บทที่ 16 คำสาปหรือว่าบังเอิญ
คำสาป?
คุณหนูจวินมองหลิ่วเอ๋อร์
“ตอนนั้นคุณหนูกับคุณหนูหลินเพิ่งรู้จักกัน สาวใช้ของนางบอกกับข้า” หลิ่วเอ๋อร์กล่าวขึ้น แล้วมองบรรดาสาวใช้ของตระกูลฟางด้วยแววตาเหยียดหยามอยู่หลายส่วน “คนตระกูลฟางยังมีหน้ามาปิดบัง ทั้งอำเภอหยางเฉิงมีใครไม่รู้กัน”
บรรดาสาวใช้ของตระกูลฟางก้มหน้าต่ำจนไม่รู้จะต่ำอย่างไรแล้ว
“ตอนนั้นมีคุณหนูอยู่ด้วยกันหลายคนมาก สาวใช้อย่างพวกเราก็คอยรับใช้อยู่ด้านนอก พอได้ยินว่าข้าอาศัยอยู่ที่ตระกูลฟาง สาวใช้คนนั้นก็ลากข้าไปแอบบอกลับๆ นางว่าพวกเจ้าอยู่ให้ห่างตระกูลฟางหน่อย ตระกูลฟางโดนคำสาปอยู่ ตระกูลของพวกเขาต้องไร้ทายาทสิ้นตระกูล” หลิ่วเอ๋อร์เลียนแบบน้ำเสียงของสาวใช้คนนั้นพูดขึ้น
คำสาปไร้ทายาทสิ้นตระกูล?
คุณหนูจวินขมวดคิ้ว
“เป็นใครสาปกันล่ะ?” นางถามขึ้น
“รายละเอียดข้าไม่ได้ถาม ข้าบอกสาวใช้คนนั้นว่าพวกเราไม่อยู่ที่ตระกูลฟางนาน นางก็ไม่พูดอะไรอีก ข้าก็ลืมบอกกับคุณหนู” หลิ่วเอ๋อร์พูดขึ้น เบะปาก “ยังไงไม่บอกท่านก็ดีกว่า แต่เดิมตระกูลฟางนี่ก็ทำพวกเราอึดอัดใจจะแย่แล้ว”
คุณหนูจวินมองไปทางบรรดาสาวใช้
“เป็นศัตรูทางการค้าของของตระกูลฟางหรือ?”นางถามขึ้น
บรรดาสาวใช้ก้มหน้าไม่มีใครพูดจา
“ถามพวกเจ้าอยู่นะ!” หลิ่วเอ๋อร์เลิกคิ้วตวาดขึ้นมา “รีบเอาเรื่องทำร้ายคนที่ตระกูลฟางของพวกเจ้าเคยทำ บอกคุณหนูของข้า อย่ามาลากคุณหนูให้โชคร้ายไปกับพวกเจ้าด้วย”
สาวใช้คนหนึ่งเงยหน้าซีดขาวขึ้นมา
“ไม่ใช่เรื่องทำร้ายคน” นางอดไม่ได้แย้งขึ้น “เป็น เป็นตอนที่แบ่งตระกูล บรรดาพี่น้องไม่ยอม พูดออกมาตอนโมโห ถือเป็นจริงเป็นจังไม่ได้”
คุณหนูจวินส่งเสียงเข้าใจขึ้นมา
“เป็นพี่น้องที่กลับซานตงไปตอนแบ่งสมบัติครั้งท่านตาทวดเสีย” นางกล่าวขึ้น
ไม่ใช่คำถาม เป็นคำพูดยืนยัน
อีกทั้งน้ำเสียงก็ไม่ได้เสียดสีหรือเยาะหยัน สาวใช้ทำใจกล้ามองคุณหนูจวินครั้งหนึ่ง สีหน้าของนางยังคงอ่อนโยนเหมือนเก่า ไม่เหมือนสาวใช้หลิ่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง มุมปากเบะจนแทบจะถึงหลังหูแล้ว
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ก้มหน้าพูด “ตอนนั้นนายท่านหลายคนพูดคำพูดไม่น่าฟังหลายคำขึ้นมาเพราะว่าไม่ได้ดั่งใจ”
คิดไปแล้วก็คงใช่ กิจการใหญ่ขนาดนี้ พูดตามหลักแล้วควรจะให้บุตรชายคนโตของภรรยาหลวงเป็นหัวเรือใหญ่ ให้พี่น้องคนอื่นแบ่งกันดูแล ท่านตาทวดกลับยกร้านแลกเงินให้กับท่านตา ส่วนพี่น้องคนอื่นไล่กลับไปบ้านเก่าที่ซานตง
