บทที่ 3 ผู้ฝึกสัตว์อสูร
หายนะครั้งใหญ่มาเยือน ทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน ดาวโลกเกิดมหาภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่เกินกว่าใครจะคาดการณ์ได้ ท้องฟ้ามืดครึ้มเต็มไปด้วยรอยแยกสีดำคล้ายรอยกรงเล็บน่าพิศวงนับไม่ถ้วน
เผยให้ทุกสายตาเห็นโลกที่อยู่อีกฝั่งของรอยแยก
แต่ยังไม่เคยมีผู้ใดย่างกรายเข้าใกล้โลกนั้นได้เลยสักคน
บางประเทศหวังข้ามไปยังโลกอีกฝั่ง แต่ด้วยความแปรปรวนของมิติทำให้พื้นที่โดยรอบปล่อยคลื่นหรือสัญญาณรบกวนบางอย่างออกมา หากเข้าปะทะเมื่อใดแม้แต่โลหะแข็งแรงทนทานสักเพียงไหน ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากเศษกระดาษแสนเปราะบางและสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ไม่มีมนุษย์หน้าไหนหรืออาณาจักรใดเข้าใกล้มันอีกเลย รอยแยกเหล่านั้นปรากฏอยู่ครึ่งวันและจางหายไป
อย่างไรเสีย นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้ายเท่านั้น
และรอยแยกเหล่านั้นปรากฏไปทั่วทุกมุมโลก บางรอยหายไปแล้วแต่ยังทิ้งรอยดั่งแผลเป็นไว้จนถึงทุกวันนี้ พวกมันทำหน้าที่คล้ายกับประตูเชื่อมต่อระหว่างโลกอีกมิติหนึ่ง
ดาวเคราะห์อื่นนับล้านเชื่อมต่อกับโลกใบนี้ผ่านรอยแยก ทำให้สัตว์อสูรสามารถบุกรุกโลกได้ หากแต่ด้วยเหตุผลใดนั้นไม่มีทางรู้ พวกมันอาจเป็นสสารจากนอกโลก อสูรกายจากโลกอื่น หรือการลงทัณฑ์ของพระเจ้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เหล่าสรรพสัตว์ แมกไม้นานาพันธุ์ต่างกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงไม่กลายพันธุ์ นั่นคือ ‘มนุษย์’
ในโลกที่แม้แต่พระเจ้ายังทอดทิ้งนี้ มนุษย์บางคนได้ค้นพบความลับน่าอัศจรรย์ที่ซุกซ่อนอยู่ในสายเลือดและจิตวิญญาณของพวกเขา นั่นคือ
‘พันธสัญญาเลือด’
พันธสัญญานี้ก่อให้เกิดคู่หูที่ไว้ใจซึ่งกันและกันขึ้น ผู้คนต่างเรียกขานบุคคลเหล่านี้ว่า ‘ผู้ฝึกสัตว์อสูร’
หลังการค้นพบทำให้โลกเปลี่ยนไป แม้ผู้ฝึกจะไม่ได้มีพลังดั่งสัตว์อสูรแต่พวกเขาสามารถควบคุมมันได้!
เมื่อมีผู้ฝึกสัตว์อสูรจึงมีการสร้างเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมขึ้นมาใหม่เพื่อให้ดีต่อการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูร
มนุษย์ทุกคนล้วนมีสัตว์อสูรไว้ในครอบครอง ดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรได้
ทุกๆ ครัวเรือนจะมีสัตว์อสูรไว้ในครอบครองอย่างน้อยหนึ่งถึงสองตัว
‘สัตว์อสูร’ คือชื่อเรียกสิ่งมีชีวิตจากต่างโลกหรือพวกสรรพสัตว์บนโลกที่กลายพันธุ์
พวกสัตว์อสูรมีอุปนิสัยแตกต่างกัน บางตัวดุร้าย บางตัวรักสงบ สัตว์อสูรที่ถูกเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็กจะเชื่อฟังเจ้านายของพวกมันดั่งสุนัขหรือแมวในอดีต พวกมันจะไม่มีนิสัยก้าวร้าวฉุนเฉียวกับผู้ครอบครองเลย
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติไปตลอดกาล ซึ่งแน่นอนว่าเกาเผิงไม่คิดจะใช้ชีวิตเป็นเพียงคนธรรมดาหรือใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่สนใจอะไร
สิ่งมหัศจรรย์มากมายรอเขาอยู่ข้างนอก เขาอยากสัมผัสมันด้วยตัวเอง
วลีที่ว่า ‘โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล’ คงใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะนอกจากโลกมนุษย์แล้วยังมีโลกใบอื่นอีก เกาเผิงต้องไปสำรวจมันให้ได้
“ไม่แน่บางทีฉันอาจพบวิธีชุบชีวิตพ่อแม่ในโลกใบอื่นก็เป็นได้” เกาเผิงพึมพำกับตัวเอง
ความเชื่อแรงกล้านี้เริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นทุกครา เขาเชื่อว่าในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ต้องมีสิ่งที่เขาเฝ้าตามหาอยู่เป็นแน่
เกาเผิงนั่งตรงโซฟาสายตาจดจ่ออยู่กับโทรทัศน์ ข่าวสารส่วนใหญ่มักเป็นข่าวสำรวจตามบริเวณต่างๆ ข่าวพบเจอสัตว์อสูรอันตราย และประกาศแจ้งเตือนเฝ้าระวังภัย
และการรายงานข่าวของวันนี้ยังคงเดิมเหมือนที่ได้ยินในทุกๆ วัน
ทันใดนั้นเองข่าวหัวข้อหนึ่งสามารถดึงความสนใจของเขาได้เป็นอย่างดี
