บทที่ 14 สิ่งผิดปกติ

ตอนที่ 14 สิ่งผิดปกติ

หวังหลินรู้สึกอบอุ่นหัวใจ หลังเกิดเรื่องทั้งหมดก็กินเวลายาวนานเกือบเดือน เขาได้รับแต่เรื่องดูถูกเหยียดหยามรอบตัว แต่เมื่อกลับมาบ้านก็ได้รับความรู้สึกอบอุ่นของครอบครัว

“น้องสอง หวังหลินได้เป็นศิษย์สำนักเซียนแล้วจริงๆ พี่หกเจ้าแค่ตาบอดและพูดจารุนแรงไปบ้าง ข้าหวังว่าน้องจะไม่เก็บไปคิดมากนะ เจ้าก็รู้ว่าข้ามันปากแข็งแต่จิตใจอ่อนแอ ก็เพื่อทำให้หวังหลินได้ดิบได้ดีนี่แหละ”

“น้องสอง ตอนที่ข้าบอกกับลูกสาวตัวเองว่าไม่ให้นางหมั้น นางตกใจและพูดว่าต้องแต่งกับไท้จูให้ได้ ตอนนี้เราทั้งคู่คิดว่าการแต่งเป็นเรื่องที่ดีแล้วหละ”

“เหล่าเอ้อ ลุงแก่ขึ้นทุกวัน ตระกูลหวังขึ้นอยู่กับลูกหลานในอนาคต ในชีวิตลุงรู้สึกว่าลูกของเจ้ามีพรสวรรค์มากมายอย่างเห็นได้ชัด ข้าคิดว่าลูกของเจ้าดีกว่าลูกพี่ใหญ่เสียอีก”

ครอบครัวหวังหลินมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น หลังจากนั้นไม่นานกระเช้าวันเกิดก็ถูกส่งมาให้ พวกญาติๆต่างสรรเสริญหวังหลินเต็มที่ หลังจากกินดื่มไปได้เพียงเล็กน้อย พวกนั้นก็ตะโกนให้พ่อหวังหลินซึ่งออกจากตระกูลไปควรกลับมาเรียกร้องส่วนแบ่ง พ่อของหวังหลินยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร เขารู้ว่าความสัมพันธ์ตอนนี้ดีที่สุดแล้ว

ที่สำคัญต่อจากนั้นคือเขาไม่ต้องสนใจอะไรมากมาย เขาแค่ต้องการให้ลูกชายเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเต็มภาคภูมิ แค่นั้นที่เขาต้องการ

หลังวันที่มีชีวิตชีวาผ่านไปแล้ว พอถึงเวลาค่ำพวกญาติๆก็จากไป หวังหลินมองไปที่ลานกว้างหน้าบ้านเห็นของขวัญเล็กใหญ่เต็มไปหมด เขาถอนหายใจ จำได้จากหนังสือว่า ยามใดที่ใครประสบความสำเร็จก็เหมือนติดปีกและขึ้นสู่สวรรค์ เขาก็พึ่งมาเข้าใจวันนี้แหละ

ตอนกลางคืนพ่อแม่ถามเขาเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ที่สำนัก หวังหลินมองพ่อกับแม่ที่ตาเป็นประกาย โกหกไปว่าเป็นครั้งแรกที่เคยเข้าไปและอธิบายว่ามีอะไรที่นิยมมากในสำนัก ฝึกเทคนิคเซียนยังไง พ่อแม่ก็ตั้งใจฟังเขาไม่ให้ตกหล่นเลยสักคำ

สำหรับครอบครัวเขา ถ้าจะมีการเยาะเย้ยและถูกประชดว่าเป็นศิษย์สายนอก เขาก็จะกัดฟันและอดทนกับมัน ในวัยเด็กหวังหลินไม่เคยทำให้ครอบครัวมีความสุขสักครั้ง

“มันก็แค่สิบปี แค่นี้ทนได้น่า!” หวังหลินตั้งใจแน่วแน่

หวังหลินพักที่บ้านกับพ่อแม่เป็นเวลาสองวัน วันที่สามตอนเช้าเขาก็บอกลาครอบครัวและคนในหมู่บ้าน พลางแปะยันต์เซียนบนขาตัวเองและจากมา

เมื่อเขาออกมาได้ไกลพอ เสียงต่างๆจากหมู่บ้านได้ลดน้อยลง

วันนี้เริ่มมืด เมฆสีดำดูเหมือนก้อนหินใหญ่ยักษ์ บนท้องฟ้าสายฟ้าเป็นประกาย ความชื้นเพิ่มขึ้นและมีหมอกหนาแน่น

หวังหลินได้แต่ก้าวไปข้างหน้า สุดท้ายก็ถึงสำนักเหิงยั่วในตอนเที่ยงคืน หวังหลินนอนลงบนเตียงได้ยินแต่เสียงกรนของจางฮู่ เขาไม่ได้หลับเนื่องจากมีเสียงอึกทึก จากนั้นสายฟ้าก็ผ่าลงมาจนต้องจุดไฟมองไปที่หน้าห้อง หวังหลินหยิบลูกปัดบนหน้าอกออกมา เขาเคยถามแม่ว่ามีอะไรพันลูกปัดได้บ้างและก็ได้กระเป๋าผ้าใบเล็กมา

หวังหลินหยิบหินลูกปัดและเรียนรู้มันจากแสงไฟในตะเกียงน้ำมัน เขาจ้องมองมันตาไม่กระพริบ จากนั้นจึงได้เห็นก้อนเมฆลูกปัด