รากฐานของตระกูลสายนี้ของพวกเขาอยู่ที่อำเภอหยางเฉิง ที่บ้านเก่าซานตงมีอะไร กลับไปก็ไม่มีฐานะ พี่น้องเหล่านี้ไม่บ่นถึงจะแปลก
ดังนั้นเมื่อครู่ตอนที่ได้ยินสาวใช้เล่าว่าหลังท่านตาทวดตายท่านตาสืบทอดกิจการ ถึงคิดไปว่าตระกูลฟางแห่งนี้มีเพียงครอบครัวเดียวอาศัยอยู่ มันแปลกที่ไม่เห็นญาติคนอื่นไปมาหาสู่ รู้สึกแปลกใจเลยถามขึ้น
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” นางเอ่ยขึ้น
“เจ้าค่ะ เป็นแค่คำพูดไม่พอใจตอนแบ่งตระกูล ไม่ใช่คำสาปอะไร” สาวใช้คนนั้นยิ่งกล้ามากขึ้น พูดต่อ “ทุกคนต่างก็จำไม่ได้แล้ว ต่อมาบรรดาพี่น้องก็พูดกันเข้าใจแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่า...”
ไม่คิดว่านายท่านผู้เฒ่าจะเกิดเรื่อง นายท่านผู้เฒ่าเกิดเรื่องก็แล้วไป ต่อมานายท่านก็เกิดเรื่องอีก คำพูดพลั้งปากด่าทอตอนทะเลาะกันหลายสิบปีก่อนไม่รู้ทำไมมีคนพูดขึ้นมาอีก เล่ากันไปเล่ากันมากลายเป็นว่าตระกูลฟางถูกคำสาปให้ไร้ทายาทสิ้นตระกูล จนถึงตอนนี้ทายาทเพียงคนเดียวก็กลายเป็นคนง่อยทั้งถูกวินิจฉัยว่าอายุจะไม่ยืน คำพูดนี้ก็ยิ่งกลายเป็นมีหลักฐานยืนยันแน่นอน
การตายของมารดาของคุณหนูจวิน รวมถึงความตายของบิดาของคุณหนูจวินก็กลายเป็นหลักฐานพิสูจน์คำสาปนี้ด้วยเช่นกัน ทำให้คนทั้งหลายรู้สึกว่าตระกูลฟางนี้ไม่ได้ถูกสาปเฉพาะแค่ผู้ชาย ผู้หญิงก็เช่นกัน จะลามไปถึงลูกเขย ดังนั้นแต่เดิมมีบุตรสาวสามคน ใช้วิธีรับลูกเขยเข้ามาสืบทอดทายาทได้ก็กลายเป็นปิดตาย บุตรชายบุตรสาวตระกูลฟางรุ่นนี้ไม่มีใครมาถามเรื่องหมั้นโดยสิ้นเขิง
น่าสลดเหลือเกิน ไม่แปลกที่นายหญิงผู้เฒ่าจะสงสัยว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม
คุณหนูจวินลูบโต๊ะเงียบงัน
“คำพูดพลั้งปากอะไรเล่า นี่ไม่ใช่คำสาปเกิดผลจะเป็นอะไร” หลิ่วเอ๋อร์เบะปากพูดขึ้น “คำพูดพลั้งปากด่าคนมีมากมาย ทำไมมีแต่ตระกูลเจ้าผู้ชายตายคนแล้วคนเล่าล่ะ”
บรรดาสาวใช้สีหน้าเดี๋ยวขาวเดี๋ยวแดงไม่กล้าและไม่รู้ว่าจะเถียงอย่างไร
คำเล่าลือข้างนอกเหล่านี้ คนตระกูลฟางย่อมไม่อนุญาตให้พูด พยายามสุดกำลังปิดไว้ ยิ่งเกี่ยวข้องกับตัวเอง ตระกูลฟางล้มทุกคนล้วนไม่มีใครได้ดี ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่พูด
แต่กับคู่นายบ่าวที่ใจจืดใจดำไม่มองว่าตัวเองเป็นคนของตระกูลฟางนี้ย่อมทำอะไรไม่ได้
