองหยอกล้อต่อว่ากันต่อหน้านางเช่นนี้ หน้าจึงแดงด้วยความโกรธ เล็บยาวจิกเนื้อฝ่ามือตนเสียแทบพัง
“ฝ่าบาท......”
เฉินหรูอี้มิรอให้นางได้กล่าวชิงพูดตัดบทขึ้น “สนมเฉียน พี่สาวเพียงบอกกล่าวเจ้าได้เท่านี้ เจ้าลองใคร่ครวญให้ดี ฝ่าบาทไปเถอะเพคะ”
เซียวเหยี่ยนยกมุมปากระบายยิ้มไม่แม้แต่จะเหลือบมองสนมเฉียนที่คุกเข่าบนพื้นนั้นสักนิดเพียงเดินโอบเอวเฉินหรูอี้จากไป เดินไปพลางหัวเราะเบาๆ เอ่ยกระซิบข้างหูเฉินหรูอี้ว่า “อ้ายเฟยจมน้ำครานี้สติปัญญาเฉลียวฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว ในที่สุดก็พูดคุยกับเจิ้นรู้เรื่องเสียที”
เฉินหรูอี้นิ่งเงียบ องค์จักรพรรดิกำลังชมว่านางฉลาดเหมือนพระองค์ หรือดูถูกว่าตนสติเลอะเลือนเหมือนนางไปแล้วกันแน่?
นี่คือปัญหา
วาจาเหล่านั้นหากเป็นคราที่นางยังดำรงตำแหน่งหวงโฮ่วอยู่คาดว่าต่อให้โบยนางจนตายนางก็มิอาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้ แต่เมื่อผ่านความยากลำบากดุจน้ำลึกไฟร้อนในยามเป็นขันทีน้อยมาได้นางกลับมิรู้จริงๆ ว่ายังมีอันใดที่นางมิกล้าเอ่ยปากได้อีก จากประสบการณ์ที่นางเคยมีชีวิตเป็นขันทีรวมทั้งความรู้สติปัญญาเดิมของนาง บัดนี้หากนางอยากทำเสียอย่าง ไม่เพียงแค่วาจายกยอผู้คนเท่านั้น แม้นพบผู้คนก็พูดคุยภาษาคน พบภูตผีก็พูดคุยภาษาผี มิใช่คนมิใช่ผีก็พูดมั่วไหลลื่นไปได้
สวนบุปผาในอุทยานหลวงนั้นห่างจากตำหนักหมิงกวางไม่ไกลนัก จักรพรรดิจางเหอจึงเสด็จดำเนินโอบเอวเฉินหรูอี้อยู่บนทางเดินซึ่งด้านหลังติดตามมาด้วยขันทียี่สิบกว่าคนโดยมีเกี้ยวสีเหลืองทองอันว่างเปล่าถูกหามรั้งอยู่ท้ายขบวน
กระทั่งถึงตำหนักหมิงกวาง บัดนี้ร่างครึ่งหนึ่งของเฉินหรูอี้แข็งเกร็งจนแทบขยับมิได้แล้ว บริเวณเอวที่เซียวเหยี่ยนโอบไว้แน่นนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจากฝ่ามือใหญ่
สนมจงมารออยู่นานแต่ไม่เห็นเฉินหรูอี้กลับมาจึงจากไปตั้งแต่ยังไม่ถึงเที่ยง
หยวนสี่คอยอยู่ต้อนรับสนมจงทั้งที่ไม่เต็มใจนัก ถึงอย่างไรสนมจงเป็นนายเก่าตนนางจะพูดจาสิ่งใดหนักไปก็มิได้เบาไปก็มิดี ห่างเหินมากก็มิได้ ชิดใกล้มากก็มิงาม เมื่อต้องรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้นางพลันรู้สึกร่างกายและจิตใจช่างอ่อนล้า
หากกล่าวถึงอดีต นางกลับมิได้รู้สึกชิดใกล้กับสนมจงมากเท่าสนมจ้าวนายตนเนื่องด้วยเคยกินนอนอยู่ด้วยกันมาก่อน สนมจงแค่เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันกับสนมจ้าวเท่านั้น พวกนางจึงมิได้รู้สึกอันใดต่อสนมจงมากนัก
