Chapter0029

ตอนที่ 3 อดีตของท่านพ่อท่านแม่

ตงป๋อเสวี่ยอิง จงหลิงและถงซานล้วนยืนอยู่ที่ประตูปราการเมือง ส่งคนของหอภูผามังกรจนจากไปไกลลับตา

จากนั้นพวกเขาก็หันกาย เริ่มเดินตรงเข้าไปในปราการเมือง

“ท่านอาจง ท่านอาถง” กองหิมะใต้ฝ่าเท้าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงย่ำนั้นเกิดเสียงกรอบแกรบ เขาพูดเสียงเบาว่า “ข้าก็ได้รับคำสั่งเหล็กดำนี่มาแล้ว ก็ควรเล่าเรื่องราวของท่านพ่อและท่านแม่ในปีนั้นให้ข้าฟังได้แล้วกระมัง”

   จงหลิงและถงซานสบตากันแวบหนึ่ง

“ให้ท่านอาถงของเจ้าเล่าเถอะ เขาติดตามท่านแม่ของเจ้ามาตลอด รู้เรื่องละเอียดมากกว่า” จงหลิงพูด “ข้าก็แค่ได้ฟังท่านแม่ของเจ้าเล่ามาอีกทีก็เท่านั้น”

“เสวี่ยอิง” ถงซานมองหิมะโปรยปลิวเต็มฟ้า “เดิมทีข้าใช้ชีวิตอยู่ในชนเผ่ามนุษย์สิงห์เล็กๆ อันไกลโพ้น แต่อยู่มาวันหนึ่ง ชนเผ่าของเราก็ถูกหมายหัว กองวาณิชที่ยิ่งใหญ่กองหนึ่งอยากจะจับพวกเราไว้ทั้งหมด คนที่ต่อต้านเกือบถูกฆ่าตายแทบทั้งสิ้น หลังจากถูกจับ พวกเราก็ถูกยัดเยียดข้อหา “กบฏ” จนกลายเป็นทาสด้วยกันทั้งสิ้น

“กบฏหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง

ทาสในอาณาจักรมีน้อยมากแล้ว

มีเพียงทำความผิดมหันต์ เช่นสามัญชนฆ่าชนชั้นสูง หรือว่าจงใจก่อจลาจล ทรยศทั้งอาณาจักรเท่านั้น โดยสรุปคือต้องทำความผิดสูงเทียมฟ้าเท่านั้นจึงจะกลายเป็นทาสได้

“ไม่ต้องตกใจไป อาณาจักรก่อตั้งมาถึงวันนี้ก็เก้าพันกว่าปี โกงกินกันจนเกินจะทนมานานแล้ว อีกทั้งตระกูลของผู้แกร่งกล้าระดับยอดทั้งหลายมีอำนาจอยู่ในมือ เรื่องราวมัวหมองมีอยู่มากมาย ขอเพียงไม่โจ่งแจ้งเกินไปแล้ว ใครก็มิอาจถือสาอะไรได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชนเผ่ามนุษย์สิงห์ที่เล็กและอ่อนแออย่างพวกเรา ไม่มีหลักฐาน ใครจะกล้าออกหน้าให้เราเล่า” ถงซานยิ้มเย็น

“ข้ากลายเป็นทาส ถูกขายต่อไปยังตระกูลม่อหยาง”

   

“ตระกูลม่อหยางเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่มากตระกูลหนึ่งในแคว้นฝั่งตะวันออก ตำบลตั๋วอวี่ในพื้นที่แคว้นตะวันออกถูกตระกูลม่อหยางควบคุมโดยสมบูรณ์ อีกทั้งการควบคุมเช่นนี้ก็เกินพันปีแล้ว” มนุษย์สิงห์ถงซานพูด “พวกทาสอย่างเรานั้นถูกตั้งชื่ออย่างขอไปที ถงต้า ถงเอ้อร์ ถงซาน ถงซื่อ ถงอู่...ข้าก็คือถงซาน หนึ่งในนั้นนั่นเอง”

“บรรดาคุณชายใหญ่คุณหนูใหญ่ตระกูลม่อหยางมาทำการคัดเลือกทาส ข้าก็ได้พบท่านแม่เจ้า” ใบหน้าของมนุษย์สิงห์ถงซานเผยรอยยิ้มน้อยๆ “ตอนนั้นท่านแม่เจ้ายังเล็กนัก ประมาณสิบสามปีกระมัง เล็กกว่าเจ้าตอนนี้เสียอีก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอยู่ข้างๆ อย่างเงียบงัน

“เจ้านายไร้ซึ่งความกังวลใดๆ...”

