Chapter 026

บทที่ 26 เหตุผลที่ทำเรื่องเช่นนี้

คิดถึงอาจารย์ คุณหนูจวินก็นิ่งเงียบไป

ตั้งแต่มีชีวิตกลับขึ้นมานางพยายามไม่คิดถึงเรื่องในอดีตคนในอดีต มีเพียงคนผู้เดียวที่ความจริงแล้วคิดถึงได้

คนผู้นี้ก็คืออาจารย์ของนาง อาจพูดได้ว่าเป็นบิดาของนาง สหายของนาง

เห็นคุณหนูจวินนิ่งเงียบไป นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็พ่นลมหายใจ นับว่านางยังรู้จักประมาณตนอยู่บ้าง แต่ชั่วขณะต่อคุณหนูจวินก็ผงกศีรษะ

“ในเมื่อมีเพียงหมอเทวดาจางที่ช่วยได้ ถ้าเช่นนั้นพิษของน้องชายตอนนี้บนโลกก็มีเพียงข้าที่ช่วยรักษาได้แล้ว” นางเอ่ย

ถ้อยคำนี้โอ้อวดไม่มีอายถึงเพียงนี้ แต่คนกลับไม่อาจหัวเราะออกมาได้ อาจเป็นเพราะความเศร้าหมองนั้นในน้ำเสียงของนาง

ความเศร้าหมองนี้ทำให้คำพูดของนางฟังดูแล้วรู้สึกสมเหตุสมผล

นายหญิงฟางงงงันไปอีกครั้ง ทั้งยังดูกรุ่นโกรธขึ้นมาอยู่บ้าง

“ทำไม?” นางเอ่ยถาม “ทำไมมีแต่เจ้าที่ทำได้?”

เพราะว่าหมอเทวดาจางไม่อยู่แล้ว

สามปีก่อน ในที่สุดเขาก็พบยาตัวหนึ่งที่ต้องการ แลกมาด้วยการตกจากหน้าผา

มือที่วางสงบบนหัวเข่ามาตลอดของคุณหนูจวินสั่นน้อยๆ ในใจกดเก็บความรู้สึกที่เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมา

“...จวินเจินเจิน เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เจ้าเห็นพวกเราเป็นอะไรไปแล้ว...”

เสียงของนายหญิงผู้เฒ่าฟางยังคงเอ่ยต่อ

ปัง เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

มือของคุณหนูจวินตบลงบนโต๊ะ

การกระทำนี้หยาบคายอย่างแท้จริง ไม่รู้จะมองเด็กสาวคนนี้อย่างไร นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางมีความคิดไม่มีที่มาผ่านแวบเข้ามา รู้สึกราวกับว่าที่เด็กสาวคนนี้ทำสิ่งนี้ออกมาเป็นเรื่องที่ชวนให้คนประหลาดใจ

แปลกดีแท้ จวินเจินเจินทำเรื่องหยาบคายน้อยเสียที่ไหน? ยังมีอะไรน่าประหลาดใจอีก

“ไม่มีความหมายอะไร ชีวิตก็เป็นของเขา เขาเป็นคนตระกูลฟางของพวกท่าน ไม่อยากรักษาก็ไม่รักษา ไม่ต้องพูดให้มากความ” คุณหนูจวินพูดขึ้น เสียงของนางยังคงละมุนเหมือนเดิม แต่น้ำเสียงตรงไม่อ้อมค้อม แสดงว่านางโกรธแล้ว

นายหญิงใหญ่ฟางอดหวั่นใจขึ้นมาไม่ได้

จวินเจินเจินโมโหที่จริงไม่ใช่เรื่องหายากอะไร พูดตามตรงจวินเจินเจินอยู่ต่อหน้านางไม่เคยมีเวลาใดไม่โมโห

จวินเจินเจินโมโห สำหรับพวกนางแล้วยังมีอะไรแปลกประหลาดอีก แต่ตอนนี้ในใจของนางกลับหวั่นวิตกขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

อาจเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับบุตรชาย

ถึงจะเป็นคนที่ใจเย็น ไร้ความรู้สึกเพียงไร หากเกี่ยวของกับบุตรชายบุตรสาวของตนล้วนย่อมเสียการควบคุมตัว

