บทที่ 18 พระสนมอย่าได้กลัว
เฉินหรูอี้มุมปากยกบิดเบ้ แค่ปะทะกับศัตรูเล็กน้อยนางมีอันใดต้องใส่ใจ แค่ทำตนเป็นจิ้งจอกห่มหนังพยัคฆ์ยกภูผามหึมาสามลูกอย่างองค์จักรพรรดิ กุ้ยเฟย และสนมลู่ออกมาตั้งไว้ ยกเรื่องที่ยังไม่อาจพิสูจน์แน่ชัดมาขยำให้เข้ากันเพียงเท่านี้ หากสนมหนิวมิอยากให้เรื่องเลยเถิดบานปลายสุดท้ายนางก็คงทำได้แค่ถอยไป
เป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่ายปานนี้ สนมจงไยถึงต้องแสดงสีหน้ายกย่องนางปานนั้น คล้ายนางเก่งกล้าเหลือประมาณ
ครั้นเหลือบมองผ่านๆ ไปยังหยวนสี่ก็เห็นสายตาอันปิติยินดียิ่งของนาง
เฉินหรูอี้รู้สึกคล้ายกำลังถูกทั้งสองดูแคลนในสติปัญญาตน สนมจ้าวผู้เดิมเป็นเช่นไรหรือ นางเพียงตอบกลับไปอย่างเบามือแต่พวกนางทั้งสองกลับตีฆ้องร้องป่าวก้องฟ้าประหนึ่งนางชนะศึกกลับมาก็มิปาน
“สนมจง” เฉินหรูอี้ใช้เลื่อนสายตาลงต่ำ “โปรดปล่อยมือ”
แม้เป็นการส่งสายตาเพียงแวบเดียวแต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยพลังอำนาจ สนมจงจึงคลายมือออกอย่างไม่รู้ตัว “สนมหนิวมักอิงแอบบารมีผู้อื่น ดูทิศทางลมแล้วจึงเดินเรือ ในอดีตก็มิชอบเจ้า บัดนี้มีสนมใหม่เข้ามา นางยิ่งจะปั้นเจ้าให้กลมทับเจ้าให้แบน เจ้าต้องระวังให้มาก อย่าได้ทำอะไรตามใจตนเหมือนเช่นเคยอีก”
สายตานางเหลือบเห็นหน้าตาเฉินหรูอี้ค่อยๆ ดีขึ้น มิได้ดูโกรธเคืองนาง ทำตนดั่งไม่เคยรู้จักนางมาก่อนอย่างเมื่อครู่สนมจงจึงรู้สึกยินดียิ่ง “เช่นนั้นก็เป็นอันตกลงว่า วันพรุ่งข้าจะไปพบเจ้าที่ตำหนักหมิงกวาง ข้า..มีเรื่องมากมายอยากสนทนากับเจ้า”
ดีเหลือเกิน ขว้างงูมิพ้นคอมันก็รัดคอตนเสียเอง
เฉินหรูอี้แม้มิใคร่เต็มใจนัก แต่ได้เอ่ยปากเช่นนั้นไปต่อหน้าพระสนมโหลวว่าทั้งสองอยากนัดพบกัน ต่อให้นางหน้าหนาเพียงไรก็มิอาจสะบัดหน้ามิไยดีหักหน้าสนมจงได้
ทั้งยังดึงสนมโหลวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แม้นต้นเหตุจะเป็นเพราะสนมจงยื้อๆ ยุดๆ สะบัดไม่หลุดก็ตาม แต่หากกลับคำไม่ทำตามนางเท่ากับนางได้ล่วงเกินสนมทั้งสองคนในเวลาเดียวกันทำให้สนมโหลวกลายเป็นสุนัขที่วิ่งจับหนูดังว่า
เฉินหรูอี้ขมวดคิ้วดั่งกิ่งหลิวขึ้นพยักหน้ารับอย่างจนใจ นางเองก็มีเรื่องอยากสนทนากับสนมจงเช่นกัน จะให้ดีต้องเลิกพฤติกรรมลูบคลำมือผู้อื่นเสีย เค้นคลึงจนนางรู้สึกขนลุกขนพองไปหมด
นางเหลือบเห็นสีหน้าเบิกบานใจอันล้นเหลือของสนมจงเข้าจึงรีบปลีกตัวขึ้นเกี้ยวกลับตำหนักหมิงกวางทันที แต่กลับคาดไม่ถึงว่าการใจอ่อนในครานี้จะนำพาเรื่องราวอันน่ารำคาญใจมาสู่ตนอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
สนมจงนั้นดูคล้ายโอนอ่อนเปราะบางแต่แท้จริงกลับมิเคยยอมอ่อนประดั่งมีดหั่นเนื้อก็มิปาน
เฉินหรูอี้เดิมทีนั้นคิดจะบอกความนัยต่อสนมจง แต่ดีชั่วอย่างทุกคนก็ล้วนอาศัยอยู่ในวังด้วยกัน หากการเอ่ยวาจาใดแล้วทำให้ผู้อื่นลำบากใจก็มิควรพูดเสียดีกว่า
แต่สนมจงกลับทำประหนึ่งวาจาตนเป็นเพียงผายลม เข้าใจไปว่าตนยังคงโกรธเคืองนางอยู่จึงทำตัวคล้ายคนต่ำต้อยอยู่เสมอ ดีเหลือเกินยามตนแข็งเข้าว่า นางก็อ่อนปวกเปียก พอตนพูดดีถ้อยทีถ้อยอาศัยสนมจงกลับระบายยิ้มอย่างไม่คิดครวญอันใด ไม่ว่าจะกล่าวสิ่งใดล้วนแสร้งไม่เข้าใจ
