บทที่ 23 ความลับ
กฎมนเฑียรบาลในรัชสมัยจิ้นนั้นกล่าวถึงการแต่งตั้งองค์รัชทายาทไว้ว่าหากมีโอรสที่กำเนิดจากหวงโฮ่วก็ให้แต่งตั้งเป็นรัชทายาทเสีย แต่หากมิมีก็สามารถแต่งตั้งพระราชโอรสที่กำเนินจากกุ้ยเฟยหรือสนมอื่นๆ ได้ พระราชโอรสและพระราชธิดาของจักรพรรดิจางเหอนั้นกลับมีไม่มาก นอกจากสองปีก่อนที่ทรงมีพระราชโอรสพระราชธิดาประสูติติดๆ กันมาถึงสี่พระองค์ประหนึ่งเด็กน้อยกระโดดเล่น แต่หลังจากนั้นก็มิทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาอีกเลย
หวงโฮ่วของจักรพรรดิจางเหอมิทันได้ประสูติบุตรแก่พระองค์ก็ทรงสวรรคตไปเสียก่อน บัดนี้ต่งกุ้ยเฟยเป็นผู้ควบคุมดูแลกิจการภายในฝ่ายในทั้งหกตำหนัก และยังมีบารมีของพระราชโอรสให้พึ่งพิง ขาดเพียงนามเรียกขานว่าหวงโฮ่วเท่านั้นแต่ในทางพฤตินัยแล้วกลับไม่ต่างอันใดกับหวงโฮ่วเลย ต่งกุ้ยเฟยได้กลายเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งวังหลังไปเสียแล้ว
ต่งกุ้ยเฟยลงมือเฉียบขาดชมชอบแสดงอำนาจบาตรใหญ่มิได้ใจกว้างมีเมตตาเช่นหวงโฮ่วพระองค์ก่อน ครั้นเมื่อเหล่าสนมได้ยินเฉินหรูอี้ลากเอาต่งกุ้ยเฟยเข้ามาเกี่ยวพันเพื่อข่มขวัญพวกตน เหล่าสนมจึงเกิดหวาดกลัวว่าต่งกุ้ยเฟยผู้ใจคอคับแคบได้ฟังเช่นนั้นแล้วจะลงโทษให้พวกนางใช้ชีวิตข้นแค้นเช่นสนมจ้าวที่บัดนี้ตำหนักหมิงกวางยังคงขาดสิ่งนั้นไม่มีสิ่งนี้อยู่ร่ำไป
ครั้นได้ฟังวาจาของต่งกุ้ยเฟยกล่าวคล้ายอยู่ฝั่งพวกตน ท่าทีจึงเปลี่ยนไปราวบ้าคลั่ง ลำคอเชิดชูชันพร้อมเข้าชนเต็มที ริมฝีปากเตรียมเปิดอ้าเพื่อโจมตีแต่กลับได้ยินเสียงต่งกุ้ยเฟยกล่าวอีกคำหนึ่งว่า
“เอาล่ะ อย่าได้ถกเถียงกันอีกเลย ข้ารู้สึกเพลียแล้ว แยกย้ายกันเสียเถอะ”
บรรดาสนมได้แต่เก็บโทสะไว้ คำด่าว่าพรรณนาที่เตรียมผุดพ่นออกมากลับจุกอยู่ที่คอหอย ต่งกุ้ยเฟยอยากให้พวกนางจุกอกตายหรือไร? ให้พวกนางพูดจบเสียก่อนจะสิ้นใจอย่างนั้นหรือ?
