ตอนที่ 19 การสมคบคิด
หลายวันมานี้คฤหาสน์ดวงดาวนั้นเงียบสงัดเป็นป่าช้า ชื่อเสียงที่สั่งสมมาได้ถูกหอโอสถนั้นช่วงชิงไปหมดสิ้น
นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่เย่หยวนมาเมื่อวันนั้น หวังตงไห่ก็ปลีกวิเวกเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนัก และเมื่อมีแขกมาเยี่ยมก็ปฏิเสธท่าเดียว สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้นมันทำให้หวังตงหยางกังวลอย่างมาก เขาต้องการส่งคนไปฆ่าเย่หยวน เพื่อตัดปัญหาชิ้นโตออกไปจากชีวิตของพี่ตน แต่ก็ถูกห้ามโดยพี่ชายของตนเอง... เมื่อเขาไม่ได้รับการยินยอมจากพี่ชาย เขาจึงไม่กล้าออกคำสั่งใดๆ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือ... ไปเยี่ยมพี่ชายของตนที่ตำหนักในทุกๆวัน เขาหวังไว้ว่าการทำแบบนี้จะทำให้พี่ของตนเลิกเก็บตัวเร็วขึ้น
ในขณะนี้หวังตงหยางกำลังเดินไปที่ห้องพักของพี่ชายอย่างร้อนใจ เห็นได้ชัดเลยว่า… ในตอนนี้ความอดทนของเขามันเกินจะทนไหวแล้ว
“พี่ใหญ่ หากท่านยังไม่ออกมา… ข้าจะส่งคนไปสังหารเจ้าขยะนั้นเอง ท่านทำให้ข้าไม่มีทางเลือก!”
ในตอนนี้หวังตงหยางได้หมดความอดทนแล้ว
หวังตงหยาง ไม่ได้รับยินเสียงใดๆตอบกลับมา... หวังตงหยางสุดจะทนแล้วในตอนนี้ เขาได้ยกเท้าขึ้นเตรียมที่จะทำลายประตูตรงหน้า... แต่เมื่อกำลังจะถีบออก ก็มีเสียงหวังตงไห่ออกมาจากห้อง
“ตงหยาง… เข้ามา”
เมื่อได้ยินหวังตงหยางก็รู้สึกดีใจอย่างมากและได้เปิดประตูเข้าไปทันที
“พะ-พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงเอาแต่เก็บตัวเช่นนี้ล่ะ...”
หวังตงหยางกลัวว่า การที่พี่ชายของตนเอาแต่เก็บตัวอยู่แบบนี้ อาจหมายถึง เขาคงละอายใจจนอยากปลิดชีพของตนให้จบสิ้นไปอย่างเงียบๆ แต่ใครจะคิดว่าภาพตรงหน้าที่ตงหยางเห็น กลับเป็นภาพฉากที่พี่ชายของตนนั่งดื่มสุราจอกพริ้มท่าทีที่สบายอารมณ์เช่นนี้?
ท่าทีของหวังตงไห่ปราศจากร่องรอยความโศกเศร้าหรือขุ่นมัว ภาพที่หวังตงหยางคิดเอาไว้ในหัวมันช่างแตกต่างกับสิ่งที่เห็นโดนสิ้นเชิง ในความเป็นจริงใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและแววตาที่ดูมีพลัง ราวกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนมันไม่เคยเกิดขึ้น
สีหน้าที่ประหลาดใจของหวังตงหยางที่ปรากฏออกมานั้น มันทำให้หวังตงไห่เข้าใจสิ่งที่น้องของตนคิดทั้งหมด หวังตงไห่ได้ยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า
“ตงหยาง ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่า… เมื่อเจ้าเผชิญกับปัญหาอย่าพึ่งตื่นตระหนกให้มากนัก ในรัฐฉินแห่งนี้ส่วนหนึ่งเป็นของพวกเรา แต่ก็ยังมีอีกส่วนที่เป็นของเย่ฮาน”
“เจ้าคิดรึว่าหากสังหารเย่หยวนที่เป็นเพียงมือเท้าแล้วจะสามารถชนะได้? จนกว่าส่วนมันสมองอย่างเย่ฮานจะถูกกำจัด ในตอนนั้นแหละ… จะเป็นชัยชนะของพวกเรา”
“ตะ-แต่พี่ใหญ่ ข้าไม่ทนหรอกที่เจ้าขยะนั้นมาฉีกหน้ากันแบบนี้!”