“เล่นอย่างสบายใจทุกวัน ไม่คิดร้ายกับใครทั้งสิ้น กับทาสอย่างข้าก็ไม่ได้ดูถูกเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งข้าถูกลูกน้องของคุณชายคนอื่นของตระกูลม่อหยางทำร้ายบาดเจ็บ เจ้านายก็ถึงกับร้องไห้ด้วยความร้อนใจ ทั้งยังออกหน้าให้ข้าด้วยความโกรธแค้นอีกด้วย”

มนุษย์สิงห์ถงซานแหงนหน้ามองเกล็ดหิมะบนท้องฟ้า “เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องยิบย่อยเล็กๆ น้อยๆ เดิมข้าคิดว่าคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลม่อหยางตลอดชีวิต แต่ใครจะไปคิดเล่าว่า ในปีที่เจ้านายอายุได้ยี่สิบสี่นั้น ตระกูลม่อหยางได้บังคับจัดเตรียมเรื่องแต่งงานให้เจ้านาย อีกฝ่ายนั้นเป็นตาเฒ่าอายุถึงหนึ่งร้อยห้าสิบสองปีแล้ว”

“หนึ่งร้อยห้าสิบสองปีหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเบิกตาโพลง

ขณะนั้นท่านแม่อายุเพียงยี่สิบต้นๆ อีกฝ่ายอายุหนึ่งร้อยห้าสิบสองปีอย่างนั้นหรือ

ล้อเล่นอะไรกัน

“ว่ากันว่าตระกูลนั้นยิ่งใหญ่กว่าตระกูลม่อหยาง เป็นตระกูลใหญ่อันดับสามของแคว้นฝั่งตะวันออก ตระกูลม่อหยางหน้าหนาส่งทายาทสาวสายตรงไปเกี่ยวดองด้วย” มนุษย์สิงห์ถงซานพูด “ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้านายไม่เคยได้รับความอยุติธรรมมาก่อน จู่ๆ ก็มาประสบเรื่องพรรค์นี้ไหนเลยจะทนรับได้ นางอาศัยโอกาสที่ออกไปเที่ยวย่ำยอดหญ้าครั้งหนึ่งหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว”

  “หลบหนีออกไปจากตำบลตั๋วอวี่ กระทั่งหลบหนีไปจากแคว้นฝั่งตะวันออก ผ่านเส้นทางอันยาวไกล ในที่สุดก็มาถึงแคว้นอันหยางสิง”

“ข้าติดตามเจ้านาย ดังนั้นจึงเริ่มต้นผจญอันตรายมากมาย ไม่นานก็ได้รู้จักกับจงหลิง รู้จักกับตงป๋อเลี่ยท่านพ่อของเจ้า”

   “ฮ่าฮ่า…”

   

“ในช่วงแรกที่เริ่มผจญภัยนั้น ช่างยอดเยี่ยมมากเสียจริง ในช่วงเวลาออกท่องยุทธภพผจญความเป็นความตายนั้น พวกเราฝากฝังความเป็นความตายไว้กับเพื่อนในกลุ่ม มิตรภาพร่วมเป็นร่วมตายนี้ก็เริ่มก่อตัวขึ้นเช่นนี้เอง ท่านแม่เจ้าถึงกับกังวลว่าพวกท่านพ่อเจ้าจะพลอยติดร่างแหไปด้วย จึงเล่าความเป็นมาของตนเองออกไป” มนุษย์สิงห์ถงซานพูด

จงหลิงที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้า “พวกเราได้รู้เรื่องราวของตระกูลม่อหยางก็จากที่ท่านแม่เจ้าเล่าให้ฟังในตอนหลังนั่นเอง พวกเราล้วนไม่สนความเป็นความตาย มีหรือจะกลัวตระกูลม่อหยาง ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าก็ยังคงท่องยุทธภพไปด้วยกันดังเดิม”

