บทที่ 20 เลือกคนได้แล้ว
นายหญิงผู้เฒ่าฟางอนุญาตข้อเสนอของนายหญิงใหญ่ฟาง ทั้งสองคนไม่คุยเรื่องนี้กันอีก
ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ย่อมไม่อาลัยอาวรณ์อีก
สิบกว่าปีมานี้ต่อสู้กับคนสารพัดเรื่องสารพัน พวกนางหลั่งน้ำตาจนหมดไปนานแล้ว ลับดวงใจจนแข็งกระด้าง
แม่สามีกับลูกสะใภ้สองคนคุยเรื่องร้านแลกเงินอีกหน่อย นายหญิงใหญ่ฟางก็ปรนนิบัตินางทานอาหาร มองนายหญิงผู้เฒ่าฟางไปเดินเล่นพร้อมกับสาวใช้ถึงขอตัวไป
เมื่อกลับมาถึงที่พักของตนเองโคมไฟก็สว่างแล้ว มองผ่านหน้าต่างกระจกเข้าไปเห็นในห้องมีคนไม่น้อยนั่งอยู่ เสื้อผ้าหลากสีเครื่องประดับงดงาม
หลังจากนายหญิงใหญ่ฟางเดินเข้ามา คุณหนูทั้งสามกับหญิงรับใช้อีกสองคนก็ลุกขึ้นทำความเคารพรับ
“ตรวจบัญชีเป็นอย่างไรบ้าง?” นายหญิงใหญ่ฟางถามขึ้น ด้านหนึ่งให้หญิงรับใช้สองคนปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างมือ พลางถามบทเรียนประจำวันของบรรดาบุตรสาว
“ผู้ดูแลเกาบอกว่าดีมาก” ฟางอวิ๋นซิ่วยิ้มตอบ
“คนอื่นพูดว่าดี ตนเองเชื่อได้เพียงครึ่ง” นายหญิงใหญ่ฟางพูดเสียงอ่อนโยน “ถือเป็นจริงทั้งหมดไม่ได้”
“ท่านแม่โปรดวางใจ พวกเราหาใช่จวินเจินเจิน” ฟางจิ่นซิ่วพูดแทรกขึ้น
“เจ้าว่านางเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับนาง” นายหญิงใหญ่ฟางตำหนิ
ฟางจิ่นซิ่วไม่ยอมรับอยู่บ้าง แต่ก็ยังเคารพท่านแม่ใหญ่ขานรับเข้าใจ
“เอาล่ะ พวกเจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับไปที่เรือนของตัวเองกินข้าวให้สบายใจเถอะ” นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มพูดขึ้น
“กินข้าวกับท่านแม่ก็สบายใจ” ฟางจิ่วซิ่วพูดขึ้น
“ท่านแม่หมายความว่าพวกเราหนวกหูทำให้ท่านกินข้าวไม่สบายใจ” ฟางอวี้ซิ่วหัวเราะพูดขึ้น
หญิงหน้ากลมคิ้วเรียวที่กำลังถอดกำไลหยกจากมือของนายหญิงใหญ่ฟางหัวเราะขึ้นมา
“คุณหนูรองเลิกล้อเล่นแล้วรีบไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ ใกล้สิ้นปีช่วงเวลานี้พวกท่านยังต้องลำบากอีกมาก นายหญิงเป็นห่วงพวกท่าน” นางกล่าวขึ้น
นี่คือภรรยาน้อยหยวน
ฟางอวี้ซิ่วหัวเราะ ไม่พูดอะไรอีก สามพี่น้องยอบกายเคารพนายหญิงใหญ่อีกครั้งเดินเรียงกันออกไป
“ท่านแม่ จวินเจินเจินคนนั้น...” ฟางจิ่นซิ่วถามขึ้น
“พวกเจ้าพี่น้องทำงานไป เรื่องของนาง แม่จะจัดการเอง พวกเจ้าไม่ต้องกังวล แล้วก็ไม่ต้องลดตัวลงไปทำเช่นนาง” นางหญิงใหญ่ฟางพูดขัดนาง
หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่ฟางดึงมือของฟางจิ่นซิ่วเอาไว้ นี่คือมารดาบังเกิดเกล้าของฟางจิ่วซิ่ว ภรรยาน้อยซู กลับกันกับนิสัยร้อนเป็นไฟของฟางจิ่นซิ่ว นางสงบปากสงบคำ
ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้พูดอะไรอีกเดินตามพี่น้องออกไป
คุณหนูทั้งสามพาสาวใช้จากไปแล้ว ในห้องก็สงบขึ้นมามาก
“ตอนนั้นท่านแม่รับภรรยาน้อยมาให้นายท่านมากขนาดนั้นข้ายังไม่พอใจ ตอนนี้คิดๆ ดู ยังเสียใจว่ารับน้อยไปแล้ว” นายหญิงใหญ่ฟางนั่งลงพูดขึ้น “ถ้ารับมามากกว่านี้หน่อย มีลูกชายลูกสาวมากขึ้นอีกนิด บ้านจะคึกครื้นขนาดไหน”
นางหยวนหัวเราะล้อเลียนดังพรืด
“นายหญิงใหญ่ ท่านช่างไม่รักนายใหญ่เอาเสียเลย” นางเอ่ยขึ้น “มองนายใหญ่เป็นอะไรไปแล้ว”
นายหญิงใหญ่ฟางคิดดูก็หัวเราะขึ้นมา
“ข้าก็พูดดีไป ตอนนั้นท่านพี่แค่ไปค้างที่ห้องของคนอื่นคืนหนึ่ง ข้าก็หน้าบึ้งใส่เขาไปหลายวัน” นางหัวเราะขึ้น มองไปที่ภรรยาน้อยทั้งสอง “ปรากฏว่าสุดท้ายมีแค่น้องซูที่มีลูก พอท่านพี่ไม่อยู่ คนอื่นก็ปล่อยออกไปหมด”
พูดถึงตรงนี้ก็ทำหน้าเสียใจอีกครั้ง
“เหลือเพียงพวกเจ้าสองคนเฝ้าอยู่กับข้า ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่”
นางซูหยิบสมุดบัญชีตั้งหนาเดินเข้ามาวางบนโต๊ะ
“โชคดีโชคร้ายไม่ใช่ผู้ชายกำหนด” นางกล่าวขึ้น นิสัยของนางไม่ชอบพูด พูดออกมาหนึ่งประโยคก็หยุดไปครู่หนึ่ง “ถึงอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าตัวข้าในตอนนี้อยู่ดี”
นางหยวนก็รับลูกคิดมา วางพู่กันหมึกกระดาษแท่นฝน หัวเราะนั่งลง
“นายหญิง ชะตาชีวิตคนฟ้ากำหนด เรื่องในอดีตก็อย่าไปคิดถึงเลย ความลำบากนับร้อยนับพันพวกเราไม่ใช่ผ่านมากันแล้วหรือ” นางเอ่ยขึ้น “นายหญิงผู้เฒ่าพูดไว้ พวกเราผู้หญิงตระกูลฟางไม่อาจกลัวชีวิตลำบาก ขมก่อนย่อมได้ลิ้มรสหวาน”
พูดไปมือก็ขยับลูกคิดอย่างว่องไว
นี่เป็นกิจวัตรประจำวันตลอดสิบกว่าปีมานี้ของพวกนาง แรกเมื่อนายท่านประสบเคราะห์เสียไป ตระกูลฝั่งซานตง ตระกูลเฉาแห่งอำเภอฉีล้วนส่งคนมาโวยวายจะแบ่งสมบัติ บอกว่าพวกนางผู้หญิงกลุ่มหนึ่งทำอะไรได้ ได้แต่ล่มกิจการตระกูลเท่านั้น นายหญิงผู้เฒ่าฟางตบโต๊ะทีหนึ่งบอกว่าจะให้พวกเขาได้เห็นผู้หญิงก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้ชาย หลังจากนั้นบรรดาผู้หญิงในบ้านล้วนต้องร่ำเรียนการค้าศึกษาบัญชี
ภรรยาน้อยที่มีลูกตระกูลฟางเลี้ยงดูส่งศพ ไม่มีลูกก็ให้เงินจำนวนหนึ่งแล้วปล่อยออกไป กลับบ้านไปก็ดี แต่งงานใหม่ก็ดี ตระกูลฟางไม่ยุ่งเกี่ยวทั้งสิ้น
แน่นอนว่าไม่อยากไปไม่ไปก็ได้ นางหยวนก็เป็นคนที่เลือกรั้งอยู่ เรียนบัญชีกับนายหญิงใหญ่ ช่วยจัดการเรื่องทั้งในทั้งนอก
นายหญิงใหญ่ฟางหยิบสมุดบัญชีขึ้นมา
“ข้าให้เจ้าไปหาคนที่เข้าท่ามีบ้างหรือไม่?” นางถามขึ้น
นางหยวนวางสมุดบัญชีในมือลง รอยยิ้มบนหน้ายิ่งกว้างขึ้น
“นายหญิง นายหญิงผู้เฒ่ารับปากแล้ว?” นางถามขึ้น
นางซูเงยหน้าขึ้นหยุดมือ
นายหญิงใหญ่ฟางพยักหน้า
“นี่เป็นสิ่งที่นางทำตนเองทั้งนั้น จะมาโทษว่าผู้อื่นไม่ปกป้องนางไม่ได้” นางเอ่ยขึ้น
รอยยิ้มของนางหยวนยิ่งกว้าง
“ปกป้องอะไรเล่า ให้ปกป้องอย่างไรเด็กผู้หญิงก็ต้องแต่งงาน นายหญิงผู้เฒ่าไม่ให้นางแต่งงานถึงจะเป็นการไม่ปกป้อง” นางหัวเราะ “หลังนายหญิงสั่งข้า ข้าก็ตั้งใจเลือกที่ดีหน่อย สุดท้ายเลือกได้ตระกูลหนึ่ง”
“ว่ามาสิ” นายหญิงใหญ่ฟางถามขึ้นท่าทางสนใจ
“เป็นบัณฑิตคนหนึ่งที่จ้าวโจว” นางหยวนพูดขึ้น
จ้าวโจว?
นายหญิงใหญ่หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย
“ที่นั่นไม่ใช่ไม่ค่อยสงบหรือ?” นางพูดขึ้น
ไกลก็ไกลพออยู่ แต่ดันไม่ใช่ที่ที่สงบสุขนัก นางย่อมไม่อยากตกเป็นขี้ปากคน
จ้าวโจวเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลเหอเป่ยทางภาคเหนือ ชาวจินกับต้าโจวทำสงครามกันมานานปี ภาคเหนือนี้ถูกแย่งชิงไปๆ มาๆ ชีวิตทางนั้นไม่สบายนัก
“นายหญิง มีเฉิงกั๋วกงอยู่ ภาคเหนือสงบมาหลายปีแล้ว” นางหยวนหัวเราะขึ้น
ถึงจะไม่ใช่คนภาคเหนือ แต่สำหรับราชสำนักและผู้คนที่อยู่ภาคเหนือด้วยกันแล้ว เฉิงกั๋วกงไม่ใช่คนแปลกหน้า
เฉิงกั๋วกง[footnoteRef:1]จูซานเป็นขุนนางผู้มีความชอบแย่งแผ่นดินภาคเหนือคืนมาจากมือของชาวจิน เกิดในตระกูลขุนศึก ตลอดมาสร้างความชอบในการศึกนับไม่ถ้วน ได้รับความไว้วางพระทัยจากอดีตฮ่องเต้อย่างมาก ได้รับพระราชทานยศกง [1: กง (公) เป็นบรรดาศักดิ์ในสมัยจีนโบราณอย่างหนึ่ง เฉิงกั๋วกง (成国公) เป็นบรรดาศักดิ์ชั้นหนึ่งของบรรดาศักดิ์ชั้นกง]
จวบจนวันนี้เฉิงกั๋วกงรักษามณฑลเหอเป่ยมาหกปีแล้ว ภาคเหนือสงบสุขมากอย่างแท้จริง
นายหญิงใหญ่ฟางคลายคิ้ว
“นอกจากนี้ยังเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง” นางหยวนพูดต่อ “ตระกูลมีที่นามากมาย มีแค่เรื่องหนึ่ง จะหาภรรยาใหม่”
คิ้วของนายหญิงใหญ่ฟางขมวดขึ้นอีกครั้ง ลูบสมุดบัญชีขบคิดเล็กน้อย
“พูดแบบนี้แปลว่ามีลูกแล้ว” นางกล่าวขึ้น
นางหยวนหัวเราะพยักหน้า
“ดังนั้นไม่สนว่าฝ่ายหญิงจะดูแลบ้านสืบทอดทายาทได้ไม่ได้ เพียงหาคนเคียงใจ” นางพูด