“คฤหาสน์ดวงดาวยังจะเปิดต่อได้อย่างไรหากยังถูกฉีกหน้ากันแบบนี้! เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้แล้ว… ก็อย่าหวังอยู่รวมโลกกันเลย?!”
“การทำธุรกิจน่ะ... มันไม่ใช่แค่เรื่องผลกำไรหรือความมั่งคั่ง พวกเราจะต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ธุรกิจของพวกเราอีกด้วย แม้ว่าบางทีถึงคราวจะต้องนองเลือด… พวกเราก็ต้องทำ แต่จะต้องทำอย่างลับๆ มันจะได้อะไรหากเจ้าร้อนใจและนำคนไปสังหารเขาโต้งๆแบบนี้… นอกจากจะไม่ได้อะไรเลย มันจะทำให้ความน่าเชื่อถือของคฤหาสน์ดวงดาวลดลงอย่างมากอีกด้วย”
“พะ-พี่...”
“เจ้าสบายใจได้... ไปนั่งพักก่อนสักครู่ แล้วไปคุมคฤหาสน์ดวงดาวต่อก็พอแล้ว ส่วนเรื่องเย่หยวนเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าได้เตรียมการไว้หมดแล้ว”
ดวงตาของหวังตงหยางเปล่งประกายขึ้นทันทีเมื่อได้ยิน และถามอย่างรวดเร็วว่า
“เตรียมการที่ว่า… หมายถึง?”
หวังตงไห่เผยรอยยิ้มแสยะขึ้นบนมุมปากพร้อมกล่าวว่า
“เจ้านั้นก็แค่อาณาจักรแก่นแท้แห่งปราณระดับหนึ่ง แล้วไยพวกเราต้องลงมือเอง? ในตอนนี้หากไม่พบตัวเขา… ก็แสดงว่าเจ้านั้นคงกลับไปยังสำนักตันอู่ และตามที่ข้าคาดไว้หลังจากกลับไปที่นั่นเพียงสองสามวัน ก็คงได้ยินข่าวเจ้านั้นเกิดอุบัติเหตุจนถึงแก่กรรม... แล้วมันก็เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น จะไม่มีใครสาวถึงตัวเราได้เลย”
“สิ่งที่พี่ใหญ่ตั้งใจก็คือ...”
“ข้าได้จ้างนักฆ่าโม่ซานเพื่อดำเนินการเรื่องนี้ไว้แล้ว เขาไม่มีทางล้มเหลวเด็ดขาดในเมื่อเป้าหมายก็แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น”
“ฮ่าๆๆ!”
หวังตงหยางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจและได้ตะโกนออกมาอย่างชื่นชม
“ที่แท้พี่ใหญ่ก็วางแผนไว้หมดแล้วนี่เอง ข้าผู้เป็นน้องช่างประจับใจยิ่งนัก!”
“ไฉนข้าถึงคิดไม่ได้... เพียงจ้างนักฆ่าโม่ซานที่มีความสามารถในการลอบสังหารดั่งเงาและมีความน่าเชื่อถือสุดในสิบราตรี ไม่ว่าใครต่างได้ยินชื่อต่างต้องขวัญกระเจิง คราวนี้แหละเจ้าขยะนั้น... ไม่มีทางหลีกหนีความตายได้แน่!”
“อืม... โม่ซานคือคนที่เด่นที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดในบรรดากลุ่มของนักลอบสังหารแห่งสิบราตรี ตั้งแต่ที่ลูกข้า… หยวนเอ๋อลอบวางยาเจ้านั้นให้ถึงแก่กรรมพลาดไป ข้าก็ส่งสาสน์ไปหาลูกข้าแล้วว่า เจ้านั้นกำลังกลับไปยังสำนัก แถมเจ้านั้นยังกล้ามาท้าทายข้า… หวังตงไห่ผู้นี้ เจ้าเด็กสารเลวนั้นจะต้องอยู่ไม่อยู่สุข!”
