Chapter 023

บทที่ 23 ความลับที่ถูกพูดออกมา

คุณหนูสามฟางจิ่นซิ่วไม่ได้อยู่ที่ห้องของตนเอง แต่เรียนการเขียนตั๋วเงินแบบต่างๆ ของร้านแลกเงินอยู่กับคุณหนูรองฟางอวี้ซิ่ว

นี่เป็นชีวิตปกติของบรรดาคุณหนูตระกูลฟาง ไม่ใช่ทำงานฝีมือสตรีหรือดีดพิณเล่นหมากคัดอักษรวาดภาพ แต่เป็นการศึกษากิจการต่างๆ ของร้านแลกเงิน

บรรดาสาวใช้คุยกันเสียงดังอยู่ริมหน้าต่างเรื่องที่ไม่อนุญาตให้ทุกคนเข้าไปที่สวนดอกไม้ เรื่องที่คุณหนูจวินด่าทอนายน้อยที่สวนดอกไม้ย่อมลอยมาเข้าหูฟางจิ่นซิ่ว

ฟางจิ่นซิ่ววางสมุดในมือลงกับโต๊ะ รีบลงจากเตียง ฟางอวี้ซิ่วรีบดึงนางไว้

“ท่านแม่ย่อมมีความคิดของนาง เจ้าอย่าไปพูดมาก” นางกล่าวขึ้น มองไปที่นอกหน้าต่าง “สาวใช้คนนั้นเป็นคนของท่านน้าหยวน”

คำพูดบางอย่างก็ไม่สะดวกพูดลึกลงไป อย่างไรคนที่นางหยวนคิดปกป้องก็คือมารดาบังเกิดเกล้าของตน

ฟางจิ่นซิ่วมองตามนางออกไปนอกหน้าต่าง

“ข้ารู้ นิสัยข้าหุนหันพลันแล่น นางชอบเอาข้าเป็นพลหอกประจัญบาน” นางพูด “นั่นเพราะมีบางเรื่องท่านแม่พูดไม่ได้ นางทำเพื่อท่านแม่ ข้าก็ทำเพื่อท่านแม่ ขอเพียงทำเพื่อท่านแม่ เพื่อตระกูลนี้ของพวกเรา ข้าเป็นหอกแล้วอย่างไร”

ฟางอวี้ซิ่วหัวเราะแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นเจ้ารีบไปรีบกลับ” นางพูดขึ้น หยิบสมุดบัญชีขึ้นมาในมืออีกครั้ง “การบ้านวันนี้ยังทำไม่เสร็จนะ”

เมื่อฟางจิ่นซิ่วมาถึงห้องของนายหญิงใหญ่ฟาง นายหญิงใหญ่ฟางกำลังพูดกับนายหญิงผู้เฒ่าฟางเรื่องบัณฑิตแห่งจ้าวโจว

“...อายุมากไปหน่อย ทั้งยังเป็นพ่อหม้าย ข้ารู้สึกว่าไม่ดี” นางพูด “เพียงแต่ก่อนสิ้นปีคนมีให้เลือกไม่มาก รอพ้นสิ้นปีไปค่อยให้แม่สื่อหาอีกที”

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะหยันขึ้นมา

“นางยังจะหาคนดีอะไรได้อีก” นางพูด “คนไม่ต้องเลือกแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไป

“จ้าวโจว...”

ยังไงจ้าวโจวไกลก็ไปหน่อย แล้วยังเป็นภาคเหนือ

นายหญิงใหญ่ฟางก้มหน้ากำลังจะเอ่ยปาก ฟางจิ่นซิ่วก็เดินเข้ามา

ต่อหน้าเด็กสาว เรื่องแต่งงานย่อมไม่อาจพูดได้ บทสนทนาของทั้งสองพลันหยุดลง

“ท่านย่าเจ้าคะ ให้พวกเราพี่น้องย้ายไปอยู่ที่เรือนเล็กได้หรือไม่เจ้าคะ” นางเปิดปากพูดตรงไปตรงมา “จะได้ให้คุณหนูจวินอยู่ที่บ้านให้สบาย ไม่ให้พวกเราไปขัดตานางเข้า”

นายหญิงใหญ่ฟางส่งสายตาเป็นนัยให้ฟางจิ่นซิ่ว

“ไม่เป็นไร นางเพียงคิดอยากใช้ลานฝึกยุทธ์ที่สวนดอกไม้ อยากเรียนยิงธนู” นางขัดคำพูดอมยิ้มพูดขึ้น “นี่ก็ดี อย่างไรก็ดีกว่าตัวเองหดหู่อยู่ในห้องคิดไร้สาระ”

