ตอนที่ 93 สำนักซากศพ (2)
ใบหน้าบุรุษร่างสีฟ้าเปลี่ยนไป เขาดึงเก้ายันต์เซียนออกจากร่าง จากนั้นกระโดดไปจับหวังหลิน ฉีกบอลสีแดงออกโดยไม่ลังเล
หวังหลินตื่นขึ้นมา สังเกตใบหน้าหวาดกลัวของบุรุษสีฟ้าได้จึงยอมให้ตัวเองลงไปจากรูปปั้น
ขณะที่ทั้งสองถึงพื้น ร่างประหลาดสร้างผนึกวางมือตัวเองบนรูปปั้น ประตูสีดำปรากฏและเขาลากหวังหลินเข้าไปข้างใน
ขณะเดียวกันแสงทั้งแปดเสาก็หายไป รูปปั้นเริ่มจมลงพื้นอย่างช้าๆ
บุรุษหนุ่มร่างแข็งตึง ใบหน้าเย็นยะเยือก มีผีดิบอยู่ข้างเขาเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง
บุรุษหนุ่มจ้องรูปปั้นที่กำลังจมอย่างช้าๆ เขาปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณออกมาครอบคลุมทั่วบริเวณ จากนั้นก็หันกลับมาจ้องรูปปั้น
ส่วนหวังหลิน ขณะที่โดนลากเข้าไปในรูปปั้น เขาปล่อยสัมผัสวิญญาณออกมาและตกตะลึง
พื้นที่ด้านในรูปปั้นไม่ได้ใหญ่มาก มีผลึกสีขาวและดำลอยทั่วบริเวณ รวมทั้งหินรูปร่างคนที่นั่งอยู่ตรงกลาง
ภาพลักษณ์ของหินรูปร่างคนนี้เหมือนกับรูปปั้นข้างนอกมาก มีเส้นสีม่วงไม่กี่เส้นที่เชื่อมต่อกันกับหินรูปร่างคนกับรูปปั้น
ไม่นานนักม่านแสงปรากฏขึ้นในอากาศ แสงแปรผันไปเล็กน้อยและฉายเป็นฉากเหตุการณ์ข้างนอก
หวังหลินเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นจากข้างนอก เขามองบุรุษสีฟ้าและเห็นแววตาเกลียดชัง
ชายหนุ่มด้านนอกรูปปั้นพลันยืนขึ้น “นายท่าน ร้อยปีได้ผ่านไปไวนัก ครั้งนี้ท่านจะไม่สามารถหนีไปไหนได้อีกแล้ว!”
หวังหลินสูดหายใจมองไปรอบๆและจ้องที่บุรุษสีฟ้า “เจ้าคือนายของเขาหรือ?”
บุรุษสีฟ้าจ้องหวังหลินอย่างเอ๋อๆ ขณะนั้นเองแววตาหวังหลินส่องสว่างและเขาปล่อยแสงสีเขียวสว่างวาบข้ามผ่านอากาศพุ่งไปที่หินรูปร่างคนซึ่งกำลังนั่งอยู่กลางอากาศอย่างรุนแรง
ลำแสงสีม่วงปรากฏขึ้นป้องกันกระบี่ แต่กระบี่ได้เคลื่อนที่พริบตาผ่านลำแสงสีม่วงนั้นและแทงเข้าที่หิน
พลันเกิดเสียงคำรามรุนแรงดังกึกก้อง ก้อนแสงผุดออกมาจากหินรูปนั้น หวังหลินโบกแขน กระบี่เหินพุ่งเข้าใส่ก้อนแสงทันที
ในที่สุดบุรุษร่างสีฟ้าก็ตอบสนอง สายตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เขาจ้องไปที่หวังหลินด้วยความโกรธลึกๆ พลางชี้นิ้วไปเป็นกระบี่และตะโกนออกมาสองสามครั้ง
หวังหลินตกตะลึง ขณะเดียวกัน น้ำเสียงแหบพร่าดังออกมาจากก้อนแสงด้วย