ถึงแม้บรรดาสนมจะโกธรเคืองอย่างไรก็ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ลากลับไปด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะความรู้สึกที่ข่มกลั้นไว้
ต่งกุ้ยเฟยแสดงอำนาจตนให้ประจักษ์แก่ผู้คนด้วยการกล่าวข่มขวัญทั้งสองฝ่ายไว้แต่เฉินหรูอี้กลับมิได้ใส่ใจต่อแผนการคานอำนาจนี้ของต่งกุ้ยเฟย ขอเพียงแค่ช่วยหยุดยั้งวาจาเหน็บแนมอันไร้ซึ่งความหมายเหล่านี้ลงได้ ให้หูของนางได้พักผ่อนสักหน่อยนางก็พอใจแล้ว
หนึ่งเดียวที่เฉินหรูอี้ยังไม่อาจคุ้นเคยคือสายตาอันร้อนแรงของสนมจงที่คอยติดตามตนอยู่ตลอดเวลา หากมิใช่ว่าหน้านางหนาอยู่บ้างก็คงถูกสายตาร้อนแรงนั้นจ้องเสียจนทะลุไปแล้ว
ตั้งแต่เรื่องที่องค์จักรพรรดิเสด็จดำเนินไปส่งนางยังตำหนักหมิงกวางแพร่ออกไป สนมจงก็มาหานางติดกันถึงสองวัน เฉินหรูอี้ได้แต่รีบร้อนหลบเลี่ยงออกไป วันนี้อย่างไรก็ต้องมาเยียนตำหนักหย่งโซ่วพร้อมกัน นางรู้ดีว่ามิอาจหลบได้แล้ว
สนมจงผู้อ่อนโยนยกมือเกี่ยวเอาแขนของเฉินหรูอี้ไว้แน่นคล้ายจะเดินขึ้นเกี้ยวไปด้วยกันก็มิปาน
“หากสนมจงมีเวลาว่างก็มิสู้ไปนั่งพูดคุยที่ตำหนักหมิงกวางเถอะ” เฉินหรูอี้ขมวดคิ้วขึ้นรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาโดยพลัน
กลางวันแสกๆ เยี่ยงนี้ทั้งมีสายตาผู้คนมากมายคอยจับจ้องแต่สนมจงก็ยังมิเกรงกลัว นางกำลังลังเลว่าเมื่อถึงตำหนักจะต้องวางแผนป้องกันเสียหน่อยดีหรือไม่เพื่อมิให้ร่างอันแสนบอบบางอ่อนแรงนี้ของสนมจ้าวถูกสนมจงบังคับฝืนใจเอาได้
รัดรึงอย่างออกนอกหน้าปานฉะนี้ สนมจงกลัวนางจะไม่ตายดีหรือไร? หากมีผู้เจตนาไม่ดีพบเห็นเข้าแล้วคอยสืบเสาะติดตามพวกนาง แม้นอาจไม่มีหลักฐานมายืนยันแต่คำครหาเช่นนี้เมื่อแพร่ออกไปแล้วพวกนางทั้งสองล้วนมิอาจพ้นโทษตาย เข้าใจหรือไม่?
การตายอย่างไร้เกียรติเช่นนี้มิใช่สิ่งที่นางปรารถนาเลย
เฉินหรูอี้ตัดสินใจว่าจะต้องสลัดหลุดจากสนมจงที่มักชอบยื่นหน้ายื่นตามาหาตนอยู่ทุกเวลารวมทั้งกลิ่นอายรักอันเข้มข้นจนแสบจมูกของนางอีก
เมื่อเฉินหรูอี้กล่าวเช่นนี้ สนมจงก็มิได้แสดงออกว่ามิเห็นด้วยจึงปล่อยมือหมุนตัวเดินกลับไปยังเกี้ยวตนมุ่งหน้าไปตำหนักหมิงกวางด้วยความเบิกบานใจ
เมื่อถึงตำหนักหมิงกวาง เฉินหรูอี้รีบไล่นางกำนัลขันทีที่คอยติดตามให้ออกไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะใช้ให้ยกน้ำชาและของว่างมาให้ก่อน