หยวนสี่อยู่ในวังมานานมีหรือจะไม่เข้าใจต่อการกระทำของสนมจงที่หน้าตำหนักหย่งโซ่วในวันนั้น ยามเห็นใจนางแทบร่วงตกลงพื้น นางกำนัลขันทีในวังมีรักร่วมเพศเบื้องบนรู้แจ้งแก่ใจแต่มิได้เอ่ยปากออกไปก็เท่ากับอนุญาตกลายๆแต่หากเป็นพระสนมที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น...ก็เท่ากับรนหาที่ตาย
หยวนสี่รู้สึกปรีดายิ่งที่สนมจ้าวนายตนนั้นกระจ่างแจ้งในจุดนี้ รู้จักหลบเลี่ยงไม่คลุกคลีกับสนมจงผู้เป็นดั่งน้ำขุ่น
เมื่อส่งสนมจงกลับไปได้ หยวนสี่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวอยู่ครึ่งค่อนวันจึงมีกำลังคืนกลับมา บัดนี้เห็นสนมจ้าวนายตนไปเที่ยวเล่นในอุทยานหลวงไม่กี่วันกลับยั่วยวนองค์จักรพรรดิให้หวนคืนมาได้ในใจพลันรู้สึกปลื้มปีติเป็นล้นพ้นราวกับมีช่อผกางอกเงยขึ้นบนหน้า
เฉินหรูอี้นิ่งเงียบอยู่นาน ชำเลืองมององค์จักรพรรดิวูบหนึ่ง พระองค์คล้ายทรงแย้มสรวลทั้งคล้ายไม่ทรงแย้มสรวล คล้ายทรงมองออกถึงอาการดีใจออกนอกหน้าของหยวนสี่และมองทะลุถึงใจอันพลุ่งพล่านของนาง
เซียวเหยี่ยนเข้ามาดื่มชาในตำหนักหมิงกวางเพียงถ้วยก็จากไป ก่อนออกจากตำหนักก็ยกมือขึ้นตบศีรษะเฉินหรูอี้เบาๆ ทีหนึ่ง มุมปากปรากฏรอยยิ้มอันล้ำลึก “วันนี้อ้ายเฟยทำได้ดียิ่ง”
ยามนี้เป็นเวลาบ่ายแสงอาทิตย์ร้อนแรงยิ่ง เซียวเหยี่ยนเดินออกจากประตูตำหนักหมิงกวาง เดินไปพลางเอ่ยถามขึ้นว่า “คืนนั้น เจิ้นพูดสิ่งใดที่ไม่ควรพูดออกไปหรือไม่? หรือพูดสิ่งที่สตรีสกุลจ้าวมิควรได้ฟังออกไป?”
องค์จักรพรรดิมิต้องเอ่ยแซ่ขานนาม ข้าราชบริพารล้วนทราบดีว่าคำถามนี้กำลังทรงตรัสถามเฉินฮวาย ผู้ที่มีคุณสมบัติพอที่จะทูลตอบองค์จักรพรรดิได้ก็มีเพียงเขาเท่านั้น
เฉินฮวายถวายการรับใช้จักรรพรรดิจางเหอมาหลายปีจะทำให้ตนตกในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้อย่างไร
กล้าลอบฟังองค์จักรพรรดิสนทนาหรือรังเกียจว่าส่วนนั้นถูกตัดไปยังไม่พอจึงอยากถูกตัดศีรษะเพิ่มกระนั้นหรือ?
“คืนนั้นฝ่าบาททรงไล่กระหม่อมและข้าราชบริพารทั้งหลายออกมาจนหมดสิ้น กระหม่อมมิอาจทราบได้พะยะค่ะ ” เฉินฮวายถอนหายใจยาวแล้วกล่าวต่อ “แต่กระหม่อมดูจากวาจาท่าทางของสนมจ้าวแล้วก็มิคล้ายว่าฝ่าบาทจะทรงตรัสสิ่งใดที่นางไม่ควรฟังให้นางฟัง”
เซียวเหยี่ยนค่อยๆ เดินลงบันไดไปอย่างช้าๆ ใบหน้ายิ่งมายิ่งนิ่งขรึม
*เป็ดบินขึ้นรัง เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่า ได้รับคำสั่งให้ทำงานที่ตนมิใคร่ถนัดหรือทำงานที่ความสามารถตนยังไม่ถึงดั่งเป็ดที่บินขึ้นรัง