“สหายตัวน้อย โปรดอย่าวู่วาม ข้าคือเจ้านายของคนด้านนอก...” ขณะเดียวกัน ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนรวบรวมจากทุกทิศทางอย่างช้าๆ ก้อนแสงกลายเป็นบุรุษตัวเล็กหนึ่งฟุต
คนร่างเล็กนั้นดูอ่อนแอมาก ใบหน้าขาวซีดและดูเหมือนเด็กน้อย ร่างเล็กหลบหลีกกระบี่เขียวพลางมองหวังหลินไปด้วยใบหน้าซีดเผือด
บุรุษร่างสีฟ้าปล่อยเสียงคำรามด้วยความโกรธ ป้องกันกระบี่เหินไปด้วย
หวังหลินถอยหลังออกมาสามก้าว รอให้ร่างเล็กคนนั้นพูดขึ้น เขาโบกแขนให้กระบี่เหินกลับมาด้านข้าง ลอยเป็นวงกลมรอบตัวพร้อมกับชี้ปลายไปที่ร่างเล็กคนนั้น
บุรุษร่างสีฟ้าเดินไปที่ชายร่างเล็ก ตะโกนขึ้นด้วยความโกรธไปที่หวังหลิน สายตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
ร่างเล็กคนนั้นหัวเราะอย่างขมขื่น ร่างกายลอยขึ้นจากพื้น วางบนไหล่ของบุรุษร่างสีฟ้า “อาไต(阿呆 Ādāi) อย่าเสียมารยาทกับแขกของเรา”
บุรุษร่างสีฟ้าผ่อนคลายลง แต่เขายังมองดูหวังหลินอย่างระมัดระวัง
ร่างเล็กถอนหายใจ เขามองไปที่หวังหลินและพูดอย่างอบอุ่น “สหายตัวน้อย ได้โปรดอย่าใจร้อน ข้า...”
ก่อนที่จะทันได้พูดจบ บุรุษข้างนอกได้พูดประโยคประหลาด ขณะที่เขาพูดออกมา ทั้งรูปปั้นได้สั่นสะเทือนและหยุดลง
ใบหน้าชายร่างเล็กพลันเปลี่ยนไปทันที เขาผนึกฝ่ามือขึ้นพลางปล่อยควันสีม่วงออกมาเข้าไปในรูปปั้น
ดวงตาของรูปปั้นส่องแสงสีม่วงและจมลงต่อไป
บุรุษหนุ่มคว้าจับอากาศ รูปปั้นได้สั่นสะเทือนอีกครั้ง มันเริ่มจะจมช้าลง ขณะเดียวกันเขาก็ผนึกฝ่ามืออีกหลายชั้น รูปปั้นยังคงสั่นอยู่แต่ยังยืนไม่ไปไหน
ชายร่างเล็กข้างในรูปปั้นดูโล่งใจ แต่ดูเขาเหนื่อยมากกว่าเดิม จากนั้นพูดกับหวังหลิน “รูปปั้นนี้สามารถทนการโจมตีของอามู่(阿木 Āmù)ได้หนึ่งชั่วยาม นั่นเพียงพอที่ข้าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เจ้าได้”
หวังหลินจ้องชายร่างเล็กโดยไม่ได้พูดอะไร
ชายร่างเล็กถอนหายใจและพูดขึ้น “ข้าชื่อหวูอวี่(吳宇 Wúyǔ) ไม่ทราบว่าสหายตัวน้อยเคยได้ยินสำนักซากศพมาก่อนไหม?”
หวังหลินเผยใบหน้านิ่ง กระบี่เหินอยู่ข้างกายแต่ก็ส่ายหัวศีรษะ
หวูอวี่ยิ้มอย่างขมขื่น “สหายตัวน้อยไม่ต้องตื่นตัว ข้าเป็นเพียงเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่ไม่มีร่างกาย ทั้งยังใช้พลังมาหลายปี ข้าไม่ได้คุกคามเจ้า แต่จะเป็นกระบี่เจ้าที่เกือบสังหารข้าได้”
สายตาหวังหลินส่องสว่าง ครุ่นคิดเล็กน้อยจึงเอ่ยถามขึ้น “คนด้านนอกนั่นเป็นใคร? ท่านเป็นเจ้านายเขา?”