“นี่เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น” คุณหนูจวินกล่าวขึ้น “เจ้าก็พูดเองว่าคำพูดพลั้งปากด่าคนมีมากมาย ถ้าหากเป็นคำสาปเสียหมด เช่นนั้นไม่มีคนตายมากมายแล้วหรือ”
หลิ่วเอ๋อร์ส่งเสียงเห็นด้วยขึ้นมา รู้สึกว่าคุณหนูพูดถูก บรรดาสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับมีสีหน้าตกตะลึง หลับฝันยังคิดไม่ถึงว่าคนที่โต้แย้งขึ้นมากลับเป็นคุณหนูจวิน
“เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้แล้ว” คุณหนูจวินพูดขึ้นน้ำเสียงอ่อนโยน
บรรดาสาวใช้รีบรับคำ รีบร้อนถอยออกไป
คุณหนูจวินกวาดตามองภายในห้อง มองสิ่งที่ผ่านเข้ามาในสายตาแม้กระทั้งตะขอแขวนม่านชิ้นเล็กๆ ยังทำประดับหยกทองคำหรูหรา
“เดิมทีนึกว่าเป็นขุมเงินขุมทอง ที่แท้กลับเป็นเรือผุง่อนแง่น” นางพูดขึ้นช้าๆ
...................................................................................
ถึงแม้คุณหนูจวินจะทำการใดที่ตระกูลฟางได้ไม่มีใครขวาง แต่ว่าเรื่องที่นางถามสาวใช้ไม่กี่คนเหล่านั้นก่อนหน้า หนึ่งก้านธูปต่อมาก็ถูกรายงานไปถึงหูนายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่พาคนมาพบนายหญิงผู้เฒ่า
“เวลาอื่นก็ช่างมันเถิด แต่ตอนนี้เพิ่งถอนหมั้นกับตระกูลหนิงมา ในใจเจินเจินคิดอะไรอยู่ ข้าก็เดาไม่ถูก ดังนั้นตั้งใจมาบอกกับท่านแม่ไว้สักคำ” นางกล่าวขึ้น
นางหญิงผู้เฒ่าฟางยังไม่ได้พูด ด้านในก็มีเสียงปึงปังดังขึ้นมา
นายหญิงใหญ่ฟางมองไปผ่านม่านไข่มุก ที่ห้องเล็กสว่างมีเด็กสาวสามคนนั่งอยู่บนเตียงเตาถ่าน ล้อมรอบโต๊ะตัวหนึ่ง บนนั้นวางสมุดบัญชีพู่กันหมึกอยู่ ตอนนี้กำลังมีเด็กสาวคนหนึ่งทิ้งลูกคิดลงกับโต๊ะ เสียงปึงปังเมื่อครู่ก็เป็นนางทำดังขึ้น
ใบหน้าที่คล้ายกันกับนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่อยู่ด้านนอก ก็คือฟางจิ่นซิ่วคุณหนูสามที่รอรับศพคุณหนูจวินที่ตรงประตูวันนั้นด้วยความยินดีปรีดา
“จิ่นซิ่ว”
ทว่าก่อนที่ฟางจิ่นซิ่วจะได้เปิดปาก เด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางก็เปิดปากขึ้นก่อน นี่คือคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฟาง ฟางอวิ๋นซิ่ว
“ก่อนสิ้นปีบัญชีพวกนี้ต้องตรวจให้เสร็จ อย่าชักช้าสิ” นางพูดขึ้นเสียงเบา “ท่านยายอายุมากแล้ว พวกเราต้องแบ่งเบาภาระแทนนาง อย่าเพิ่มเรื่องปวดหัวให้ท่านยายกับท่านแม่”