พูดง่ายๆ ก็คือหาเด็กสาวอายุน้อยหน้าตาสวยงามไว้เล่นสนุกด้วยสินะ ดังนั้นชาติกำเนิดคุณธรรมของฝ่ายหญิงล้วนไม่สนใจ
แต่งไปไกล นี่รับมือตระกูลหนิงได้ บัณฑิตก็เหมาะสมกับฐานะของจวินเจินเจิน
“ดี เรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการ” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้น
นางหยวนยิ้มรับคำ นางซูไม่มีความเห็นใดๆ กับเรื่องนี้ บทสนทนาพูดถึงตรงนี้ก็จบลง ราวกับเป็นเรื่องเล็กที่เล็กไปกว่านี้ไม่ได้แล้วเรื่องหนึ่ง ทุกคนล้วนก้มหน้าก้มตายุ่งต่อไปไม่พูดถึงอีก
บรรดาสาวใช้ยืนรอรับใช้อยู่ด้านข้างฝั่งหนึ่ง บางครั้งก็ยกชาเข้ามา ค่ำคืนฤดูหนาวหญิงสามคนนั่งประชันหน้าอยู่ในห้องก็ไม่ได้อ้างว้างนัก
คุณหนูจวินไม่รู้ว่าเรื่องใหญ่ในชีวิตของตนเช่นนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว ต่อให้รู้ก็คงไม่ตกใจ สถานะตอนนี้ของตน นางรู้ชัดอยู่แก่ใจ
บรรดาหญิงรับใช้ที่ประตูชั้นในได้รับคำสั่งแล้วรักษายิ่งชีพ ไม่รอให้หคุณหนูจวินมาหาอีกครั้ง พื้นที่ใช้ชีวิตของคุณหนูจวินถูกเปลี่ยนไปอยู่ที่เรือนหลัง
บรรดาสาวใช้และหญิงรับใช้ในสวนดอกไม้ไม่ได้รับข่าวสารหลบไม่ทัน อกสั่นขวัญแขวน
คุณหนูจวินไม่ได้สนใจ แม้ว่านางจะไม่ได้ดูถูกตระกูลฟางเหมือนคุณหนูจวินคนก่อน แต่นางก็ไม่ใช่เห็นคนแล้วจะแย้มยิ้ม
“คุณหนู วันที่หนาวขนาดนี้ ทำไม่ยังออกมาเดินชมสวนล่ะเจ้าคะ” หลิ่วเอ๋อร์หดศีรษะกุมเตาพกถามขึ้น
นอกจากนี้คุณหนูยังเดินเร็วขนาดนี้ ทั้งเหนื่อยทั้งหนาว
เพราะว่าร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป ต้องออกกำลังให้ร่างกายเปลี่ยนมาแข็งแรง ต่อให้ไม่ถึงขั้นสามารถขี่ม้ายิ่งธนูได้อย่างนาง อย่างน้อยก็ต้องมั่นใจว่าเดินทางไกลได้
เมืองหลวงห่างจากที่นี่ไกลนัก หนทางก็ไม่ได้สะดวกสบาย
“เดินมากหน่อยแบบนี้ดีต่อร่างกาย” นางว่า
หลิ่วเอ๋อร์กำลังจะพยักหน้ารับ เสียงแหบเสียงหนึ่งก็พลันดังมาจากด้านบนศีรษะ
“สวรรค์ช่างไร้เมตตา คนไม่คิดอยู่กลับยังมีชีวิตอยู่ดี!”
คุณหนูจวินหยุดฝีเท้าแหงนหน้าขึ้นมอง บนภูเขาจำลองที่นางเพิ่งเดินผ่านมามีเด็กหนุ่มอายุสิบสองสิบสามปีอยู่คนหนึ่ง
เด็กหนุ่มคนนี้หน้าตางดงาม ดวงตาทั้งสองสุกใส แต่เสียดายร่างกายผอมราวกับกิ่งไม้ ลดทอนภาพลักษณ์คุณชายเจ้าสำราญที่เดิมเขาควรมี อีกทั้งเขาไม่ได้ยืนอยู่ แต่นั่งอยู่ แทบเลื้อยลงไปกับรถเข็นตัวหนึ่ง ผ้าห่มหนาผืนหนึ่งคลุมร่างกายอันขดงอของเขาเอาไว้
นี่ก็คือนายน้อยง่อยผู้ไม่อาจอยู่ได้เกินสิบห้าปีคนนั้นของตระกูลฟางสินะ
……………………………………….