หวูอวี่เผยสายตาจนปัญญา “เขาคือหุ่นเชิดซากศพของข้าเอง แต่ข้าเป็นหนึ่งในบรรพชนของสำนักซากศพ สำนักซากศพนั้นมีกฏอยู่ว่าศิษย์ทุกคนที่เข้าร่วมสำนักจะต้องหาซากศพเพื่อสร้างมันเป็นหุ่นเชิดซากศพของตัวเอง”
“เมื่อระดับฝึกตนของตัวเองเพิ่มขึ้น หุ่นเชิดซากศพก็จะเติบโตขึ้นไปด้วย”
หวังหลินขมวดคิ้ว “หุ่นเชิดซากศพของท่านได้ต่อต้านหรือ?”
หวู่อวี่ยิ้มและพยักหน้า “ถูกต้อง เดิมทีด้วยวิชาที่ข้าใช้ หุ่นเชิดซากศพนี้ไม่อาจต่อต้านได้ โชคร้ายนักที่ข้ามาที่นี่เมื่อสามร้อยปีก่อนเพื่อหวังว่าจะใช้พลังงานหยินที่นี่ทะลวงผ่านบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลาง ไม่เพียงแต่ข้าล้มเหลวเท่านั้นแต่หุ่นเชิดซากศพของข้าได้ใช้ฉวยโอกาสทำข้าได้รับบาดเจ็บร้ายแรง ระหว่างที่ตกใจกับอาการบาดเจ็บนั้น เขาก็ได้หนีออกจากการควบคุมของข้า”
ขณะเดียวกัน รูปปั้นเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้น ร่างเล็กนั้นเผยใบหน้ากระวนกระวายและรีบพูดต่อ “ข้าถอยตัวกลับเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ดังนั้นจึงไม่ได้ไล่ตาม หนึ่งร้อยปีต่อมาเมื่อแผลของข้าดีขึ้น ข้าก็พบกับหุ่นเชิดซากศพของข้า ทว่าเขามีสตินึกคิดเป็นของตัวเองและกระทั่งโชคดีบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลางได้ก่อนข้า”
“ข้าไม่มีทางเลือกมากนัก ดังนั้นจึงได้ถอดจิตและหนีออกมาด้วยวิญญาณขั้นแรกกำเนิด วิญญาณของข้าเสียหายอย่างหนักและข้าก็ได้ซ่อนอยู่ในรูปปั้นนี้นับตั้งแต่นั้น ข้ากลัวที่จะออกไปมาก ผีดิบตัวนี้คือร่างกายข้าเมื่อก่อน ดูเหมือนจะได้รับสติปัญญาในช่วงเวลาร้อยปีที่อยู่ที่นี่”
หวังหลินยิ้มอย่างเยือกเย็นและพูดขึ้น “เรื่องไร้สาระอะไรกัน หากหุ่นเชิดซากศพนั่นเป็นอย่างที่ท่านพูดจริง ทำไมมันไม่ออกไปจากที่นี่แทนที่จะตามหาท่านหล่ะ?”
อวู่หวี่ยิ้ม เขาลังเลเล็กน้อยและพูดขึ้น “สหายตัวน้อย เจ้าไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันสัมพันธ์กับความลับของสำนักซากศพ แม้ว่าหุ่นเชิดซากศพตัวนี้จะหลุดจากการควบคุมของข้าไปแล้ว ข้าก็ยังขัดเกลามันนับร้อยปี มันเชื่อมต่อกับวิญญาณข้า ดังนั้นหากมันออกห่างจากข้าไปมากกว่าร้อยลี้ มันก็จะตาย”
“มีเพียงวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้คือการกลืนกินวิญญาณข้าและผนึกมันเข้ากับตัวเอง ด้วยวิธีนี้เขาก็จะหนีจากการควบคุมของข้าได้อย่างแท้จริง”
สายตาหวังหลินสว่างขึ้น “ในร้อยปีที่ผ่านมาเขาไม่เจอท่านเลยหรือ?”