วันเวลาเช่นนี้ช่างยากจะข้ามผ่านไปได้
เฉินหรูอี้เริ่มกัดฟันยามหลับฝัน คราที่นางเป็นขันทีน้อยยังมิได้อัดอั้นถึงเพียงนี้
สนมจงนั้นแม้อัสนีฟาดผ่ายังมิเขยื้อน นอกจากไปคารวะกุ้ยเฟยแล้ว ทุกสองสามวันก็จะมานั่งเล่นที่ตำหนักหมิง กวางเสมอ
เรื่องสนมจ้าวกับสนมจงผู้เคยเป็นทั้งนายบ่าวทั้งพี่น้องได้กลับมาคบค้ากันอีกครั้งล้วนรู้กันไปถ้วนทั่ววัง บัดนี้สนมจงมักพกพาใบหน้าอบอุ่นและก้นอันเย็นเฉียบวิ่งตรงมายังตำหนักหมิงกวางอยู่บ่อยครั้ง เฉินหรูอี้เห็นแก่ชื่อเสียงของทั้งสองฝ่ายจึงมิอาจกีดกั้นผู้อื่นอยู่นอกตำหนักทุกคราไป ฝืนใจรับรอง ทั้งยังต้องพูดคำเดิมซ้ำๆ หากเฉินหรูอี้มิเอ่ยปากว่าทั้งสองนั้นกลับมาเป็นเช่นวันวานแล้วสนมจงก็จะมิเลิกรา เมื่อความสัมพันธ์ดำเนินไปถึงจุดที่ไม่อาจพูดให้กระจ่างได้ เฉินหรูอี้มิอยากล่วงเกินนางจนเกินไป จึงทำได้เพียงหลบเลี่ยงเท่านั้น
ปัญหาคือความสัมพันธ์กับคนในวังของสนมจ้าวนั้นไม่สู้ดีนัก แม้แต่คนที่ยินยอมมาแสดงละครแสร้งเป็นพี่น้องอันสนิทชิดเชื้อยังไม่มี เฉินหรูอี้มิรู้จะทำฉันท์ใดแล้วจึงทำได้เพียงไปเดินเล่นในอุทยานหลวงเท่านั้น ที่นั่นลมพัดเย็นน้ำสะอาดใสทัศนียภาพงดงาม งดงามเสียจนนางอยากยกตำหนักหมิงกวางย้ายไปตั้งไว้ที่นั่นแล้วปิดประตูไว้ไม่ออกไปไหน
ยามนี้คือกลางเดือนหก อากาศอบอ้าวเล็กน้อย หากสนมในวังไม่มีอันใดทำก็จะนัดหมายสนมที่สนิทสนมกันมาเป็นกลุ่มสามถึงห้าคนร่วมเดินเที่ยวชมอุทยานด้วยกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับเหล่าสนม เฉินหรูอี้จึงให้ขันทีน้อยจางเต๋อจัดการทำชิงช้าที่มีพนักพิงไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่บริเวณริมน้ำ
จางเต๋อมือไม้คล่องแคล่วจึงจัดเตรียมหาสิ่งที่เฉินหรูอี้ต้องการโดยนำเก้าอี้คนงามที่ไม่ใช้แล้วมาดึงตรงนั้นต่อตรงนี้จนเรียบร้อยแล้วนำมาผูกไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่สองต้น
ชิงช้าตัวนั้นใหญ่พอให้เฉินหรูอี้ยืดขาเอนตัวได้อย่างสบาย งดงามถูกใจนางยิ่งจึงตบรางวัลให้ไปถึงห้าตำลึงเงิน
วันนี้อากาศกลับร้อนอบอ้าวยิ่งกว่าเดิม สนมจงนำน้ำแกงลูกเหมยเปรี้ยวมาส่งให้ตำหนักหมิงกวาง เมื่อเฉินหรูอี้ได้ฟังเช่นนั้นจึงรีบชวนหยวนเป่าออกไปทางประตูหลังลดเลี้ยวไปยังอุทยานหลวง
แม้ต้นไม้ในอุทยานจะบดบังแสงสุรีย์เสียแทบมิดจึงไม่ร้อนสักเท่าใดแต่มิอาจสกัดกั้นฝูงยุงที่กรูเข้ามากัดนางได้
แม้ข้างนางกายจะมีหยวนสี่คอยโบกสะบัดพัดอันใหญ่ยักษ์อยู่ตลอดแต่กลับมิเป็นผล เฉินหรูอี้รู้สึกคล้ายถูกกัดเข้าที่แขนสองทีในใจรู้สึกเกิดเบื่อหน่ายรำคาญมากขึ้นทุกที
“พอแล้ว..” เฉินหรูอี้ลืมตาขึ้นนางยังมิทันกล่าวจบ ด้านหน้ากลับมีอันใดมิรู้ได้พาดผ่านไปอย่างรวดเร็วพลันรู้สึกเย็นๆ ที่ใบหน้า
ลางสังหรณ์ว่ามิใช่เรื่องดีประทุขึ้นในทันใด
“มันคือ...อะไร?” เฉินหรูอี้ยกนิ้วขึ้นชี้ใส่ตนเอง เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ
หยวนสี่ตกใจกลัวรีบร้อนเผยยิ้มในหน้า หยิบผ้าออกมาจากอกตนเช็ดเบาๆ บนใบหน้าเจ้านายตนเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “พระสนมอย่าได้กลัวไป แค่มูลนกเท่านั้นเอง”
“มูลนก!?”