“นี่มันไม่ถูก ข้าจะได้ว่าครั้งล่าสุดมันมีแค่ห้าก้อน แต่ตอนนี้มีหกก้อน” หวังหลินตกใจและนับดูอีกที แต่ยังไงก็ได้หกก้อน

เขารู้สึกตกใจมากและอดไม่ได้ที่จะคิดหาเหตุผล เมื่อมันเพิ่มขึ้นเขาก็อยากรู้อยากเห็นความลับของลูกปัดก้อนนี้ หวังหลินวางมันกลับไว้ในกระเป๋า ปิดตะเกียงน้ำมันและเข้าหลับทันที

ข้างนอกมีเสียงลมแรงปะทะไปมา เสียงฟ้าร้อง เสียงสายฟ้าฝ่าดังสนั่นและเสียเม็ดฝนที่ตกลงมา สายฝนตกกระแทกไปยังหน้าต่าง หวังหลินตื่นขึ้นในทันทีจากความหนาวเย็นที่ปะทุขึ้น เขาลืมตาและเกิดอาการมึนงง

แสงที่ห้องส่องสว่างขึ้นทั้งยังเต็มไปด้วยหมอกหนาแน่น โต๊ะ พื้นห้องและกระทั่งเตียงได้เปียกไปหมดยกเว้นจุดที่เขาวางลูกปัดไว้ หวังหลินตัวแห้งเรียบร้อย เขามองไปที่จางฮู่และเห็นร่างกายปกคลุมไปด้วยหมอกขาว ชุดเขาก็เปียกไปหมด ร่างกายดูหนาวเหน็บและกัดฟันอย่างหนัก

“จางฮู่! เฮ้ จางฮู่!” หวังหลินตกใจและรีบประคองพลันเขย่าจางฮู่อยู่หลายครั้งเพื่อปลุกให้ตื่นแต่เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงดี จางฮู่ไม่มีสัญญาณว่าจะตื่นขึ้นเลย ลมหายใจเขาก็อ่อนลง

หวังหลินตื่นตระหนกอีกรอบและกำลังจะไปตามคนอื่นมาช่วย แต่ขณะนั้นเองก็เริ่มสงสัยเมื่อใช้มือสัมผัสกับเสื้อผ้า

“ทำไมมันไม่เกิดอะไรขึ้นกับข้าเลย แม้ว่าจะอยู่ในห้องเดียวกัน ผ้าปูที่นอนเต็มไปด้วยน้ำที่เปียกโชก แต่พื้นที่อื่นๆกลับไม่ได้เปียกเลย” หวังหลินตัวสั่น จากนั้นหยิบลูกปัดหินออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

เวลาเดียวกันนั้นเองหยดน้ำทุกหยดได้สั่นสะท้านและเริ่มลอยอย่างช้าๆ กระทั่งหมอกสีขาวบนจางฮู่ก็กลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำเช่นเดียวกัน

ประกายสายฟ้าแปลบปลาบอีกครั้งและหวังหลินสังเกตเห็นว่าหยดน้ำพวกนี้ช่างดูเหมือนผลึกและพุ่งเข้าหาลูกปัดในมือ

หวังหลินรีบโยนลูกปัดออกอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกหนีหยดน้ำ

หินลูกปัดลึกลับกลับตกลงเป็นวิถีโค้ง หมุนไปที่มุมหนึ่งก่อนจะลงกระแทกพื้น ทุกหยดน้ำยังเข้าไปในลูกปัดและหายไปอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดน้ำในห้องก็หมดลง แม้แต่เตียงทั้งสองคนก็ยังแห้ง ลมหายใจของจางฮู่กลับมาเป็นปกติ

เวลาผ่านไปสักพัก พายุฝนฟ้าคะนองยังคงโผล่ขึ้นมาด้านนอกแต่สภาพอากาศไม่ดำมืดอีกแล้ว แสงจันทราส่องทะลุผ่านเข้ามา หวังหลินยืนขึ้นและเดินเข้าไปหยิบหินลูกปัดอย่างลังเล เมื่อเข้าไปสังเกตใกล้ๆจึงรู้ว่าอะไรเปลี่ยนไป

ตอนนี้เมฆเพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดแล้ว!

เหตุการณ์นี้ทำให้หวังหลินไม่เพียงอยากรู้เพิ่มขึ้น แต่ยังเห็นร่องรอยของความน่ากลัวของลูกปัดลึกลับก้อนนี้ ถ้าเขาไม่ได้ตื่นขึ้นมานำลูกปัดออกไป จางฮู่ก็คงแข็งตายแล้ว

แต่ทำไมตัวเขาเองถึงไม่โดนผลกระทบไปด้วย หวังหลินคาดไว้ว่าอาจเป็นเพราะเขาได้ดื่มน้ำจากหยดน้ำค้างมามากจากการผสมของหินลูกปัด

เรื่องเมฆบนลูกปัด หวังหลินให้ความสนใจมากที่สุดว่าเมฆพวกนี้มีหน้าที่อะไร สุดท้ายเมื่อเขาคิดอะไรไม่ออกก็ตัดสินใจว่าจะไม่ให้ลูกปัดออกมาอีกครั้งเพื่อดูดซับน้ำฝนมากขึ้นและเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์น่ากลัวแก่ทุกคน

หลังจากลังเลชั่วครู่ หวังหลินจึงเก็บหินลูกปัดไว้ในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ไม่นานจากนั้น แสงอรุณรุ่งก็มาถึง หวังหลินกำลังจะออกไปทำงานของตัวเองแต่ในขณะนั้นจางฮู่ก็ดีดผึงออกจากเตียง “น้ำ! น้ำ! ข้าจะแห้งตายแล้ว!”

………………………………………..