“เจินเจิน ไม่ใช่พวกเราไม่อยากรักษา” นางรีบพูดขึ้น “แต่อาการป่วยของเฉิงอวี่หนักหนาเหลือเกิน คนมากมายขนาดนั้นล้วนรักษาไม่ได้ อยู่ๆ เจ้าบอกว่ารักษาได้ ทำให้คนตกใจจริงๆ”

คุณหนูจวินมองนางทีหนึ่ง

“ตอนนั้นท่านป้าป้อนยารักษาโรคให้น้องชายแต่กลับกลายเป็นยาพิษ ก็เป็นเรื่องทำให้คนประหลาดใจเหมือนกันกระมัง” นางพูดขึ้น

สีหน้าของนายหญิงใหญ่ฟางกลายเป็นเขียวขาวช่วงหนึ่ง

ไม่อยากร้องไห้โวยวายเช่นนั้นก่อนหน้านี้ แต่คำพูดที่พูดกลับทำให้คนแทบกระอัก

ทันใดนั้นนางก็คิดถึงหญิงรับใช้ที่กลับมาจากเป่ยหลิวเล่าว่าตระกูลหนิงโกรธจัดด่าคุณหนูจวินเจ้าเล่ห์หลอกเอาเงิน พูดตามหลักแล้วจะอย่างไรได้ถอนหมั้นก็เป็นเรื่องที่ตระกูลหนิงควรยินดี ทำไมถึงโกรธเช่นนี้ได้

ตอนนี้นางเดาได้รางๆ คงโดนคำพูดของคุณหนูจวินผู้นี้ทำให้โกรธไม่น้อยล่ะสิ

“ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้พวกเราจะสงสัยก็เป็นเรื่องปกติ เจ้าไม่ต้องโกรธถึงเพียงนั้น” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “เจ้าบอกว่าเจ้าดูออกเองว่าเฉิงอวี่ถูกพิษทั้งยังรักษาให้หายได้ ไม่มีเหตุผลให้คนเชื่อ”

คุณหนูจวินยิ้ม

“เชื่อหรือไม่เชื่อเป็นเรื่องของพวกท่าน ทำได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของข้า ชีวิตเป็นของพวกท่านเอง ตอนนี้ข้ามาช่วยเหลือพวกท่าน ข้าไม่มีเหตุผลให้ยังต้องโน้มน้าวพวกท่านอีก” นางกล่าวขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นเกิดเจ้ารักษาเฉิงอวี่ไม่หาย...” นายหญิงใหญ่ฟางอดรนทนไม่ได้พูดขึ้นมา

คุณหนูจวินมองนางอีกครั้งหนึ่ง

“เช่นนั้นท่านมีอะไรให้เสีย?” นางพูดขึ้นเสียงนุ่ม

อย่างไรฟางเฉิงอวี่ก็ต้องตาย

นายหญิงใหญ่สะอึกอับจนคำพูดอีกครั้ง

นางรู้สึกว่าเด็กสาวยังไงโวยวายหน่อยก็เป็นดี พูดเป็นการเป็นงานแล้วย้อนเถียงคนเช่นนี้ทำให้คนอัดอั้นและหงุดหงิดอย่างแท้จริง

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองคุณหนูจวินแล้วเงียบงันไปครู่หนึ่ง

“เจ้าพูดถูก ข้าไม่ถามก็ได้ว่าทำอย่างไรเจ้าถึงมองออก และไม่ถามก็ได้ว่าเจ้าจะรักษาอย่างไร” นางเอ่ยขึ้น “แต่ข้าต้องถาม เจ้าทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร”

คุณหนูจวินยิ้ม

“ข้านึกว่ามีแต่ข้าที่ไม่รู้ ที่แท้ท่านยายก็ไม่รู้เช่นกัน” นางเอ่ยขึ้น ไม่รอนายหญิงผู้เฒ่าฟางถามกลับ ก็พูดต่อว่า “เป็นน้องชายบอกข้า ข้าจำเป็นต้องทำเช่นนี้”

น้องชาย? เฉิงอวี่?

