Chapter0004

ตอนที่ 4 พี่น้อง

เช้าวันรุ่งขึ้น

เมืองอี๋สุ่ย หอหลงซาน

บ่อน้ำประจำเมืองทุกแห่งบนโลกนี้ล้วนมีหอหลงซานอยู่แห่งหนึ่ง หอหลงซานในเมืองอี๋สุ่ยแห่งนี้เป็นหอศิลาห้าชั้นอันเก่าแก่

ประตูหอหลงซานมีอัศวินผู้แกร่งกล้าคอยรักษาการณ์อยู่ ห่างจากประตูในรัศมีสิบเมตร ไม่ว่าจะเป็นประชาชนธรรมดาหรือชนชั้นสูงก็ล้วนไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะหากเข้าใกล้ แม้แต่ชนชั้นสูงก็อาจถูกโจมตีอย่างรุนแรงได้ง่าย ๆ

ชายชราชุดขาวผมขาวคนหนึ่งเหาะเหินเข้าไปในหอหลงซาน

“ใต้เท้าโหยวถู” อัศวินเกราะเขียวสองนายตรงประตูเรียกด้วยความเคารพ

“ท่านเจ้าหออยู่หรือไม่” ชายชราผมขาวถาม

“อยู่ขอรับ ตั้งแต่เช้าสีหน้าของท่านเจ้าหอก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก” อัศวินเกราะเขียวร่างสูงนายหนึ่งกล่าว

ชายชราผมขาวก้าวเข้าไปในหอ เดินมาถึงชั้นสาม

“ก๊อก ๆ” เขาเคาะประตู

“เข้ามา” เสียงด้านในลอยออกมา

ชายชราผมขาวผลักประตูเข้าไปแล้วปิดประตู ด้านในมีโต๊ะยาวสีเหลืองเข้มเงาวับ ด้านบนวางตำรากระดาษกองซ้อนกัน หลังโต๊ะยาวมีบุรุษผิวดำวัยกลางคนนั่งอยู่ เขากำลังพลิกดูม้วนตำรา

คนผู้นี้ก็คือท่านเจ้าหอหลงซานแห่งเมืองอี๋สุ่ย ใต้เท้าซืออาน”

“โหยวถู เป็นอย่างไรบ้าง” ใต้เท้าซืออานเงยหน้าขึ้นมา

“ยืนยันข่าวขอรับ เมื่อคืนท่านชายตงป๋อแห่งดินแดนอินทรีหิมะและภรรยาถูกจับตัวไปแล้ว” ชายชราผมขาวพูด “กองทัพรักษาการณ์แห่งปราการศิลาหิมะได้ต้านทานเอาไว้ แต่ช่วงเวลาเพียงลมหายใจเดียวก็สูญเสียกำลังต้านทานภายใต้สายฟ้า”

“ฮึ ตระกูลม่อหยางช่างบังอาจเสียจริง” ใต้เท้าซืออานขมวดคิ้ว “เมื่อวานข้าเพิ่งจะได้รับข่าวจากทางตำบล ตอนค่ำพวกเขาก็จับคนไปแล้ว”

ด้านในหอหลงซานก็เข้มงวดมากเช่นกัน

แว่นแคว้นทั้งสิบเก้าของอาณาจักร

เมืองระดับแคว้นของทุกแว่นแคว้น ล้วนมีหอหลักหลงซานอยู่ กุมพลังอันยิ่งใหญ่เร้นลับเอาไว้

บ่อน้ำของเมืองระดับแคว้น เมืองระดับเขต เมืองระดับตำบล

สามระดับชั้น จัดการกันเป็นชั้น ๆ โดยรวมแล้วใต้หล้าล้วนอยู่ภายใต้การสอดส่องดูแล

“ใครใช้ให้ผู้อื่นเป็นคนตระกูลม่อหยางกันเล่า ตระกูลม่อหยางถือว่าเป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่แห่งแว่นแคว้นตะวันออกกระมัง” ชายชราผมขาวเอ่ย

“เฮอะ!” ใต้เท้าซืออานแค่นหัวเราะ “หนึ่งในสิบตระกูลใหญ่แห่งแว่นแคว้นตะวันออกรึ ตระกูลม่อหยางนั้นจัดเป็นอันดับสุดท้าย อีกทั้งยังอาศัยใบบุญที่เหลืออยู่ของบรรพบุรุษของพวกเขาด้วย มิเช่นนั้นคงไม่ได้เข้าอยู่ในสิบตระกูลหรอก”