เฉินหรูอี้ลอยวนอยู่ในนภากาศอย่างโดดเดี่ยวคล้ายถูกอัสนีฟาดเก้าพันเก้าร้อยแปดสิบเอ็ดครั้งก็มิปาน
นางตายมาแล้วถึงสามครา ครั้งแรกตายบนแท่นบรรทมอันยุ่งเหยิงขององค์จักรพรรดิ ครั้งที่สองเป็นขันทีน้อยแสนต้อยต่ำ ลำบากยากเข็ญ ครั้งที่สามคิดว่าถึงอย่างไรก็มีบารมีมากกว่าขันทีน้อย ผู้ใดเลยจะทราบได้....โชคร้ายกว่านี้ยังมีอีกหรือไม่?!
ถูกสนมที่คล้ายดั่งพวกรักร่วมเพศคอยตามไปทุกทิศ ถูกแมลงดูดเลือดนี้กัดเอา นี่ยังไม่แย่พออีกหรือไร นางเอนกายนอนใต้ร่มไม้ใหญ่ยังถูกมูลนกตกใส่...
มารดามันเถอะ อยากให้ตายกันไปข้างเลยหรืออย่างไร?
ครานี้สวรรค์คิดจะทรมานนางให้ตายใช่หรือไม่!?
“อ๊าย!” เฉินหรูอี้อดทนจนมิอาจกลั้นไว้ได้แล้ว นางกุมขมับกรีดร้องเสียงแหลมทำเอาหยวนเป่าตกใจถอยไปสามก้าว จางเต๋อหดคอหลบไปหลังต้นไม้
เสียงแหลมสูงนั้นดังก้องไปทั่ว เพียงได้ยินเสียง “พั่บพั่บ” ของนกบนต้นไม้ที่แตกตื่นบินหนีไป ทุกแห่งหนล้วนเกิดเสียงนกบินทะลุผ่านใบไม้ดัง “สวบ สวบ”
เฉินหรูอี้ยังมิทันได้เงียบเสียงตนลงกลับได้ยินเสียงฝีเท้าวุ่นวายอยู่ไม่ห่างจากที่นี่ ตามติดด้วยเสียงแหลมและดังไม่ต่างจากเสียงของเฉินหรูอี้เท่าใดนักกู่ตะโกนก้อง “ตรงนั้นคือผู้ใด? ทุกคน ถวายการอารักขา!”
เมื่อเสียงนั้นดังขึ้นเฉินหรูอี้ก็เห็นขันทียี่สิบกว่าคนโผล่พรวดมาจากทุกทิศทุกทางโอบล้อมนางไว้ตรงกลาง ผู้นำทัพคือเฉินฮวายที่บัดนี้ใบหน้าซีดขาวหมดแล้ว
พอพบว่าเป็นนางสีหน้าเฉินฮวายก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำประเดี๋ยวเป็นซีดขาว มองไปเห็นเก้าอี้คนงามที่ห้อยต่องแต่งอยู่ใต้ต้นไม้พลันบิดเบ้ปากแต่กลับพ่นลมหายใจโล่งอกออกมาอย่างอดไม่ได้
เฉินหรูอี้ตกตะลึงตาค้าง นางคิดมิถึงว่าเสียงกรีดร้องของนางเรียกเฉินฮวายให้มาที่นี่ได้อย่างไร ในขณะที่นางตะลึงลานอยู่นั้นก็เห็นเงาดำสายหนึ่งกระโดดวูบจากบนต้นไม้ลงมาหยัดยืนข้างกายนางอย่างแม่นยำ เป็นเซียวเหยี่ยนนั่นเอง
ในมือของเขากำนกไว้ตัวหนึ่ง ใบหน้ายิ้มระรื่น เขาสะบัดมือคราหนึ่งปล่อยนกน้อยบินไปแล้วเหลือบมองมูลนกบนมือตนครู่หนึ่ง ไม่สนใจผ้าเช็ดหน้าที่เฉินฮวายยื่นส่งให้ในคราแรกแต่กลับเอามือวางลงบนไหล่เฉินหรูอี้อย่างไม่ลังเลครั้นแล้วก็ออกแรงถูไปมา