นายหญิงผู้เฒ่าฟางขมวดคิ้วน้อยๆ

“น้องชายบอกว่าเมื่อเขาตายแล้ว ตระกูลฟางก็มีแต่ต้องพึ่งท่านยายกับท่านป้าค้ำจุน รอท่านยายกับท่านป้าตายไป ตระกูลฟางก็จบสิ้น ส่วนข้าต้องพึ่งตระกูลฟางใช้ชีวิต ไม่มีตระกูลฟาง คืนวันของข้าก็ลำบากแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น ถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง “ข้าเสียบิดามารดาทั้งสองไปแล้ว ชีวิตลำบากมากอยู่แล้ว ไม่อยากให้อนาคตเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้ ดังนั้นน้องชายตายไม่ได้ ตระกูลฟางล้มไม่ได้”

นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าพิกล

ที่แท้เพราะสิ่งนี้?

พวกนางถามเด็กรับใช้ของฟางเฉิงอวี่หลายรอบแล้ว รู้ชัดคำพูดทุกประโยคระหว่างฟางเฉิงอวี่กับจวินเจินเจินในสวนดอกไม้ แน่นอนย่อมรู้ว่าฟางเฉิงอวี่เคยพูดเช่นนี้จริง

แต่คำพูดนี้เป็นเรื่องจริงที่ตื้นจนไม่รู้จะตื้นอย่างไร และไม่ใช่ฟางเฉิงอวี่คนเดียวที่เคยพูด ตอนจวินเจินเจินเพิ่งมาถึงหยางเฉิง เพื่อเรื่องแต่งงานกับตระกูลหนิง โกรธด่าทอว่าถูกฐานะต่ำต้อยของตระกูลฟางฉุดรั้ง ฟางจิ่นซิ่วก็เคยด่านางด้วยคำพูดทำนองเดียวกัน ขนาดนายหญิงผู้เฒ่าฟางยังเคยอดทนอธิบายให้นางฟัง

ตอนนั้นนางทำไมไม่คิดถึงเรื่องนี้?

“เพราะว่าตอนนั้นตระกูลฟางกับข้าเป็นเพียงครอบครัวที่พักพิงชั่วคราว” คุณหนูจวินพูดน้ำเสียงอ่อนโยน น้ำเสียงของนางไม่รำคาญแม้แต่นิด ราวกับไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองพูดอยู่เป็นหลักเหตุผลที่ง่ายมากเพียงใด อดทนอธิบายแก่นายหญิงผู้เฒ่าฟางและนายหญิงใหญ่ฟาง

ไม่รำคาญ อดทน คำเหล่านี้เป็นความรู้สึกของนายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟาง มีความรู้สึกเช่นนี้ก็เพราะว่าสิ่งที่เด็กสาวคนนี้พูดออกมาเป็นเหตุผลที่ใครก็คิดได้ เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าคำถามที่พวกนางถามน่าขำอยู่บ้าง

คุณหนูจวินย่อมไม่มองตระกูลฟางเป็นครอบครัวหรือที่พึ่ง

“ทั้งใจข้าอยากไปจากตระกูลของพวกท่าน ก็เหมือนกับที่ทั้งใจพวกท่านอยากโยนข้าทิ้งไปเช่นนั้น” คุณหนูจวินพูดต่อ

คำพูดนี้นายหญิงผู้เฒ่าฟางรู้สึกคุ้นอยู่มาก

เหมือนเมื่อไม่นานมานี้ตอนที่รับเด็กสาวคนนี้กลับมาได้ยินว่านางมีหนังสือหมั้น ตนเองถามนางว่าทำไมไม่นำออกมา เด็กสาวย้อนถามกลับว่าเอาออกมาแล้วผลลัพธ์มีอะไรต่างไป

พวกท่านไม่ชอบข้า ข้ารู้

ความจริงที่ใจจืดใจดำเลือดเย็นโหดร้ายเช่นนั้นนางรู้และยอมรับอย่างสงบ

นายหญิงผู้เฒ่าฟางครึ่งชีวิตถูกบรรดาคนในตระกูลด่าว่าใจจืดใจดำไม่เคยอับอายสักนิด แต่นาทีนี้นางรู้สึกว่าใบหูร้อนขึ้นมานิดหน่อย