“ภายหลังท่านพ่อและท่านแม่เจ้าก็ได้ลงเอยกัน” มนุษย์สิงห์ถงซานยิ้มพูด “กระทั่งตั้งครรภ์เจ้า จึงหยุดการผจญภัยลงเช่นนี้เอง แล้วก็ไปหาที่ลงหลักปักฐาน จนมาถึงตำบลชิงเหอ บ้านเกิดของท่านพ่อเจ้า”

“เรื่องราวต่อจากนั้นเจ้าก็รู้แล้ว พวกเราอยู่ในตำบลชิงเหอนี้อย่างเงียบๆ มาแปดปี ตระกูลม่อหยางนั่นก็ยังตามหาจนเจอแล้วนำท่านพ่อท่านแม่เจ้าไป”

   ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ

ที่แท้ทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้เอง...

ตระกูลใหญ่บีบบังคับจัดเตรียมงานแต่งงานก็แล้วไป แต่ถึงกับจัดเตรียมให้ตาเฒ่าอายุหนึ่งร้อยห้าสิบสองปีเช่นนั้นหรือ ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าชั้นสมญา สามารถอยู่ได้สองร้อยปีก็เก่งมากแล้ว โดยทั่วไปนั้นร้อยเจ็ดสิบร้อยแปดสิบปีก็ค่อยๆ ตายไปหมดแล้ว

“ตระกูลม่อหยางเป็นตระกูลเก่าแก่ถึงพันปี กฎตระกูลเข้มงวดยิ่ง” มนุษย์สิงห์ถงซานพูด “ท่านแม่เจ้ากล้าหนี ก็เท่ากับฝ่าฝืนกฎตระกูล ตระกูลม่อหยางย่อมลงโทษอย่างหนักเป็นธรรมดา”

“ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจ” จงหลิงยิ้มหยัน “ตระกูลใหญ่เหล่านี้ ต้องให้คนในตระกูลเสียสละเช่นนี้ ไม่รู้สึกอับอายขายหน้าบ้างหรือ แล้วพวกผู้อาวุโสผู้กุมอำนาจที่แท้จริงในตระกูลใหญ่ระดับนี้ จะไม่สนใจลูกหลานหนุ่มสาวสักนิดเลยหรือ”

“จงหลิงเอ๋ย ตระกูลม่อหยางสืบทอดกันมากว่าพันปี คนในตระกูลมีตั้งมากมายเท่าไหร่ นับเป็นพันเป็นหมื่นคน เสียสละลูกหลานรุ่นหลังสักคนสองคนจะนับเป็นอะไรได้เล่า” มนุษย์สิงห์ถงซานพูด

   “เฮอะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มเย็น “หากยิ่งใหญ่พอ ที่จริงแล้วคงไม่มีความจำเป็นให้หนุ่มสาวรุ่นหลังของตระกูลไปแต่งให้ตาเฒ่าอายุตั้งร้อยกว่าปีหรอก หากตระกูลจะล่มสลายจริงแล้ว เช่นนั้นก็ให้มันล่มสลายไปเถอะ ใช้วิธีแต่งงานอันน่าขยะแขยงไร้ยางอายเช่นนี้มาทำให้ฐานะของตระกูลมั่นคง น่าขยะแขยงนัก”

         ไม่ว่าจะยืนอยู่ข้างท่านแม่หรือไม่ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงมีความคิดเช่นนี้อยู่ดี

หากแข็งแกร่ง ก็จะมีแต่คนมาเยินยอ

   หากอ่อนแอแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยให้ล่มสลายไปเองเถอะ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีตระกูลที่รุ่งเรืองไม่ล่มจมไปตลอดกาลหรอก

   

“ตระกูลม่อหยางถึงกับออกโองการมาจับตัวท่านพ่อท่านแม่เจ้า ตอนนี้จะช่วยได้อย่างไรเล่า” ถงซานส่ายหน้า

   “เจ้าเคยติดต่อกับหอภูผามังกร มีวิธีอะไรหรือไม่” จงหลิงถาม ส่วนถงซานก็มองไปยังตงป๋อเสวี่ยอิง

“ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวที่แน่นอน รออีกสักเดือนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบ

เมื่อพิเคราะห์ตามพลังของตระกูล

ทั้งอาณาจักร รวมทั้งสิ้นสิบเก้าแว่นแคว้น ทั้งแว่นแคว้นบนบกและในทะเล

เช่นตระกูลของ “อัศวินลมหวนฉือชิวไป๋” ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งในแคว้นอันหยางสิง คือตระกูลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นอันหยางสิง อำนาจนั้นแทบจะสามารถส่งผลต่อทั้งแคว้นได้ เช่นนี้จึงจะนับได้ว่าเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของทั้งอาณาจักร

เช่นตระกูลซือแห่งตำบลชิงเหอ!เช่นตระกูลม่อหยางแห่งตำบลตั๋วอวี่ล้วนเป็นตระกูลที่กุมอำนาจทั้งตำบล ‘ซือเหลียงหง’ ผู้แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลซือเป็นปรมาจารย์เวทย์ชั้นสมญาท่านหนึ่งที่แปรเป็นมารเลือด ผู้แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลม่อหยางเป็นเสมือนเหนือธรรมดาท่านหนึ่ง!พวกที่กุมอำนาจทั้งตำบลเช่นนี้ นับได้เพียงว่า เป็นตระกูลชั้นสองของอาณาจักรเท่านั้น

“พลังการต่อสู้ของข้าในตอนนี้ เป็นเพียงระดับอัศวินชั้นดินเท่านั้น แต่อาศัยพลังสายเลือดโบราณกาลและทักษะหอกของข้า ก็สามารถเทียบได้กับพลังของอัศวินจันทร์เงิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเบาๆ “ในภายหน้าข้าต้องเหนือกว่าซือเหลียงหง เหนือกว่าเหนือธรรมดาผู้นั้นแน่นอน”

เช่นอัศวินตัดฟืนที่สายเลือดโบราณกาลตื่นรู้ เพียงขวานเดียวก็สามารถฟันชีวิตเหนือธรรมดาตายได้

นี่สิถึงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องทำให้ได้

หากตนมีพลังระดับนี้หรือ เกรงว่าไม่จำเป็นต้องรอตนเปิดปาก ตระกูลม่อหยางก็คงก้มหัวน้อมส่งท่านพ่อท่านแม่กลับมาแต่โดยดี

“ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กังวล เขาเป็นห่วงความเป็นไปของท่านพ่อท่านแม่ในตอนนี้อย่างยิ่ง เป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้นกับพวกเขา หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริง แต่คิดตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังไม่กล้าคิดมาก รู้เพียงว่า  ...เขาต้องทำให้ตระกูลม่อหยางสำนึกเสียใจได้แน่

“รออีกเดือนหนึ่งเถอะ ทางหอภูผามังกรก็จะมีข่าวคราวมาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้แต่ข่มกลั้นความกังวลของตนเอาไว้

  ……

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า

ครึ่งเดือนให้หลัง ปรมาจารย์เวทย์ไป๋หยวนจืออาจารย์ของน้องชายก็มาถึงปราการเมืองศิลาหิมะอย่างไม่คาดคิด

“ท่านปรมาจารย์เวทย์ ท่านมาได้อย่างไร มีเรื่องอันใดแค่ส่งคนมาส่งข่าวก็พอแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมาต้อนรับที่ปราการเมืองด้วยตนเอง

“ฮ่าฮ่า ที่แท้แล้วราชันย์หมาป่าจันทร์เงินนั้นเป็นท่านเจ้าแดนสังหารจริงด้วย ก่อนหน้านี้ข้าก็สงสัยอยู่แล้ว มาตอนนี้แทบทั้งเมืองอี๋สุ่ยลือกันให้ทั่วว่า เพราะกองมีดโค้งละโมบอยากได้ขนราชันย์หมาป่าจันทร์เงินของท่าน สุดท้ายจึงถูกหอกยาวเพียงเล่มเดียวของท่านทำลาย ตอนนี้ล้วนว่ากันว่า ท่านคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองอี๋สุ่ยของเรา” ไป๋หยวนจือชายชราชุดขาวพูดยิ้มๆ เหล่าศิษย์ด้านหลังเขาต่างมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างอยากรู้อยากเห็นระคนตื่นเต้น

....................................................................................................................................................................................