บทที่ 52 ลงสนาม (2)

ตอนที่ 52 ลงสนาม (2)

โจวเผิงหัวเราะเยาะ “ข้าสามารถล้มเจ้าได้เพียงแค่ลมหายใจเดียว ยืนให้มั่นซะ!” เขาสูดหายใจลึก ร่างกายราวกับเป็นหลุมอันไร้ที่สิ้นสุด เสื้อผ้าของเหล่าศิษย์ที่สังเกตอยู่ต่างโบกสะบัดเป็นเสียงลมราวกับถูกเป่า

หวังหลินไม่เคยสู้กับใครมาก่อน ดังนั้นจึงพูดได้ว่าเขาไม่กังวลว่าจะเกิดอะไรผิดพลาด หวังหลินตั้งสมาธิ ใช้พลังทั้งหมดไปที่วิชาแรงโน้มถ่วงและพัดกระพือออกมา

เพื่อให้แน่ใจ หวังหลินหยิบระเบิดกลิ่นเหม็นออกมาลูกนึงด้วย ลบสัมผัสของหลี่ชานออกและโยนออกไป

ตูมมมมมมม!

เสียงระเบิดดังกึกก้อง เมื่อระเบิดกลิ่นเหม็นระเบิดขึ้น ร่างโจวเผิงกระเด็นออกไปจากควันขโมงสีดำ ร่างกายราวกับถูกทุบด้วยค้อนหนักลงบนพื้น ทั่วร่างปกคลุมด้วยโคลนสีดำเผยอาการตกตะลึงเหมือนซุนเฮ่า

งูเหลือมยักษ์บนอากาศได้จางหายไปทันที

ระเบิดนี้สร้างความตกใจให้กับเหล่าสำนักเหิงยั่วอย่างมาก จิตใต้สำนึกของพวกเขาหันไปทางจ้าวสำนักและพบกับใบหน้าแข็งค้าง ทุกคนตอนนี้มีแต่ความเงียบเชียบ

ฮวงหลงตกตะลึง เขาคิดขึ้นมา “นี่...นี่มัน....” จิตใจตกอยู่ในความสับสน หูอื้ออึงราวกับถูกสายฟ้าฝ่าลงกลางศีรษะ

“ไม่มีทาง! หวังหลินกลายเป็นแข็งแกร่งแบบนี้ได้อย่างไรกัน?! ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงหัวหน้าศิษย์ของสำนักซวนต้าวเชียวนะ!” ต้าวซิ่วไม่เชื่อสายตาตนเอง

จางขวงคนที่นำหวังหลินมาสู่สำนักเหิงยั่ว เขาเผยอาการตื่นตกใจพลันคิดขึ้น ‘ศิษย์น้องหวังคนนี้ เป็นคนที่ข้าบอกให้ฝึกฝนอย่างหนักจริงๆน่ะหรือ? เขาเพียงขั้นรวบรวมลมปราณระดับสาม มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง...’

“เขาคือหวังหลินรึ? คนที่เข้าสำนักมาได้เพราะพยายามฆ่าตัวตายคนนั้น...เศษขยะนั่นน่ะนะ?” ผู้อาวุโสใบหน้าแตกตื่นตะลึง เขาอ้าปากค้างแทบจะลืมหายใจ

“เหลือเชื่อเกินไป….” ผู้อาวุโสซ่งที่ยืนอยู่ก็แข็งค้างไปชั่วขณะ

หวังจัวตะลึงด้วยเช่นกัน ใบหน้าเขาแข็งค้างราวกับหุ่นขี้ผึ้งและทบทวนขึ้นในใจ “หวังหลิน? ไอ้ขยะคนนั้น?” เขาส่ายหัวไล่ความคิดออก รู้สึกว่าเรื่องนี้ไร้เหตุผลสิ้นดีพลางบอกตัวเองว่าเป็นแค่ความฝัน เป็นภาพมายา

แม่นางซิ่วเอามือป้องปากพึมพำออกมา “เป็นแบบนี้ได้เช่นไร...หวังหลินกลายเป็นแข็งแกร่งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน….เห็นได้ชัดว่าเขาเพียงอยู่ระดับสาม”

ซุนต้าซื่อกุมขมับและพึมพำออกมา “นี่มันภาพลวงตา ข้าต้องเจอภาพหลอนแน่! ทำไมภาพหลอนจะเกิดตอนกลางวันแสกๆแบบนี้ได้ยังไง? นั่นมันศิษย์ข้ารึ?”

แม่นางโจวจ้องไปที่หวังหลิน ในหัวกลายเป็นขาวโพลน

จางขวงตื่นขึ้นเรียบร้อยแต่เขายังกลัวว่าจะเสียหน้าจึงได้แกล้งเป็นหมดสติไป แต่จ้องมองไปที่หวังหลินก็ต้องเบิกสายตากว้างขึ้นและคิดได้ว่า ‘ใช่ มันเป็นเขา! มันต้องเป็นเขา!’

“ความฝัน! ข้าต้องฝันอยู่แน่ๆ!” ชายวัยกลางคนที่รับลูกเหล็กของหวังหลินไปพูดขึ้น

ปฏิกิริยาของหลิวโม่วไม่เหมือนคนอื่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อหวังหลิน หลิวโม่วมองไปยังหวังหลินและคิดขึ้นได้ว่า “เกิดผู้เชี่ยวชาญแบบนี้ในเหล่าศิษย์สายในเมื่อไหร่กัน? ฮึ่ม! ทำไมเหล่าผู้อาวุโสไม่ส่งเขาไปแทนที่จะส่งข้าออกไปคนแรก?!”