บุคลิกของหวังตงไห่ได้ดูเย็นชาขึ้นทันทีเมื่อเขากล่าวคำเหล่านี้ออกมา
“ที่ท่านกล่าวมาก็ถูก แต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้าขยะนั้นไปเอาพิษร้ายแรงเช่นนั้นมาจากไหน? มิเช่นนั้นคงไม่กล้าท้าทายพวกเราขนาดนี้? โดยปกติเจ้าขยะนั้นก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้ตั้งแต่เกิดจนตายนั่นแหละ หากจะบอกว่าเจ้านั้นปรุงพิษนั้นด้วยตนเองยิ่งลืมไปได้เลย เพราะเจ้านั้นเป็นเพียงพวกขยะระดับหนึ่งเท่านั้น”
ในสายตาของหวังตงหยาง เย่หยวนก็เป็นแค่เศษเดนชีวิตเท่านั้น
หวังตงไห่หัวเราะลั่นราวกับว่ามิได้สนใจเรื่องของเย่หยวนมากนัก ในสายตาของหวังตงไห่ เย่หยวนหาใช่คู่มือของเขาเลยสักนิด อย่างมากก็เป็นเพียงแค่เศษหินเล็กๆในชีวิตของเขา
“หากเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นโดยมีเย่ฮานอยู่เบื้องหลังจริงๆละก็… เจ้านั้นได้ทำให้ข้าโกรธจริงๆแน่! คฤหาสน์ดวงดาวของเราจะต้องทำลายหอโอสถให้ราบ ไม่ว่าสหายหรือคนใกล้ตัวของเย่ฮาน ข้าจะให้พวกมันต้องทิ้งขว้างมันอย่างไร้ค่า!”
เมื่อกล่าวเสร็จ หวังตงไห่ก็ได้หยิบโอสถบางชนิดออกจากแขนเสื้อและส่งให้หวังตงหยางด้วยความระวัง หวังตงหยางหยิบโอสถเม็ดนั้นขึ้นมาจ้องสักครู่หนึ่ง แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี นักหลอมโอสถทุกคนในขณะนี้ไม่มีใครสามารถรับรู้ถึงระดับโอสถที่เย่หยวนหลอมได้เลย เมื่อหวังตงหยางนึกดูอยู่สักครู่เขาก็เดาว่า โอสถเม็ดนี้คงเป็นโอสถทลายแก่นแท้แห่งลมปราณ
“พี่ใหญ่ นี่มัน...?”
“โอสถชนิดนี้มีชื่อว่า โอสถผสานแก่นแท้ ซึ่งมีฤทธิ์เช่นเดียวกับโอสถทลายแก่นแท้แห่งลมปราณ แต่โอสถผสานแก่นแท้ จะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าโอสถทลายแก่นแท้แห่งลมปราณถึงครึ่งเท่า เจ้าลองคิดตาม... หากคฤหาสน์ดวงดาวของเราเริ่มจำหน่ายโอสถตัวนี้ในปริมาณที่มาก?”
หวังตงไห่ไม่สามารถปกปิดความภาคภูมิใจบนใบหน้าของตนได้เลย
หวังตงหยางยังมีความรู้น้อยกว่าพี่ชายตนมาก เขาไม่เคยรู้เลยว่า... ยาผสานแก่นแท้จะมีฤทธิ์เช่นนี้ด้วย หลังจากฟังคำอธิบายของพี่ชาย… หัวใจของหวังตงหยางก็เริ่มเต้นแรงด้วยความดีใจอีกครั้ง
เมื่อโอสถเม็ดนี้ถูกขายออกไปสู่ท้องตลาด แน่นอนว่ามันจะเป็นการฆ่าคู่แข่งทางอ้อม!
แม้โอสถผสานลมปราณจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งก็จริง แต่หากกินมันตอนยังอยู่เพียงระดับหนึ่ง... โอสถตัวนี้ก็จะไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่นัก หลังจากที่บรรลุอาณาจักรแก่นแท้แห่งลมปราณระดับห้าแล้ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะบรรลุระดับหกต่อได้
ทุกวินาทีมีค่าอย่างมากสำหรับเส้นทางแห่งการต่อสู้ เมื่ออายุมากขึ้นศักยภาพของมนุษย์ก็จะค่อยๆถูกบีบให้อ่อนแอลง ดังนั้นระยะเวลาที่มีจำกัดเช่นนี้จึงทำให้ทุกคนต้องการที่จะแกร่งขึ้นภายในช่วงที่ยังมีโอกาสอยู่ นั้นแสดงให้เห็นว่ายาผสานแก่นแท้นั้นมันจำเป็นแค่ไหน
“พี่ใหญ่ แล้วราคาทุนในการหลอมโอสถผสานแก่นแท้มันประมาณเท่าไหร่กัน?”