“นั่นก็แค่แสดงพลังออกมานิดหน่อยก็สามารถทำลายยักษ์ใหญ่ของเราได้แล้ว” ชายชราผมขาวส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจพูดว่า “น่าสงสาร ดินแดนอินทรีหิมะนั่นเหลือเพียงบุตรชายสองคนเท่านั้น ข้าสืบได้ข่าวมาว่า ลูกชายคนเล็กวัยสองขวบคนนั้นของพวกเขาสามีภรรยาร้องกวนไม่หยุด ทหารและคนรับใช้มากมายในปราการศิลาหิมะล้วนเสียใจไปกับเขาด้วย”

“ตงป๋อและภรรยาดีต่อไพร่ฟ้าในแดนใต้อาณัติอย่างแท้จริง ได้รับความเคารพรักอย่างยิ่ง” ใต้เท้าซืออานพูดพลางพยักหน้า

******

ณ ดินแดนอินทรีหิมะ บนยอด “ภูเขาศิลาหิมะ” ภูเขาที่สูงที่สุด ภายในปราการศิลาหิมะอันยิ่งใหญ่

คนรับใช้บางคนภายในปราการเมืองแอบวิพากษ์วิจารณ์กันเงียบๆในที่ลับตา แต่เพราะยังมีมนุษย์สิงห์ “ถงซาน” อีกทั้งพญางูหกกร “จงหลิง” ข่มขวัญอยู่ ทั้งปราการเมืองจึงยังคงดำเนินต่อไปเหมือนเก่า

แม้ว่าจะเป็นยามฟ้ากระจ่างแล้วก็ตาม

ชิงสือผู้น้องกลับเพิ่งจะสงบสติอารมณ์ลงได้ หลังบิดามารดาถูกบังคับจับตัวไปแล้ว น้องชายคนนี้ก้ได้แต่ร้องไห้อยู่ตลอด ใครปลอบก็ไร้ผล ที่แล้วมานั้นล้วนเป็นท่านแม่ที่เลี้ยงลูกเองกับมือ ท่านแม่เป็นปรมาจารย์เวทย์ น้ำเสียงจึงมีผลทำให้เคลิ้มหลับได้สบายๆ...กล่อมลูกนอนนั้นง่ายดายยิ่งนัก แต่ตอนนี้ชิงสือได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ทำเอาคนรอบกายปวดหัวไปตาม ๆ กัน

มนุษย์สิงห์ถงซาน และพญางูจงหลิงนั้น แต่ก่อนชิงสือก็กลัวพวกเขาทั้งสองมากอยู่แล้ว ส่วนเหล่าสาวใช้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพาชิงสือเข้านอน ดังนั้นจึงต้องเป็นเสวี่ยอิงลงมือเอง

แม้ในใจจะปวดร้าว แต่ก็ต้องอดทนกล่อมน้องชาย ในที่สุดก็ฟ้ากระจ่างแล้ว น้องชายก็คงเหนื่อยล้ากายใจ ดูเหมือนจะลืมเรื่องราวของท่านพ่อท่านแม่ไปแล้ว อย่างไรเสียก็เป็นเด็กวัยสองปี...คาดว่าพอโตแล้วคงจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้

“โอ๋ ๆ เจ้าก้อนหินเด็กดี นอนเสียนะ”

“ข้าจะนอนกับท่านพี่”

“ได้สิ ข้าไม่ได้นอนเป็นเพื่อนเจ้าอยู่หรือไร”

“ท่านพี่ ข้าจะฟังท่านร้องเพลง”

“……”

น้องชายที่เหนื่อยล้านั้น ในที่สุดก็ค่อยๆ แอบอิงอ้อมอกของตงป๋อเสวี่ยอิงหลับไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่กล้าขยับ ด้วยกลัวว่าน้องชายจะตกใจตื่น

ยามสนธยามาถึง

จงหลิงและถงซานมาถึงนอกห้อง

“ข้าขอดูหน่อยสิ” จงหลิงผลักประตูเบา ๆ ข้ามธรณีประตูตรงเข้าไปดูด้านใน เห็นเพียงชิงสือน้อยตัวจ้ำม่ำกางแขนขาอิงแอบอยู่ในอ้อมอกพี่ชายตัวเอง น้ำลายไหลย้อยลงบนอกพี่ชาย ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงในยามนี้ก็หลับสนิทแล้วเช่นกัน เสื้อผ้าดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย ผ้าห่มก็คลุมแค่เพียงครึ่งตัว