“การทดสอบที่ผ่านมาของข้าผิดพลาดงั้นหรือ? หรือว่าจริงๆแล้วหวังหลินมีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม?” ผู้อาวุโสลำดับสามของคลังสมุนไพรคิดขึ้นเมื่อเขาเห็นฉากสุดตะลึง

เหล่าศิษย์สายในทุกคนยังนิ่งค้าง ตื่นตกใจกันทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่เหล่าสำนักซวนต้าว ผู้อาวุโสโอวหยางเบิกตากว้าง โจวเผิงเป็นศิษย์เอก และเป็นที่รู้กันว่าเขาเป็นอันดับหนึ่งในโลกเซียนของแคว้นจ้าว

พลังที่แท้จริงของเขาคือขั้นรวบรวมลมปราณระดับสิบสาม แต่กลับพ่ายแพ้? ถ้าหากผู้อาวุโสสำนักเหิงยั่วลงมือเองก็คงจะดี แต่นี่เป็นคนอื่นที่แม้แต่เหิงยั่วยังเรียกว่าขยะ! มันต้องเป็นเพราะโจวเผิงประมาทแน่ๆ มันต้องเป็นแบบนั้น!

ผู้อาวุโสอีกสองคนมองหน้ากัน พวกเขาไม่ได้ใช้เสียงอันใด การประลองนี้แปลกประหลาดมากเกินไป ตกใจจนพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

หลิวเฟิงมองหวังหลินอย่างล้ำลึก ลอบดีใจที่ไม่ได้ออกไป ไม่เช่นนั้นเขาคงได้เจอโชคชะตาแบบเดียวกัน แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหวังหลินถึงถูกเรียกว่าขยะในสำนักเหิงยั่วทั้งที่แข็งแกร่งเช่นนั้น หลังจากสังเกตท่าทีของสำนักเหิงยั่วแล้ว ดูเหมือนว่าเขาได้แกล้งตบตาหรือเพราะว่าพี่โจวเผิงประมาทจริงน่ะหรือ? ไม่ว่าเขาจะมองหวังหลินยังไง ก็เห็นได้ชัดว่าอยู่เพียงแค่ระดับสามเท่านั้น

เหล่าศิษย์คนอื่นๆก็คิดคล้ายๆกับที่หลิวเฟิงคิดว่าพี่โจวเผิงแค่ประมาท ปฏิเสธความเชื่อว่าเขาพ่ายแพ้หวังหลินจริงๆ

ใบหน้าอ้อนแอ้นของหลิวเหมยกลายเป็นกระวนกระวายใจ นางคิดว่ามันแตกต่างจากที่ทุกคนคิด นึกถึงวันแรกที่หวังหลินสบตากับนาง และตอนนี้นางก็มองหวังหลินอย่างสนใจ

ตอนนี้เหล่าศิษย์ทั้งหมดที่ตื่นตะลึง หลี่ชานนับได้ว่าเป็นคนที่ตกใจมากที่สุด ร่างกายอ่อนแอปวกเปียกและตกลงไปบนพื้น พึมพำกับตัวเอง “จบแล้ว มันจบสิ้นหมดแล้ว! ข้าขายระเบิดให้กับเขาและเขาก็ใช้มันกับพี่ใหญ่! พี่ใหญ่พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว ข้าต้องคิดหาวิธีเจรจา!”

“หลี่ชาน หลี่ชาน ทำไมแกคิดไม่ได้ว่าหวังหลินแกล้งเป็นหมูเพื่อที่จะกินเสือนะ? หวังหลิน เจ้าช่างร้ายกาจนัก ช่างน่าอับอายและน่ากลัวด้วย! เจ้าทำให้ข้าตกอยู่ในที่นั่งลำบาก….ทำไมข้ายังอยู่ที่ซวนต้าว? พี่ใหญ่ต้องไม่ยกโทษให้ข้าแน่!”

“ไม่สิ ข้าต้องคิดหาทางล้างคราบสีดำและกลิ่นเหม็นนั้นออก...ข้า...นี่มันโคลนดำที่ข้าทำด้วยความภาคภูมิใจ! อาบน้ำไปครึ่งปีก็ไม่มีทางรักษาได้!”

“และกลิ่นนี้ข้าก็พัฒนามาจากการขโมยหญิงสาวคนอื่น แม้แต่ข้าก็ไม่อยากแตะต้อง ทางเดียวที่จะขจัดกลิ่นเหม็นนี้ได้คือไปยืนบนอุโมงค์ลมหนึ่งเดือน ไม่มีทางอื่นแล้ว...ข้าจบแล้ว….จบแล้วววววววว!”

ในขณะนั้น โจวเผิงก็ตื่นขึ้น เขาหมดสติจากกลิ่นคละคลุ้งและตะโกนขึ้น “หลี่ชาน! ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า!”

หลี่ชานอ่อนแรงจนยืนแทบไม่ได้ เขาร้องไห้ไปด้วย “พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว พี่ใหญ่โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถอะ! ข้าจะไม่หาประโยชน์จากการโกงแบบนี้อีกแล้ว!”

ใบหน้าโจวเผิงเต็มด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาเคลื่อนร่างราวกับสายฟ้าขณะที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยโคลนและกลิ่นเหม็นเน่าเต็มจมูก โจวเผิงเคลื่อนร่างไปบนลานประลองและตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “หวังหลิน นี่ไม่นับ! ข้ายังไม่พร้อมและเจ้าโจมตีก่อน! ข้าจะออกไปสู้อีกครั้ง คราวนี้เจ้าห้ามโจมตีก่อน!”

……………………………….