“เสี่ยวเหมยจื่อ” สนมจงแววตาส่องประกายเจิดจ้าก้าวเท้าเข้ามาจะโอบกอดเฉินหรูอี้
“หยุด” เฉินหรูอี้เอ่ยปากเสียงเบา ปัดชายแขนเสื้อแล้วนั่งลงในตำแหน่งสูงสุด ความสนิทชิดเชื้ออันมากล้น กล่าวมิกล่าวสิ่งใดก็ล้วนแต่จะโอบกอดนางเช่นนี้ นางรับมิได้จริงๆ
“พระสนมจง” ผ่านไปนานนางจึงเอื้อนเอ่ยขึ้น ทอดมองสนมจงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างไร้ซึ่งชีวิตชีวาดูห่อเหี่ยวราวกับมะเขือยาวต้องเกล็ดน้ำแข็ง “ข้ารู้สึกขอบคุณยิ่งที่เมื่อครู่ช่วยพูดแทนข้า มีหลายคำที่ข้าเคยกล่าวไปแล้วแต่ไม่ทราบว่าสนมจงแกล้งทำเป็นมิเข้าใจหรือไม่ยินยอมรับฟังกันแน่” นางพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “แม้นในอดีตจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็ตามแต่เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ข้าหวังว่าเรายังคงเป็นเช่นพี่น้อง หากมีสิ่งใดช่วยเหลือได้ก็จักช่วยเหลือกัน ก็ดีอย่างที่สุดแล้ว สนมจงเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?”
สนมจงก้มหน้ามองต่ำ ผ่านไปนานจึงปรากฏแววยิ้มเยาะจางๆ ขึ้นบนใบหน้า
“วันก่อนองค์จักรพรรดิแค่เพียงเสด็จมาส่งเจ้าด้วยพระองค์เองเท่านั้น เจ้ากลับลุ่มหลง หวั่นไหวไปกับพระองค์อีกแล้วใช่หรือไม่?”
ดีเหลือเกิน นี่กลับเข้าไปสู่โลกของตนอีกแล้วหรือ เฉินหรูอี้รู้สึกเอือมระอาอย่างบอกไม่ถูก ทุกครั้งที่พูดคุยกัน สนมจงมักไม่หยุดจะกล่าวถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของตนทั้งสองอย่างไม่หยุดหย่อน บัดนี้นางนับว่ากระจ่างแจ้งแล้ว สนมจงผู้นี้แม้นดาบแทงทะลุร่างยังไม่รู้สึกเจ็บ หากยังพูดจาอ้อมค้อมเช่นนี้ต่อไปไม่ช้าไม่นานพวกนางทั้งสองคงได้กอดคอกันตายเป็นแน่
“ข้าเป็นสนมของพระองค์ จะลุ่มหลง หวั่นไหวหรือแม้กระทั่งตายเพื่อพระองค์ มันก็เป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือ?”
เฉินหรูอี้กัดฟันกรอด นางอดใจไว้ไม่อยู่จนเผลอทำกระดาษปรุตรงหน้าต่างขาดพังไปสิ้น “พี่น้องผูกพันลึกซึ้ง ความสัมพันธ์อันดีนี้ข้าล้วนเข้าใจ แต่ถ้ามากเกินไปอาจทำให้วังนี้ปั่นป่วนได้ เมื่อเรื่องแพร่งพรายออกไปไม่เพียงแต่ต้องดื่มสุราพิษเท่านั้น หากองค์จักรพรรดิทรงกริ้วครอบครัวที่อยู่นอกวังมิต้องพลอยลำบากไปด้วยหรอกหรือ สนมจงหรือท่านไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย?