ถงซานก็ข้ามธรณีประตูเข้ามาดูบ้าง เห็นพี่น้องสองคนอิงแอบแนบกัน ก็รู้สึกเวทนานัก

“ที่แล้วมาเจ้าก้อนหินมีอาอวี๋พาเข้านอนมาตลอด แต่ไหนแต่ไรไม่เคยให้สาวใช้พวกนั้นเลี้ยงมาก่อน เขาเห็นเราสองคนก็กลัว...เช่นนี้แล้วต่อไปจะทำอย่างไรดีเล่า หรือว่าก่อนนอนทุกวันต้องให้เสวี่ยอิงกล่อมจริงๆน่ะรึ” จงหลิงหนักใจอยู่บ้าง

“ท่านอาจง ท่านอาถง” เสวี่ยอิงยกน้องชายออกอย่างเบามือ ตื่นขึ้นมาแล้ว

“เจ้านอนเยอะๆหน่อย” จงหลิงบอก เขารู้ดีว่าเสวี่ยอิงน่าจะนอนไปได้ไม่นานเท่าไหร่

ความจริงแล้วเสวี่ยอิงก็ไม่ได้นอนสักเท่าไหร่ จิตใจของเขาหวั่นไหว ทั้งยังกล่อมน้องชายอยู่ตลอด เมื่อง่วงมากจริง ๆจึงเริ่มเคลิ้มหลับ หลับไปไม่ลึก เมื่อพวกจงหลิงเข้ามาก็ทำให้เขาตื่นแล้ว โชคดีที่ร่างกายเขาไม่เหมือนคนธรรมดา สามารถแบกรับไหว

“ไม่เป็นไรหรอกท่านอาจง ท่านอาถง เจ้าก้อนหินน่ะ ที่ผ่านมาได้ท่านแม่กล่อมตลอด แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีผู้อื่นกล่อมเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่ข้าถูกบังคับจับตัวไปแล้ว ข่าวเรื่องนี้ปิดไว้ไม่อยู่หรอก ตอนนี้ข้ายิ่งยอมให้คนรับใช้พวกนั้นมาพาน้องเข้านอนไม่ได้ อีกทั้งน้องก็กลัวพวกท่านทั้งสอง ดังนั้นจึงมีเพียงข้า อย่างไรเสียก็เพียงแต่พาเขาเข้านอนเท่านั้น ยามกลางวันเพียงแค่จัดคนมาดูเขาหน่อยก็พอแล้ว”

“ยามกลางวันก็อยู่ในปราการเมือง คนมากมายคอยดูเขาได้ ไม่เป็นไรหรอก” ถงซานเอ่ย

“เช่นนั้นคงต้องอาศัยเจ้าแล้ว รอน้องชายเจ้าโตอีกหน่อย ก็คงดีแล้วล่ะ” จงหลิงพูด

อื้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้พูดอะไรมากนัก ถึงอย่างไรนี่ก็คือน้องชายของตน ท่านพ่อท่านแม่ถูกจับไป ตนก็มีเพียงน้องชายเท่านั้น แน่นอนว่าต้องดูแลให้ดีอยู่แล้ว

“อ้อ ท่านอาจง ท่านอาถง ที่ก่อนหน้านี้บอกว่าหากข้าได้รับคำสั่งเหล็กดำจากหอภูผามังกรแล้วก็จะได้รู้เรื่องทั้งหมด คำสั่งเหล็กดำจากหอภูผามังกรนี่ แท้จริงแล้วจะได้มาได้อย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงเค้นถาม

จงหลิงและถงซานแอบรู้สึกจนใจ

เจ้าเด็กคนนี้ ดูท่าจะจดจำไว้เสมอว่าต้องช่วยบิดามารดา

“ขอเพียงเจ้ามีกำลังแข็งแกร่งพอ หอภูผามังกรย่อมส่งคำสั่งเหล็กดำมาให้เอง” จงหลิงเอ่ย

“มีกำลังแข็งแกร่งพอหรือ แข็งแกร่งเพียงไหนกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

“ข้าและท่านพ่อเจ้า ยังมีท่านอาถง ล้วนไม่มีคำสั่งเหล็กดำ” จงหลิงพูด “รอวันที่เจ้าแข็งแกร่งมากเพียงพอ หอภูผามังกรยอมรับแล้ว ย่อมส่งคำสั่งเหล็กดำมาแน่นอน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจขึ้นมาในทันใด

หากอยากได้สิ่งที่เรียกว่า ‘คำสั่งเหล็กดำ’ แล้วล่ะก็ อย่างแรกคือต้องแข็งแกร่งกว่าพวกท่านอาจงเสียก่อน