ตามรายงานข่าว พบกรงเล็บมหึมาของสัตว์อสูรลึกลับปรากฏบริเวณรอบนอกของรอยแยก สัตว์อสูรดังกล่าวไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า อาจเป็นสัตว์อสูรในตำนานที่ทรงพลังราวกับเทพพระเจ้าและอยู่ในชนชั้นจักรพรรดิมีพลังเหนือจินตนาการ
ในช่วงท้ายของรายงานข่าว ปรากฏภาพหญิงสาวผมบลอนด์ในชุดขาว เธอถือกระบอกฉีดยาขนาดใหญ่พร้อมบรรจุของเหลวสีฟ้าสว่างอยู่ภายใน
“นี่คือเซรุ่มสัตว์อสูรตัวใหม่ของเครือบริษัทดราก้อน อัตราความสำเร็จในการยกระดับสัตว์อสูรเป็นระดับสูงมากถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ และอัตราความสำเร็จในการยกระดับสัตว์อสูรเป็นชนชั้นขุนนางเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อสัตว์อสูรแสนรักของคุณ และนี่คือผลิตภัณฑ์ที่คุณคู่ควร”
เกาเผิงกดปิดทีวี ความรู้สึกสับสนวุ่นวายปะทะเข้ามาในความคิด เซรุ่มนี้อาจสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ให้กับผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรเป็นแน่ แต่อีกนัยหนึ่งก็ทำให้ผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรได้มีบทบาทในสังคมมากขึ้นไปด้วย
หากมนุษย์ทำพันธสัญญาเลือดกับสัตว์อสูรแล้ว พวกมันจะไม่ต่างจากคนในครอบครัวเลย ฉะนั้นสัตว์อสูรจึงควรได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด
ความหวังของเขาพลุ่งพล่านมากขึ้นอีกครั้ง ด้วยเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจึงมีความเป็นไปได้ว่าในสักวันหนึ่งจะสามารถนำผู้ล่วงลับกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง
เกาเผิงกำหมัดแน่น เขาจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ถ้าเขายังใช้ชีวิตเป็นอย่างทุกวันนี้ คงไม่อาจพบวิธีชุบชีวิตอย่างแน่นอน
หลังจากเตรียมอาหารให้ต้าซื่อเสร็จ เขาเดินไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะเคาะเรียกต้าซื่อให้มากินมื้อเย็น
ต้าซื่อรับกลิ่นอาหารผ่านหนวดที่กำลังส่ายดุ๊กดิ๊กไปมาบนหัวของมัน มันรีบคลานมาทันที ต้าซื่อใช้เขี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย
จากการค้นคว้ามาแล้ว ต้าซื่อเป็นตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วงที่พิษร้ายแรงมาก หากแต่เขาไม่เคยเห็นมันใช้พิษมาก่อนเลย เพราะมันอยู่แต่ในบ้านคงไม่มีโอกาสได้ใช้
ต่อมพิษของมันมีอยู่สองจุด มันจะปล่อยพิษออกมาจากขากรรไกรบนและล่าง
เกาเผิงไม่เคยโดนพิษของต้าซื่อเลย แต่ไม่ใช่กับพวกแมลงในบ้าน
ตั้งแต่ต้าซื่อมาอยู่ในบ้าน พวกแมลงแทบจะสูญพันธุ์ไปเลย พวกมันต่างต้องหนีตายออกไป เพราะไม่อย่างนั้นจะถูกต้าซื่อจับกิน
เมื่อนั่งมองต้าซื่อที่กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เขาจึงอดยิ้มไม่ได้ ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าข้อมูลที่เขาเห็นนั้นเป็นความจริง บางทีเขาอาจใช้ความสามารถนี้ในการเป็นผู้เพาะพันธุ์อสูร
ผู้เพาะพันธุ์อสูรนั้นมีความรู้เกี่ยวกับสัตว์อสูรเป็นอย่างดี พวกเขาสามารถยกระดับสายพันธุ์สัตว์อสูรได้
พวกเขาไม่เพียงแค่รู้เกี่ยวกับชนิดของสัตว์อสูรเท่านั้น แต่ต้องรู้ถึงขนาด รูปร่าง อุปนิสัยของสัตว์อสูรด้วย ด้วยเหตุนี้ผู้เพาะพันธุ์อสูรจึงมีน้อยมาก
หากต้องการเป็นผู้เพาะพันธุ์อสูร ประการแรก ต้องรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับสัตว์อสูรอย่างกว้างขวาง ประการที่สอง ต้องใช้ความรู้เหล่านั้นยกระดับสัตว์อสูร และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้เพาะพันธุ์อสูรถึงได้รับการยกย่องมากกว่าผู้ฝึกสัตว์อสูร
ชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรที่ตนเลี้ยง การยกระดับจะช่วยให้ตัวมันแข็งแกร่งมากขึ้น และผู้ที่สามารถทำให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้นได้นั้นคือ ผู้เพาะพันธุ์อสูร จึงไม่แปลกเลยหากอาชีพนี้จะมีหน้ามีตามากขนาดนี้
นับตั้งแต่สามปีหลังจากปฏิวัติดาวโลก สัตว์อสูรจำนวนมากยังคงไม่ถูกค้นพบ ทำให้มีการค้นหาอสูรสายพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่มีตำราใดกล่าวถึงพวกมันได้ทั้งหมด เกาเผิงจึงอดทึ่งไม่ได้กับความสามารถมองเห็นข้อมูลของสัตว์อสูรรวมไปถึงวิธียกระดับพวกมันของตัวเอง
…………………………………………….