ในฐานะที่เป็นนักหลอมโอสถเช่นกัน และตงหยางก็ไม่ใช่คนโง่… เขาจึงถามคำถามนี้ออกไปทันที
“สบายใจได้ โอสถผสานแก่นแท้เป็นเพียงโอสถระดับหนึ่ง ซึ่งมีราคาทุนสูงกว่ายาทลายแก่นแท้แห่งปราณไม่มาก”
“เยี่ยม… เยี่ยมจริงๆ! ครานี้แหละ... หอโอสถจะต้องปิดฉากอย่างสมบูรณ์ด้วยยาผสานแก่นแท้ของเรา!”
ทั้งสองคนพี่น้องต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน
ณ บ้านตระกูลถาง
ถางซ่งไฮว่พึ่งกินโอสถที่เย่หยวนหลอมมาให้เสร็จใหม่ๆ จากนั้นเขาก็ได้ทำสมาธิเพื่อดูดซับฤทธิ์โอสถเหล่านั้น
โอสถที่เย่หยวนหลอมมาให้ถางซ่งไฮว่กินเข้าไปมีชื่อว่า โอสถฟื้นหัวใจมรกต และโอสถชนิดนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นในรัฐฉิน แต่เนื่องด้วยความอุดมสมบูรณ์ในหอโอสถ มีสมุนไพรครบเบ็ดเสร็จ จึงสามารถเสาะหาส่วนประกอบสำหรับหลอมโอสถชนิดนี้มาได้
โอสถฟื้นหัวในมรกต เป็นโอสถที่มีฤทธิ์ในการรักษาอาการบาดเจ็บภายในโดยตรง ฤทธิ์ของโอสถฟื้นหัวใจมรกตนั้นจะเหนือกว่าโอสถฟื้นฟูร่างกาย ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูหัวใจของถางซ่งไฮว่ แต่ยังไปช่วยซ่อมแซมอวัยวะภายในอื่นๆในร่างกายอีกด้วย ตราบเท่าที่ถางซ่งไฮว่ยังดูดซับฤทธิ์โอสถได้เรื่อย เขาจะสามารถดูดซับมันได้นานถึงสามวันเต็ม
ในห้องรับแขกของตระกูลถาง ถางหยุนโค้งคารวะมอบคันธนูให้แก่เย่หยวน
“คราวนี้มันถึงเวลาแล้ว หากข้าไม่ได้รับความเมตตาจากท่าน... วันนี้คงเป็นวาระสุดท้ายของพ่อข้าแล้ว โปรดรับการคำนับนี้ไว้เถิด”
เย่หยวนยกมือเชิงห้ามถางหยุนพร้อมรอยยิ้มและพูดว่า
“ท่านพี่ถาง ท่านไม่ต้องมาสุภาพกับข้าเช่นนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากความกตัญญูของท่านต่างหากล่ะ เมื่อข้าเห็นตอนที่ท่านร้อนใจไปดูอาการพ่อท่าน... มันทำให้ข้าเห็นภาพสะท้อนตอนที่ข้าโดนวางยาพิษเมื่อไม่กี่วันก่อน”
“และอีกอย่าง... ที่พ่อท่านพ้นวิกฤตเช่นนี้ได้เป็นเพราะการตัดสินใจของท่านเอง หากเมื่อวานท่านไม่มอบหญ้าหกแฉกให้ข้า...ข้าก็ไม่มีทางรักษาท่านลุงผู้นี้ได้”
เมื่อถางหยุนฟังที่เย่หยวนกล่าวออกมา เขาก็จับสัมผัสพลังปราณของเย่หยวนในทันที ยามนี้ถึงกับตะลึงหนักที่พลังปราณของเย่หยวนกลายมาเป็นระดับสามได้ภายในข้ามคืนเท่านั้น!
“นี่ท่าน... ภายในคืนเดียวท่านสามารถบรรลุได้ถึงสองระดับย่อยเลยอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไร?!”