“ท่านแม่ ท่านเอาใจนางเข้าไป นางอยากเรียนธนูที่ไหน นางกำลังหาเรื่อง ไล่ด่าเฉิงอวี่เป็นเจ้าง่อยที่สวนดอกไม้ ไม่ให้เฉิงอวี่มาที่สวนดอกไม้ สวนดอกไม้นี้มีแต่นางใช้ได้คนเดียว” ฟางจิ่นซิ่วพูดอย่างโมโห

นายหญิงผู้เฒ่าฟางขมวดคิ้วมองนายหญิงใหญ่ฟาง

“แค่บังเอิญพบกัน พูดกันสองสามประโยคเจ้าค่ะ ข้าถามแล้ว ไม่ได้ทะเลาะกัน” นายหญิงใหญ่ฟางรีบอธิบาย

“ท่านแม่ น้องเล็กนิสัยดีไม่ทะเลาะถึงสมควรโดนไล่ด่าทอ” ฟางจิ่วซิ่วพูดขึ้น ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมา “นางพูดแล้วพูดอีกเรียกเจ้าง่อย นี่ยังมีความเป็นคนสักนิดอยู่อีกหรือไม่”

เจ้าง่อย เจ้าง่อย สองคำนี้ฟังเข้าหูนายหญิงผู้เฒ่าฟางใยจะไม่ใช่การตบหน้า

นางยื่นมือมายกถ้วยชา กดอาการมือสั่นไว้

“ตามนี้แล้วกัน ตระกูลที่จ้าวโจวก็ดี” นางมองนายหญิงใหญ่ฟาง “เจ้ารีบไปจัดการ”

นายหญิงใหญ่ฟางรับคำ

“บัณฑิตคนนั้นกำลังจะออกเดินทางกลับไป รอข้ามปีคนจากจ้าวโจวฝั่งนั้นก็จะส่งคนมา” นางพูดขึ้นเสียงเบา

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยกชาจรดริมฝีปากแล้วก็วางลง

“ในเมื่อรีบกลับให้ทันสิ้นปี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรอปีหน้าแล้ว ก่อนสิ้นปีจัดการเรื่องให้เรียบร้อย สามีภรรยาจะได้กลับบ้านด้วยกัน” นางพูดขึ้นเสียงราบเรียบ

นายหญิงใหญ่สีหน้าลำบากใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังตอบรับ

แต่ฟางจิ่นซิ่วไม่รู้ว่าบัณฑิตจ้าวโจวอะไรนั่นที่พวกนางพูดถึงหมายถึงอะไร คิดว่าพูดถึงกิจการการค้าขายของตระกูล เอาแต่เร่งจะเอาคำตอบคำถามของตัวเอง

“ท่านย่า” นางรีบร้อนพูด “ท่านได้ฟังที่ข้าพูดหรือเปล่าเจ้าคะ? ท่านให้พวกเราไปที่เรือนเล็กเถอะ ข้าก็ไม่อยากเจอหน้านางอีก บ้านนี้ถึงจะใหญ่ ไม่มีที่ไหนนางจะไม่ไป ตอนนี้นางเกาะติดน้องเล็ก ล้อเลียนน้องน้องเล็กเป็นเรื่องสนุก หลอกน้องเล็กเล่นจะรักษาโรคให้เขา ถ้านางกรอกน้องเล็กกินยาจริงๆ พวกท่านจะห้ามหรือไม่ห้าม? ”

“นางคงไม่ก่อเรื่องถึงขนาดนั้น” นายหญิงใหญ่ฟางพูด

“ท่านแม่ ทำไมนางจะทำไม่ได้ นางถึงกับพูดว่าน้องไม่ได้เป็นโรคแต่ถูกพิษ” ฟางจิ่นซิ่วพูดอีก คิดถึงคำพูดที่เมื่อครู่ไปถามจากปากเด็กรับใช้ก็โกรธ

คำล้อเล่นที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกนี้ก็คือบอกกับคนที่กำลังจะตายว่าข้ารักษาเจ้าได้

“ความเป็นคนแม้แต่นิดนางก็ไม่...”

เสียงของนางยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ได้ยินเสียงสูงดังขึ้น ถ้วยชาแตกกระจายอยู่ที่พื้น น้ำชากระจายไปรอบ ด้านหน้ากระโปรงของฟางจิ่นซิ่วก็ไม่พ้น

ท่านย่าโกรธแล้วหรือ?

นางรีบมองไป กลับเห็นนายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ได้มีสีหน้าโกรธ แต่สีหน้าตกตะลึง มือยังกำอากาศค้างอยู่

เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่โกรธขว้างถ้วยชาแตก แต่เหมือนกับหลุดมือไป

“นางพูดอะไร? ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางถามขึ้น “เฉิงอวี่ถูกพิษ? ”

ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้ว

“ท่านย่า หรือท่านเชื่อคำพูดโกหกของนางเจ้าคะ?” นางถามขึ้น

นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ตอบนาง แต่มองไปทางนายหญิงใหญ่ฟาง นายหญิงใหญ่ฟางก็กำลังมองนาง สีหน้าของทั้งสองกลายมาสับสนพิกล

ไม่ใช่พวกนางเชื่อ แต่ที่จวินเจินเจินพูดไม่ใช่คำโกหก

คนอื่นไมรู้ แต่พวกนางทั้งสองคนรู้ โรคที่ฟางเฉิงอวี่เป็นอยู่เพราะว่าถูกพิษจริงๆ

เพราะเรื่องราวซับซ้อน เรื่องนี้จึงถูกปิดเป็นความลับเรื่องหนึ่ง คนที่รู้ความลับเรื่องนี้มีอยู่ไม่กี่คน จวินเจินเจินยิ่งไม่ใช่หนึ่งในบรรดาคนเหล่านี้

นางรู้ได้อย่างไร?

.................................................................

ยามที่แสงโคมไฟส่องสว่าง นางหยวนที่รอคอยอยู่ในห้องของนายหญิงฟางนวดดวงตา วางสมุดบัญชีในมือลง

“นายหญิงคืนนี้ไม่กลับมาแล้วหรือ? ” นางถามขึ้น

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหลายปีมานี้ร่างกายไม่ดี บางครั้งนางหญิงใหญ่ฟางก็รั้งอยู่ข้างกายนางปรนนิบัติ

สาวใช้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ในห้องเดินออกไปถามประโยคหนึ่งก็กลับมาส่ายศีรษะ

“นายหญิงไม่ได้บอกเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้น

นางหยวนขมวดคิ้ว ถ้าอย่างนั้นก็ยังคุยธุระอยุ่

“คุณหนูสามไปที่นายหญิงผู้เฒ่าทางโน้นแล้วหรือเปล่า?” นางถามขึ้นอีก

สาวใช้พยักหน้า

“ตอนบ่ายก็ไปแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบ

ถ้าอย่างนั้นเกิดอะไรขึ้น? เรื่องแต่งงานของคุณหนูจวินนายหญิงผู้เฒ่าอนุญาตแล้ว ตระกูลของคนที่เลือกก็พูดเหตุผลสนับสนุนได้ พูดตามหลักแล้วนายหญิงผู้เฒ่าก็ไม่ใช่คนที่ตัดไม่ขาด ทั้งยังมีเรื่องไปถึงฟางเฉิงอวี่แล้ว กล่อมนางให้คุณหนูจวินแต่งงานก่อนสิ้นปียากขนาดนั้นเชียวหรือ?

ตอนที่แสงบนท้องฟ้าขมุกขมัว คนที่อยู่ในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าลุกขึ้นเดินไปมา

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเป็นคนมีวินัยกับตัวเอง ตั้งแต่สิบห้าปีก่อนนายท่านฟางถูกโจมตีเสียไป นางก็นอนเช้าตื่นเช้า หนึ่งวันสองมื้ออาหาร สามวันไปเดินเล่นชกหลักไม้ที่สวนดอกไม้ ฤดูหนาวฤดูร้อนไม่เคยเปลี่ยน ลมฝนก็ขวางไม่ได้

เพียงแต่วันนี้นายหญิงผู้เฒ่าฟางที่ตื่นมาแต่เช้าไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า สาเหตุคงเป็นเพราะเมื่อวานนอนดึก

ท่าทางของนายหญิงใหญ่ฟางยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เมื่อวานนางแทบไม่ได้นอน

“นี่ก็แค่คำล้อเล่น คำพูดส่งเดช”

ตอนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็พูดกับนายหญิงใหญ่ฟางขึ้นมา ครุ่นคิดมาหนึ่งคืนในที่สุดก็มีข้อสรุปให้เรื่องเมื่อวาน