สนมจงใบหน้าซีดขาวราวกระดาษลงไปในทันใด ไม่ทราบว่าเป็นเพราะโทสะหรือเพราะหวาดกลัวสองมือที่กุมผ้าเช็ดหน้าไว้นั้นสั่นน้อยๆ ไม่หยุด
“สนมจง....” เฉินหรูอี้ถอนหายใจรู้สึกสงสารนางยิ่ง
ต่อให้สนมจงผู้นี้จะมิเข้าใจอันใดได้โดยง่ายแต่กลับนับได้ว่ามีความจริงใจต่อสนมจ้าวอย่างแท้จริง ในยามที่นางแทบจะถูกทั้งวังหลังทอดทิ้งสนมจงยังกล้าที่จะยืนหยัดอยู่ข้างนาง พูดแทนนาง อาศัยเพียงจุดนี้ ต่อให้เฉินหรูอี้มิอาจยอมรับความสัมพันธ์อันไม่บริสุทธิ์ของทั้งสองได้ แต่ก็มิอาจเห็นสนมจงเป็นดั่งคนแปลกหน้าตัดขาดไมตรีต่อสนมจงได้
นางฟื้นคืนมาในร่างของสนมจ้าว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ล้วนต้องมีเหตุผลของมันที่นางมิอาจรู้ได้ซ่อนอยู่ นางไม่อาจลบกลบชีวิตก่อนหน้านี้ของสนมจ้าวได้รวมทั้งความรักความความสัมพันธ์เดิมของนางด้วย
“เดิมการใช้ชีวิตในวังก็ยากลำบากอยู่แล้ว” นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเจ้าปรองดองแต่ก็มิจำเป็นต้อง.....หากพี่จงมิรังเกียจ วันข้างหน้าขอให้เราช่วยเหลือพึ่งพาดูแลซึ่งกันและกันไปจนชั่วชีวิต เป็นรักที่บริสุทธิ์ระหว่างพี่สาวน้องสาวอย่างแท้จริง”
เฉินหรูอี้คงพูดเรื่องความรู้สึกและเหตุผลทั้งหมดให้ชัดเจนไปกว่านี้มิได้แล้ว นางได้แต่หวังว่าจะไม่ถึงขั้นแตกหักต่อกัน ต่อให้สนมจงมิอาจยอมรับแต่ก็คงไม่ถึงกับแค้นเคืองนาง
สนมจงใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ดวงตาตะลึงค้างจนแดงก่ำไปหมด นางผุดลุกขึ้นในทันใดพลางจ้องมองเสิ้นหรูอี้เขม็งเสียจนเสิ้นหรูอี้ขนลุกเกรียวกราวตื่นเต้นเสียจนหุบขาสองข้างไว้แน่น
“หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดเมื่อเริ่มแรกเจ้าถึงได้......” สนมจงกัดฟันแน่นน้ำตาพลันไหลรินออกมาในทันใด “หากเจ้าลุ่มหลงในลาภยศสรรเสริญก็บอกข้ามาตามตรงก็สิ้นเรื่อง เหตุใดต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลอกปั่นหัวข้าเล่นเช่นนี้?”
สนมจงยิ้มเย็น “ทำไมหรือ แค่ตอนนี้ฝ่าบาททรงนึกถึงเจ้าขึ้นมาได้ก็เท่านั้น ก็แค่เดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้า เช่นนี้ความหวังในใจเจ้าก็ฟื้นคืนมาแล้วงั้นหรือ? มิใช่เจ้าหรอกหรือที่วิ่งร่ำไห้มาหาข้าตัดพ้อว่าองค์จักรพรรดิมิเคยแตะต้องเจ้าแม้เพียงสักนิด ทรงเห็นเจ้าเป็นแค่ของเล่นฆ่าเวลา”
“บัดนี้พระองค์ต้องการเจ้าแล้วงั้นหรือ? เจ้า....เจ้ามิใช่หญิงบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้วงั้นหรือ?!”
โลกทั้งใบพลันหยุดนิ่งลง
เฉินหรูอี้นั่งตะลึงตาค้างบื้อใบ้อยู่กับที่ รู้สึกคล้ายเมฆดำเหนือหัวกำลังกดทับตน เสียงฟ้าคำรามขู่ขวัญให้หวาดกลัวก็ผ่าฟาดใส่นางไปแปดสิบเอ็ดครั้งได้
ผ่าลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า อีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง