Chapter 035

บทที่ 35 พี่น้องซื้อของ

ตอนที่ได้ยินคำสั่ง ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี่ซิ่วล้วนอยู่ในห้องของฟางจิ่นซิ่ว ฟางจิ่นซิ่วถูกกักบริเวณ แต่การเรียนไม่อาจผัดผ่อน เหล่าพี่น้องจึงมาร่ำเรียนกับนางที่นี่

ฟางจิ่นซิ่วหัวเราะหยันทีหนึ่งไม่พูดอะไร

ฟางอวี้ซิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน

“พี่ใหญ่ท่านอย่าไปเลย ข้าไปคนเดียวแล้วกัน” นางเอ่ยขึ้น

ฟางอวิ๋นซิ่วเป็นคนใจดี หลังฟางจิ่นซิ่วกับคุณหนูจวินทะเลาะแตกหักกัน ยังอุตส่าห์ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกเป็นเพื่อนคุณหนูจวิน ผลปรากฏว่าถูกคุณหนูจวินเขียนกลอนล้อเลียนต่อหน้าบรรดาคุณหนูตระกูลขุนนาง ทั้งกลอนล้อเลียนนี้ยังแปะอยู่บนหลังของฟางอวิ๋นซิ่ว ติดอยู่บนหลังเดินไปรอบหนึ่งถึงเพิ่งรู้ตัว

ฟางอวิ๋นซิ่วร้องไห้วิ่งหนีไป ถึงแม้ปากจะไม่เอ่ยวาจาร้ายกาจใส่คุณหนูจวิน แต่หลังจากนั้นหลบได้ก็หลบ

“เจ้าคนเดียวหรือ?” ฟางอวิ๋นซิ่วลังเลกังวลเล็กน้อย

“พี่ใหญ่ ไม่ต้องเป็นห่วงพี่รอง พี่รองร้ายกาจนัก เพียงแต่ไม่ลดตัวลงไประดับเดียวกับจวินเจินเจินเท่านั้น พี่รองคิดเอาจริง จวินเจินเจินย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้น แล้วก็หันไปประสานหมัดให้ฟางอวี้ซิ่ว “พี่รอง แสดงความร้ายกาจให้นางเห็นเสียบ้าง”

ฟางอวิ๋นซิ่วไม่ได้ดึงดันอีก

“นางก็ไม่ชอบเห็นข้า ข้าไม่ไปแล้วกัน” นางเอ่ยขึ้นแล้วก็กำชับ “เจ้าเองระวังหน่อย ทนนิดทนหน่อย อย่าทำตัวเช่นเดียวกับนาง”

ฟางอวี้ซิ่วยิ้มพยักหน้า

นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็รู้ข่าวคุณหนูจวินจะออกไปข้างนอก ไม่ได้พูดอะไร รับกระดาษไม่กี่แผ่นที่หญิงรับใช้ส่งให้

“คุณหนูจวินเขียนอักษรไว้ไม่มาก “นี่เป็นบทกวีไม่กี่บทที่เขียนเดือนก่อน” หญิงรับใช้พูดเสียงเบา

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองทีหนึ่งเหมือนกับลายมือที่เขียนชื่อยา เป็นอักษรบรรจงตัวเล็กงดงาม แต่เนื้อหาเป็นบทครวญวสันต์กำสรวลสารทรำพันรักคุณชายสิบตระกูลหนิง

“ส่งคืนไปเถอะ” นางเอ่ยขึ้น ยื่นมือส่งคืนไป คิ้วขมวดพูดกับตัวเอง “ยังไงตอนที่ไม่เขียนบทกวีก็ดีกว่าอยู่บ้าง”

บทกวีละมุนละไมจอมปลอมนี่ช่างทำให้คนสะอิดสะเอียน

..................................................................................................

เมื่อคุณหนูจวินออกมา ฟางอวี้ซิ่วก็ยืนอยู่หน้ารถรออยู่แล้ว

คุณหนูจวินคิดอยู่ครู่หนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ตนเองได้พบหน้าพี่น้องตระกูลฟาง ความทรงจำเกี่ยวกับพี่น้องของคุณหนูจวินแต่เดิมก็ไม่มาก ดังนั้นเมื่อพบหน้าขึ้นมากะทันหันก็ยังคงรู้สึกแปลกหน้าอยู่บ้าง

ฟางอวี้ซิ่วเป็นบุตรสาวแท้ๆ คนรองของนายหญิงใหญ่ฟาง หน้าตาคล้ายนายหญิงใหญ่ นุ่มนวลสงบเสงี่ยม และเป็นคนเดียวในตระกูลนี้ที่ไม่เคยผิดใจกับคุณหนูจวิน

นางปรากฏตัวหน้าคุณหนูจวินน้อยครั้ง

เห็นคุณหนูจวินเดินมา ฟางอวี้ซิ่วก็ยอบกายเคารพเล็กน้อยเรียกคุณหนูจวินคำหนึ่ง

ตามหลักควรเรียกว่าน้อง แต่กับคุณหนูจวินย่อมไม่มีหลักนี้

คุณหนูจวินยอบกายตอบ ไม่ได้เรียกขานและไม่ได้พูดด้วย

สีหน้าของฟางอวี้ซิ่วยังคงเหมือนเก่า ทั้งไม่เหมือนฟางจิ่นซิ่วเช่นนั้นที่จะรู้สึกว่าคุณหนูจวินเช่นนี้เป็นการดูถูกคนโกรธขึ้นมา และไม่เหมือนฟางอวิ๋นซิ่วเช่นนั้นก้มหัวหลีกทาง นางไม่ได้พูดคำใดอีก นำขึ้นรถไปก่อน

หลิ่วเอ๋อร์นำคุณหนูจวินจะไปขึ้นรถอีกคันหนึ่ง คุณหนูจวินกลับทำท่าให้นางไปเอง

“ไม่อย่างนั้นก็ยังต้องใช้รถอีกคัน” นางเอ่ยขึ้น

ก่อนหน้านี้คุณหนูจวินกับบรรดาคุณหนูตระกูลฟางไม่นั่งรถร่วมกัน เช่นนั้นคุณหนูตระกูลฟางกับสาวใช้ประจำตัวนั่งคันหนึ่ง คุณหนูจวินกับสาวใช้ของตนเองนั่งคันหนึ่ง หญิงรับใช้คนอื่นอีกสองคนก็ต้องนั่งรถอีกคนหนึ่ง

ถ้าหากคุณหนูจวินกับคุณหนูตระกูลฟางนั่งรถด้วยกัน สาวใช้สองคนกับหญิงรับใช้สองคนก็เบียดกันในรถคันเดียวได้

“ในเมื่อจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ก็ต้องสนิทสนมไว้” คุณหนูจวินพูดต่อ

ใช่แล้ว เล่นละครก็ต้องเล่นให้ครบเครื่อง

หลิ่วเอ๋อร์เข้าใจ พยักหน้าให้คุณหนูจวิน

“คุณหนูท่านวางใจ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร” นางพูดเสียงเบา

หมุนตัวเดินไปไม่กี่ก้าวดึงสาวใช้ที่จะขึ้นรถไปกับฟางอวี้ซิ่วไว้

“พี่สาว พวกเรานั่งด้วยกันเถอะ” นางยิ้มหวานพูดขึ้น

สาวใช้ของฟางอวี้ซิ่วตกใจจนเกือบสะดุดล้ม

ฟางอวี้ซิ่วที่ขึ้นรถไปกลับสีหน้าราบเรียบ ดวงตามีแววเหยาะหยันรู้ทันวูบผ่านไป มองคุณหนูจวินที่เดินเข้ามา ส่งสายตาให้สาวใช้ของตนเอง สาวใช้ก็เดินตามหลิ่วเอ๋อร์ออกไป

ที่คุณหนูจวินมานั่งทางนี้ ฟางอวี้ซิ่วไม่ได้ประหลาดใจสักนิด ราวกับแต่เดิมก็ควรเป็นเช่นนี้ หลังนั่งดีแล้ว รถม้าสองคันท่ามกลางวงล้อมของคนรับใช้คนติดตามหลายคนก็เคลื่อนออกจากประตูตระกูลฟาง

ตำแหน่งที่ตระกูลฟางตั้งอยู่เป็นเขตการค้า แล้วก็เป็นสถานที่ซึ่งเจริญ ออกจากเรือนมาไม่นานก็มาถึงถนนใหญ่ เสียงอึกทึกดังเข้าหูไม่ขาดสาย

คุณหนูจวินสนใจมากเลิกผ้าม่านรถมองออกไปข้างนอก

ทุกวันนี้เขตที่อยู่ของตระกูลพ่อค้ากับตระกูลขุนนางแบ่งอยู่ต่างเขตกัน แม้จวนตระกูลฟางจะหรูหรา แต่คุณหนูจวินมองว่าการเดินออกมาจากด้านในนั้นเป็นความอับอาย ทุกครั้งที่ออกจากบ้านล้วนกลัวผู้คนพบเห็น แทบอยากหุ้มรถม้าทั้งคันไว้

เปิดผ้าม่านรถชมภาพร้านรวงเช่นนี้นับเป็นครั้งแรก

เป็นท่าทางที่แสร้งทำออกมาทำท่าว่ายอมรับฐานะภรรยาพ่อค้านี้แล้วสินะ

ฟางอวี้ซิ่วรินชาด้วยสีหน้าละมุน

“คุณหนูจวินดื่มชาหรือไม่?” นางเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินไม่ได้ตอบกลับคำพูดของฟางอวี้ซิ่ว วางผ้าม่านรถลงยื่นมือไปรับถ้วยชา

“พวกเราไปที่ใดก่อน?” นางถามขึ้น

คุณหนูจวินที่เป็นฝ่ายเอ่ยถามความเห็นของพี่น้องก็หายากนัก แต่ฟางอวี้ซิ่วนิ่งสงบไม่เปลี่ยน ราวกับพวกนางปฏิสัมพันธ์เช่นนี้กันมาโดยตลอด

“อยากซื้อเครื่องประดับ เช่นนั้นพวกเราก็ไปร้านเครื่องประดับ” นางไม่ได้บอกปัดแต่คิดอย่างจริงจังให้ความเห็นออกมา

ซื้ออะไรล้วนแต่เป็นการอำพราง เป้าหมายสุดท้ายคือแวะเข้าไปในร้ายยาขนาดใหญ่

คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้า

ฟางอวี้ซิ่วสั่งการไปนอกตัวรถทีหนึ่ง ไม่นานรถม้าก็หยุดลง

“ร้านนี้ดีหรือไม่?” ฟางอวี้ซิ่วเลิกผ้าม่านรถชี้ออกไปด้านนอกถามขึ้น

คุณหนูจวินมองทีหนึ่ง ร้านเครื่องประดับแห่งนี้ตกแต่งหรูหราสะดุดตา ในร้านมีคนเข้าๆ ออกๆ เต็มไปหมด เห็นชัดว่าเป็นร้านชื่อดัง

คุณหนูจวินพยักหน้าอย่างไม่สนใจเป็นฝ่ายลงจากรถไปก่อนเอง

หลิ่วเอ๋อร์ที่วิ่งมาประคองนางแอบดึงแขนเสื้อของนาง

“คุณหนู ที่นี่คนเยอะนะเจ้าคะ” นางพูดเสียงเบา

“คนเยอะแล้วเป็นอะไร?” คุณหนูจวินถามขึ้น

หลิ่วเอ๋อร์หันกลับไปมองฟางอวี้ซิ่วที่กำลังลงรถมาทีหนึ่ง

เดิมนางคิดจะพูดว่าเดินเข้าออกร้านกับคุณหนูตระกูลฟางน่าอับอายเพียงใด ทำลายหน้าตาของคุณหนู แต่ก็คิดได้ว่าคุณหนูบอกไว้ต้องทำท่าสนิทสนมกับคนตระกูลฟาง จึงกลืนคำพูดกลับลงไป

“คนเยอะ คนเยอะคึกคักดี” นางยิ้มน้อยๆ พูดขึ้น

คุณหนูจวินยิ้มไม่ได้พูดอีก ฟางอวี้ซิ่วก็ยิ้ม

ใช่แล้ว คนเยอะถึงจะคึกคัก

พวกนางเข้ามาก็ทำให้ในร้านเครื่องประดับวุ่นวายขึ้นมา

หนึ่งด้วยตระกูลฟางชื่อเสียงโด่งดังในหยางเฉิง สองด้วยข่าวดังที่กำลังครึกโครมอยู่ช่วงนี้ คุณหนูตระกูลบัณฑิตตระกุลขุนนางที่กำลังเลือกเครื่องประดับอยู่ในร้าน แล้วยังมีคุณหนูของตระกูลพ่อค้าวาณิช คุณหนูจวินคบหาสหายในหยางเฉิงกว้างขวาง ดังนั้นในนี้จึงมีคนสองคนจดจำนางได้ ไม่นานทุกคนก็รู้