นายหญิงใหญ่ฟางกำตะเกียบ

“แต่นางจับชีพจรแล้ว” นางอดไม่ได้พูดขึ้นมา

“นั่นนางทำเพื่อหลอกเฉิงอวี่” นายหญิงผู้เฒ่าฟางลงความเห็นเด็ดขาด “ก็เหมือนกับที่นางเอาเชือกแขวนคอที่โรงเตี๊ยมเป่ยหลิว”

นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าหดหู่อยู่บ้าง

“พวกเราคิดมากเกินไปแล้ว ถ้านางตั้งใจพูดประโยคนี้จริง เช่นนั้นตอนนี้ก็ควรมาหาคุยเงื่อนไขกับพวกเราแล้ว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางผ่อนน้ำเสียงอ่อนลงพูดขึ้น “เพราะห่วงใจจึงวุ่นวาย เพราะประโยคพูดส่งเดชประโยคเดียวของนาง สติปัญญาของพวกเราก็ว้าวุ่น นี่ช่างน่าขำเหลือเกิน”

เรื่องนี้น่าขำอย่างแท้จริง นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มขมขื่นนิดนึงพยักหน้า

“กินข้าวเถอะ” นายหญิงผู้เฒ่าพูดขึ้น “กินข้าวแล้วไปจัดการเรื่องแต่งงานของคุณหนูจวิน ข้าจะไปร้านแลกเงิน นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่พวกเราควรทำ”

นายหญิงใหญ่ฟางรับคำ ลุกขึ้นตักกับข้าวให้แก่นายหญิงผู้เฒ่า หลังจากนั้นตนเองก็นั่งลง แม่สามีลูกสะใภ้นั่งตรงข้ามกันกินข้าวท่ามกลางความเงียบงัน

หลังกินข้าวนายหญิงผู้เฒ่าฟางก็นั่งรถไปร้านแลกเงิน นายหญิงใหญ่ฟางก็เดินไปทางเรือนของตัวเอง ระหว่างที่เดินก็จัดการสั่งงานในบ้านจนเรียบร้อย เวลาเดียวกันก็จัดรถไว้พร้อม เช่นนี้รอนางกลับเรือนไปสั่งงานกับนางหยวนชัดเจน นางหยวนก็ออกไปได้ทันที ส่วนนางจะไปคุมลูกสาวสามคนร่ำเรียนด้วยตัวเอง

นี่ถึงจะเป็นชีวิตประจำวันของพวกนางแม่สามีลูกสะใภ้

แต่ระหว่างที่เดินผ่านลานแห่งหนึ่งนั่นเอง นายหญิงใหญ่ฟางก็ทนไม่ไหวมองไปทีหนึ่ง

“คุณหนูจวินกำลังทำอะไร” นางถามขึ้น

มีคนรับผิดชอบสอดส่องการกระทำของคุณหนูจวินโดยเฉพาะ เมื่อนายหญิงใหญ่ฟางถามขึ้น ครู่หนึ่งก็มีคนตอบออกมา

“คุณหนูจวินหลังตื่นนอนไปเดินที่สวนดอกไม้ ชกหลักไม้ หลังจากนั้นก็ยิงธนู แล้วจึงกลับห้อง เพิ่งทานสำรับเจ้าคะ” หญิงรับใช้พูดขึ้น

สีหน้าที่เดิมทีกลับมาสงบของนายหญิงใหญ่ฟางเปลี่ยนกลับมาพิกลอีกครั้ง

“ตอนนี้ล่ะ” เทพผีดลใจให้นางถามขึ้นมาอีกประโยค

“ตอนนี้คุณหนูจวินกำลังอ่านหนังสือ” หญิงรับใช้พูด ชะงักไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเสริมมาอีกหนึ่งประโยค “แล้วยังให้หาเข็มทองชุดหนึ่ง”

เข็มทอง

มีเพียงรักษาโรคเท่านั้นถึงใช้เข็มทอง

ราวกับมีเข็มทองทิ่มบนหัวใจนาง จิตใจที่เดิมทีหนักแน่นแล้วของนายหญิงใหญ่ฟางฉับพลันก็พังครืน

นางหมุนตัวเดินก้าวยาวกลับไปเดินเข้าไปในเรือนที่คุณหนูจวินอยู่ ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของหญิงรับใช้และสาวใช้ทุกคน

……………………………………….