ในตอนนี้เขาเชื่อคำพูดของพ่อตนอย่างสนิทใจแล้วที่ว่า ‘เจ้าหนุ่มคนนี้หาใช่บ่อน้ำตื้นเขิน’ เมื่อเขาสัมผัสถึงพลังปราณของเย่หยวนในตอนนี้ มันทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก
สำนักตันอู่ เป็นสถานที่ที่รวบรวมเหล่าผู้มีพรสวรรค์ ถางหยุนก็เห็นผู้ที่มีพรสวรรค์มาก็มาก แต่เขาไม่เคยได้ยินว่า มีคนสามารถบรรลุได้ถึงสองระดับย่อยภายในคืนเดียว มันเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
เย่หยวนยิ้มและตอบกลับว่า
“ก็เพราะการตัดสินใจของท่านไงล่ะ… ข้าถึงพัฒนาได้เพียงนี้ท่านพี่ถาง”
เย่หยวนใช้โอกาสนี้กล่าวขอบคุณ แต่หากให้คนอื่นมากินโอสถทลายลมปราณแบบที่เขาทำ พวกคนอื่นๆคงไม่กล้ากินมากเช่นเขา เพราะมันอาจทำให้เส้นลมปราณในร่างกายรับไม่ไหวและระเบิดออกมา แต่ที่เย่หยวนกล้าเป็นเพราะความรู้ในด้านโอสถของเขานั้นแตกฉานกว่าคนธรรมดาหลายร้อยเท่านัก ไม่ใช่แค่ปริมาณการกินที่มากเท่านั้น... แต่เขายังกล้าใช้วรยุทธเก้าเซียนบูรพาเป็นตัวกระตุ้นอีก ทั้งหมดที่กล่าวมา... นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงพัฒนาได้รวดเร็วเช่นนี้
การพัฒนาที่ก้าวกระโดดเช่นนี้มันทำให้เขาประหลาดใจ ถางหยุนได้มองไปยังรอยยิ้มของเขา
“ภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงนี้เองรึ? ข้าดูด้อยค่าไปเลยเมื่อเทียบกับท่าน... และข้ารู้สึกละอายยิ่งนักที่ก่อนหน้าที่ข้าระแวงในตัวท่าน!”
“ฮ่าๆๆ... ท่านคิดมากเกินไปแล้วท่านพี่ถาง ข้ายังมีโอสถที่ช่วยในการบ่มเพาะพลังเหลืออยู่บ้าง... ข้าจะให้โอสถเหล่านั้นกับท่าน ส่วนเรื่องอาการพ่อของท่านสบายใจได้ อีกไม่นานเขาก็จะกลับมาเป็นปกติแน่นอน”
“อ่อ… ท่านพี่ถาง ท่านสามารถพาข้ากลับไปยังสำนักตันอู่ได้หรือไม่?”
“แน่นอน... แต่หลังจากที่พ่อข้าออกจากการทำสมาธิและดูไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆแล้ว ข้าจะพาท่านไปสำนักตันอู่ทันทีในวันพรุ่งนี้”
“อ่อแล้ว... โอสถที่ข้าจะให้ท่านพี่ถางไป ขอให้ท่านเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ… อย่าได้ไปเล่าให้ใครฟัง”
เมื่อได้ยินที่เย่หยวนพูดแบบนั้น ถางหยุนก็รู้ได้ทันทีว่าโอสถที่เย่หยวนจะให้นั้นหาใช่โอสถธรรมดาทั่วไป ดังนั้นเขาจึงตอบกลับอย่างจริงจังว่า “ท่านไม่ต้องกังวล ข้า… ถางหยุนขอสัญญา”
โอสถทลายลมปราณนั้นหาใช่โอสถที่มีค่าอะไรเลยในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่มันมีค่าอย่างมาก และมากซะจนไม่มีใครควรได้มันมาครอบครองในเขตเมืองไร้ความเจริญของแดนล่างอย่างรัฐฉินแห่งนี้และเย่หยวนก็ไม่ค่อยอยากเปิดเผยอะไรมากมายกับคนทั่วไป เพราะเรื่องพวกนี้อาจสร้างปัญหาให้เขาได้ในอนาคต
…………………………………..