ประโยคสุดท้ายแฝงแววเตือนอยู่หลายส่วน
ฟางจิ่วซิ่วกัดปาก ก้มหน้าหยิบลูกคิดขึ้นมา
“เจ้านี่ หัดเรียนจากอวี้ซิ่วให้มากหน่อย” ฟางอวิ๋นซิ่วกล่าวขึ้น ตามองไปทางเด็กสาวอีกคนหนึ่ง
คุณหนูรองฟางอวี้ซิ่วตั้งแต่ต้นจนจบล้วนก้มหน้าพลิกสมุดบัญชี พู่กันในมือตวัดเขียนอย่างว่องไว ราวกับไม่รับรู้ถึงโลกภายนอกทั้งมวล
แต่พอฟางอวิ๋นซิ่วพูดจบ นางก็เปิดปากขึ้นมา
“พี่ใหญ่ เรียนอะไรจากข้าเล่า ต่างคนต่างมีนิสัยของตน ข้าสงบเงียบจนชินแล้ว ก็ยังหวังตัวเองเป็นอย่างน้องสามบ้าง จับคุณหนูจวินคนนั้นมาด่าแรงๆ สักที” นางพูดช้าๆ เสียงละมุน มองสมุดบัญชีขยับพู่กันไปเหมือนเดิมไม่หยุด ฟางจิ่นซิ่วหัวเราะคิกคัก ฟางอวิ๋นซิ่วท่าทางจนปัญญา
“พอแล้ว ชมเจ้าหน่อยเป็นไม่ได้” นางเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าสองคนเร็วหน่อย ฟ้ามืดตรวจสมุดบัญชีพวกนี้ไม่เสร็จ ข้าจะลงโทษพวกเจ้าไม่ให้กินข้าว”
บรรดาเด็กสาวหัวเราะแล้วไม่พูดกันอีก ก้มหน้าก้มตาทำงาน
นายหญิงผู้เฒ่าที่อยู่ด้านนอกฟังสาวใช้เล่าเรื่องจบแล้ว
“ถามก็ถามไปเถอะ นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร” นางกล่าวขึ้น “คนทั้งหยางเฉิงก็รู้ พวกเราก็ไม่ได้ปิดบังนาง ตระกูลฟางในสายตานาง เพิ่มชื่อเสียมาอีกอย่างก็ไม่เป็นอะไร”
นายหญิงใหญ่ฟางยิ้ม
“แต่ว่า ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม บรรดาสาวใช้พูดขึ้น ตอนที่หลิ่วเอ๋อร์สาวใช้คนนั้นพูดจาไม่รื่นหู เจินเจินยังตำหนินางด้วย บอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่ต้องเชื่อ” นางกล่าวขึ้น ท่าทางพอใจ “ท่านแม่ ข้ารู้สึกว่าครั้งนี้เจินเจินรู้ความแล้วจริงๆ”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะขึ้นมา เพียงแต่ว่าเสียงหัวเราะแฝงแววประชดอยู่หลายส่วน
“รู้ไม่รู้ความไม่ใช่ดูว่าพูดอย่างไร แต่ต้องดูว่าทำอย่างไร”นางเอ่ยขึ้น
นายหญิงใหญ่ฟางรับคำ มองไปที่สาวใช้คนนั้น
“ไปเถอะ ทำงานให้ดี คุณหนูจวินถามอะไรพวกเจ้าก็แค่ตอบ ไม่ต้องไปเถียงนาง แล้วก็ไม่ต้องปิดนาง”
สาวใช้รับคำ กำลังจะถอยออกไป ก็มีหญิงรับใช้คนหนึ่งรีบร้อนเข้ามา
“นายหญิงผู้เฒ่า นายหญิง คุณหนูจวินหาคนมาถามอีกแล้ว” นางเอ่ยขึ้น
“ข้าก็สั่งไปแล้วไม่ใช่หรือ ถามก็ถามก็แค่นั้น” นางเอ่ยขึ้น
หญิงรับใช้สีหน้าลังเล
“แต่ นายหญิง ครั้งนี้คนที่คุณหนูจวินถามคือผู้ดูแลร้านแลกเงิน”
……………………………………….