ทุกสายตาในร้านเครื่องประดับพลันรวมอยู่ที่ตัวนาง

นี่เป็นครั้งแรกที่คุณหนูจวินเดินมาอยู่ต่อหน้าคนนอกในฐานะของจวินเจินเจิน ความทรงจำของคุณหนูจวินบอกนางว่าบรรดาคุณหนูในหยางเฉิงล้วนนับถือชื่นชมชมชอบนาง ไม่รู้ว่าความทรงจำของคุณหนูจวินผิดเพี้ยน หรือวันนี้เพราะคำเล่าลือทำให้สายตาของทุกคนเปลี่ยนไป

คุณหนูจวินมองออกแค่ว่าเหล่านี้ล้วนเป็นการดูถูกเยาะหยัน

เด็กโง่คนนี้

แต่ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ใช้ชีวิตมีความสุขไม่น้อย

คุณหนูจวินยิ้มไม่พูดจาแล้วก็ไม่สนใจ

“คุณหนูจวิน เจ้าดูชิ้นนี้เป็นอย่างไร?” ฟางอวี้ซิ่วสีหน้าละมุนชี้เครื่องประดับที่เสมียนร้านยกมาให้ถามขึ้น

คุณหนูจวินมองทีหนึ่ง

“ไม่สวย” นางว่า

ฟางอวี้ซิ่วคิดไว้แล้ว อมยิ้มส่งนัยให้เด็กรับใช้ไปเปลี่ยนมาใหม่

คุณหนูจวินเลือกจุกจิกอยู่สามสี่ครั้งในที่สุดก็ถูกใจชิ้นหนึ่ง

“ชิ้นนี้แล้วกัน” นางเอ่ยขึ้น ยื่นมือชี้ไป

ตอนนี้เองก็มีมือหนึ่งยื่นเข้ามา

“ชิ้นนี้ข้าจะเอา” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกัน

คุณหนูจวินเพียงรู้สึกว่ากลิ่นหอมโจมตีเข้ามา หันศีรษะไปก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกาย

เด็กสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดปี หน้าตางดงามมาก

จั่วเยี่ยนจือ

ความทรงจำของคุณหนูจวินผุดขึ้นมาทันที ไม่มีเลือนรางหรือชักช้าสักนิด แจ่มชัดยิ่งกว่าความทรงจำเกี่ยวกับตระกูลฟาง

นี่ไม่ใช่เป็นเพราะคุณหนูจั่วผู้นี้เป็นคุณหนูตระกูลขุนนางที่คุณหนูจวินชอบที่สุด แต่เป็นเพราะท่านย่าน้อยของนางคือนายหญิงผู้เฒ่าหนิง

นางเป็นญาติกับตระกูลหนิง

และก็เป็นเพราะเป็นญาติของตระกูลหนิง จวินเจินเจินถึงพยายามผูกมิตรมาก่อน แต่คุณหนูจั่วหลบเลี่ยง

คุณหนูจั่วเป็นฝ่ายเข้าหาเอง จวินเจินเจินย่อมต้องดีใจ

คุณหนูจวินยิ้ม รั้งมือกลับ ชี้ชิ้นหนึ่งในอีกถาดหนึ่ง

“เช่นนั้นข้าเอาชิ้นนี้” นางเอ่ยขึ้น

เพิ่งยื่นมือไป จั่วเยี่ยนจือก็ยื่นมือมาวางทับไว้อีก

“ชิ้นนี้ข้าก็จะเอา” นางเอ่ยขึ้น

คราวนี้คนอื่นล้วนมองมาแล้ว บรรยากาศในร้านเครื่องประดับกลายเป็นเงียบงันขึ้นมา

ฟางอวี้ซิ่วยืนอยู่ข้างคุณหนูจวิน เงียบราวกับนกกระทาตัวหนึ่ง

“คุณหนูจั่ว หมายความว่าอย่างไร?” คุณหนูจวินไม่โมโหและไม่ถอย เอ่ยขึ้นเสียงละมุน

“ไม่ได้มีความหมายอะไร ก็แค่ซื้อเครื่องประดับ” คุณหนูจั่วยิ้มพูดขึ้น

……………………………………….