“ข้าทราบแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้ถามให้มากความ

“เจ้าก้อนหินหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว” จงหลิงถาม

“เกือบสามชั่วยามแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงบอก

“เช่นนั้นก็ตื่นเถอะ ตอนนี้พลบค่ำแล้ว เจ้าก้อนหินนอนพลิกไปพลิกมานานขนาดนั้นไม่ได้กินอะไรเลย ให้เขาลุกขึ้นมากินข้าวเย็นเสีย แล้วค่อยให้สาวใช้พวกนั้นมาเล่นเป็นเพื่อนเขาหน่อย...เช่นนี้ตอนกลางคืนเขาถึงจะนอนหลับได้ มิเช่นนั้นถ้าให้นอนตอนนี้ ดึกดื่นเที่ยงคืนเขาก็คงร้องกวนแล้ว” จงหลิงพูด

……

ฟ้ามืดแล้ว

ในห้องอาหาร ที่โต๊ะอาหารสี่เหลี่ยม ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งในตำแหน่งประธาน ส่วนชิงสือผู้น้องนั่งอยู่ด้านข้าง ข้างๆมีคนรับใช้คอยป้อนอาหารอยู่

อาหารของตงป๋อเสวี่ยอิงคือพวกน้ำผลไม้และเนื้อสัตว์มารปรุงรสเลิศ ส่วนของน้องชายนั้นคือพวกนมสัตว์และธัญพืช

น้องชายกินอย่างเบิกบานใจยิ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มมองน้องชาย แต่ในใจกลับเจ็บปวดนัก ที่ผ่านมานั้น ด้านข้างที่โต๊ะอาหารนี้ยังมีท่านพ่อและท่านแม่ แต่มาตอนนี้เหลือเพียงตนและน้องชายเท่านั้น

“กินอิ่มหรือยัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

“อื้อ กินอิ่มแล้ว อิ๊มอิ่ม” ชิงสือลูบท้องตนเอง ถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “ท่านแม่ล่ะ ท่านพ่อล่ะ ทำไมไม่อยู่กันหมดเลย พวกเขายังนอนอยู่อีกหรือ”

“พวกเขาออกไปแล้ว เจ้าก้อนหิน ไปเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลังดีไหม” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“สวนดอกไม้ด้านหลัง ไปสวนดอกไม้ด้านหลัง” ชิงสือถูกหันเหความสนใจไปในทันที ในสวนดอกไม้ด้านหลังมีพื้นที่ให้เล่นสนุกมากมาย เป็นสิ่งที่ท่านแม่สร้างเพื่อพี่น้องสองคนนี้โดยเฉพาะ เมื่อตอนตนยังเด็กก็ชอบไปเล่นที่นั่นมากเช่นกัน ทั้งยังมีวัตถุเวทมนตร์จำนวนหนึ่งอยู่ด้วย

“พานายน้อยชิงสือไปสวนดอกไม้ด้านหลังที คอยดูให้ดีด้วยล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังสาวใช้สามคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“เจ้าค่ะ”

สาวใช้สามคนคำนับรับคำสั่ง พวกนางต่างรู้ว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป หนุ่มน้อยเยาว์วัยผู้นี้ก็คือเจ้านายของทั้งดินแดนอินทรีหิมะแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองส่งสาวใช้พาน้องชายเดินลงไป เขาเกาะราวมองสวนดอกไม้ด้านหลัง ตะเกียงผลึกกว่ายี่สิบดวงส่องสว่างไปทั่วทุกที่ในสวน ในสวนดอกไม้ด้านหลังแห่งนี้มีคนรับใช้กว่าสิบคนเล่นเป็นเพื่อนน้องชาย จัดคนมามากมายถึงเพียงนี้ ล้วนแต่เลือกคนที่จงรักภักดีเพียงพอทั้งนั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น ไปที่ห้องหนังสือของตนในทันที

ห้องหนังสือนั้นใหญ่มาก สูงหกเมตร ยาวสิบห้าเมตร กว้างสิบเมตร หากพูดถึงปราการศิลาหิมะที่กินพื้นที่กว่าสองลี้แล้ว ห้องหนังสือเช่นนี้ก็นับว่าธรรมดานัก

ในห้องหนังสือมีโต๊ะตัวหนึ่ง บนชั้นหนังสือมีตำราเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก ล้วนแต่เป็นนิยายเรื่องเล่า พวกตำนานมากมาย ที่ผ่านมาตงป๋อเสวี่ยอิงชอบอ่านนิทาน ท่านแม่ก็ได้ตำรามามากมาย

เมื่อนั่งที่โต๊ะหนังสือ พอพลิกมือ ในมือก็ปรากฏคัมภีร์ทองคำขึ้นมา

“คัมภีร์ลับวิถีหอกยาวของอัศวินเหนือธรรมดางั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกคัมภีร์อ่านในทันที

.............................................................................................................................................