โยนทิ้งเด็กสาวคนนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปไม่ถูกต้องอยู่บ้าง รู้สึกละอายขึ้นมาเล็กน้อย

คงเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของหลานชายของตนสินะ คนห่วงหาสิ่งหนึ่งก็ย่อมเปลี่ยนเป็นอ่อนแอ อ่อนแอแล้วก็คิดมากได้ง่ายๆ

เด็กสาวบางทีพูดแล้วร้องไห้โวยวายบ้างคงทำให้คนสบายใจกว่า อยู่ดีๆนางก็รู้สึกขึ้นมา

นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ช้าก็สงบอารมณ์ได้ นางไม่พูดอะไรทั้งนั้น สงบรอเด็กสาวพูดต่อ

“แต่ตอนนี้ข้าไม่มีที่ให้ไปแล้ว ตระกูลฟางเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของข้า ข้าไม่ต้องการให้ที่พึ่งนี้ล้มไป” คุณหนูจวินพูดขึ้น

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะ

“ที่แท้เป็นเช่นนี้” นางเอ่ยขึ้น “เจ้ากับเฉิงอวี่ล้วนยังเยาว์ มองเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องใหญ่เท่าฟ้าได้ง่ายดายยิ่งนัก ที่แท้ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้”

นางพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ

“ตอนนั้นครั้งท่านตาของเจ้าเสีย ข้าก็คิดว่าฟ้าถล่มลงมาแล้ว ตระกูลฟางต้องล้มแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ ต่อมาท่านลุงของเจ้าจากไปอีก ข้าก็คิดว่าฟ้าถล่มลงมาแล้วอีกครั้ง ตระกูลฟางคราวนี้ต้องจบสิ้นแล้ว แต่เจ้าดูตอนนี้ ทุกคนก็ยังใช้ชีวิตอยู่ดี ดังนั้น”

นางเม้มปาก มองคุณหนูจวิน

“ต่อให้เฉิงอวี่ตายไปเหมือนกัน ตระกูลฟางของพวกเราก็จะไม่ล้มเหมือนเดิม เจ้าก็วางใจพึ่งพิงมาเถอะ พวกเราเดิมทีอยากให้เจ้าไป ก็เพราะเจ้าอยากไป ในเมื่อเจ้าไม่อยากไป อยากรั้งอยู่ เช่นนั้นเจ้าก็ย่อมอยู่ได้ ไม่ต้องพูดว่าจะช่วยเฉิงอวี่”

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ

“ข้าไม่เชื่อ” นางเอ่ยขึ้น

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะแล้ว

“ข้าเป็นท่านยายของเจ้า ถ้าหากคำพูดที่ข้าบอกให้เจ้าอยู่ที่ตระกูลฟางอย่างวางใจเชื่อไม่ได้แล้ว ก็ไม่มีคำพูดของคนตระกูลฟางเชื่อได้แล้ว” นางเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินส่ายศีรษะอีกครั้ง

“ท่านยาย ไม่ใช่ข้าไม่เชื่อคำพูดนี้ของท่าน ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะทำให้ตระกูลฟางไม่ล้มได้” นางพูดเสียงนุ่ม “ท่านดู ศัตรูของท่านฆ่าท่านตาและท่านลุงต่อกันมาแล้ว น้องชายก็กำลังจะตาย ส่วนพวกท่านแม้แต่ศัตรูเป็นใครก็ยังไม่รู้ ไม่คิดว่าเป็นภัยคน กลับมองเป็นเพียงภัยพิบัติฟ้า ยังทำท่าจะขัดลิขิตฟ้าไม่ยอมแพ้ชะตาเสียอีก”

นางพูดถึงตรงนี้ก็มองนายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางที่ตาโตอ้าปากค้าง ทำหน้าไม่ถูกอยู่

“ตระกูลฟางที่เป็นเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นหนูที่ถูกแมวจับไว้อยู่หมัด ตนเองนึกว่าหนีรอด แต่ที่จริงเป็นแมวจงใจหยอกก็เท่านั้น ท่านยาย คำพูดที่ท่านบอกว่าข้าวางใจพึ่งพิงตระกูลของพวกท่านได้ ข้ายากจะเชื่อลงจริงๆ”

……………………………………….