อวู่หวี่สัมผัสกับรูปปั้นด้านในและพูดขึ้น “ตอนที่ข้ากำลังวิ่งหนี ข้าได้บังเอิญเข้ามาในรูปปั้นนี้ มันสามารถซ่อนการคงอยู่ของข้าได้ รูปปั้นนี้เพียงช่วยให้ข้าเอาชีวิตรอดได้เท่านั้น”
“อีกทั้งหลังจากหุ่นเชิดซากศพบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลาง ทุกครั้งที่มันโผล่ออกมา มันจำเป็นต้องนอนหลับไปหนึ่งร้อยปี นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำไมข้าถึงยังไม่ถูกกลืนกินจนถึงตอนนี้”
ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งขณะที่ถามขึ้นช้าๆ “โอ้? งั้นทำไมท่านไม่หนีออกไประหว่างเขานอนหลับอยู่หล่ะ?”
“ข้าพยายามหนีหลายครั้งแล้ว แต่ป่านี้ล้อมลอบไปด้วยกลุ่มหมอกกว้างใหญ่ หมอกนี้เป็นอันตรายมากต่อวิญญาณขั้นแรกกำเนิด ข้าจึงไม่สามารถแตะต้องมันได้ หุ่นเชิดซากศพหาข้าไม่เจอ แต่ข้าไม่คาดคิดว่าร่างกายของข้าเองจะมีสติปัญญาด้วยเช่นกัน ด้วยการเชื่อมต่อระหว่างข้ากับร่างกาย มันจึงสามารถหาข้าเจอได้”
“อาไตทำเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองและทำให้รูปปั้นนี้ปรากฏต่อหน้าเจ้าเพื่อดึงดูดเขา น่าเสียดายเพราะนี่เป็นความผิดของตัวข้าเอง ข้าไม่สามารถโทษใครได้” หวู่อวี่ยิ้มและพูดต่อ
“สหายตัวน้อย อาไตเล่าให้ข้าฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างอาไตกับเจ้าแล้ว หากนี่เป็นเมื่อสามร้อยปีก่อน ข้าคงพยายามครอบครองร่างเจ้าไปแล้ว แต่ข้าได้เสียโอกาสนั้นเพื่อครอบครองอาไต ข้าไม่มีโอกาสที่สองอีกจนกว่าข้าจะบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลาง”
หวังหลินไม่เชื่อคำพูดที่ร่างเล็กนั้นเล่ามา แต่ใบหน้าเขายังแสดงออกนิ่งเฉย เขามองไปที่บุรุษร่างสีฟ้านั้นและถามขึ้น “ชื่อเขาคืออาไตหรือ?”
อวู่หวี่พยักหน้า “สหายตัวน้อย ข้าพบอาไตในรูปปั้นนี้ เมื่อข้ามาถึงที่นี่ ข้าพบว่าอาไตกำลังนอนหลับอยู่ ข้าจึงพยายามครอบครองร่างกาย ทว่าร่างกายเขามีพลังงานที่แปลกประหลาด หลังจากที่ข้าใช้พลังวิญญาณหลักขั้นแรกกำเนิดบนร่างเขา ในที่สุดข้าก็หนีได้ แม้ว่าข้าจะครอบครองร่างเขาล้มเหลว แต่นั่นก็ทำให้อาไตตื่นขึ้นและทำให้เขาและข้ารู้สึกว่าชีวิตของเราสองเชื่อมกันอยู่”
“ตอนนั้น ข้ารู้แล้วว่าคงไม่มีโอกาสที่จะหนีได้ จนเมื่ออาไตบอกเรื่องของเจ้า”
เช่นนั้นแววตาตื่นเต้นปรากฏบนใบหน้าหวู่อวี่
หวังหลินไม่ได้พูดอะไรพลางจ้องเงียบๆบนชายร่างเล็ก
หวู่อวี่พูดขึ้นด้วยใบหน้าอ้อนวอน “ข้าขอร้องเถอะสหายน้อย โปรดช่วยข้า….”
………………………...