บทที่ 5 มู่หลาน ชิงอี้
เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงนาฬิกาปลุกเรียกเกาเผิงที่หลับอยู่บนโซฟาตั้งแต่เมื่อคืนให้ตื่นจากนิทรา
‘เอ๋ นี่เราห่มผ้าตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย’ เขาสับสนเล็กน้อย แต่ถึงแม้เกาเผิงจะรู้สึกงงแต่ก็ไม่คิดอะไรมาก เขารีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัว
หลังจากเสร็จธุระส่วนตัว เกาเผิงนั่งกินแซนด์วิชที่ตัวเองเตรียมไว้อย่างรีบเร่ง ต่อด้วยเดินไปลากต้าซื่อออกมาจากใต้โซฟา กรงเล็บสีเหลืองของเจ้าต้าซื่อครูดไปตามพื้นจนเกิดเสียง
เกาเผิงวางต้าซื่อลงก่อนหอบเล็กน้อย ‘บ้าจริง ทำไมมันหนักอย่างนี้’ เขาตบหลังต้าซื่อเบาๆ “ต้าซื่อ นายต้องเดินเองแล้วนะ เข้าใจไหม?”
ต้าซื่อเงยหน้าขึ้นมา มันส่ายหนวดของมันเบาๆ ก่อนจะฟุบหลับไปอีกครั้ง แถมยังนอนนิ่งไม่ขยับตัวเสียด้วย
เกาเผิงเริ่มจนปัญญา ไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อ แต่หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป มันจะขี้เกียจมากขึ้นกว่านี้เป็นแน่ เขาขมวดคิ้วก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้ว่า อาจารย์จางเคยสอนเรื่องการควบคุมดูแลสัตว์อสูรนั้น ต้องหมั่นฝึกพวกมันอย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันจนกลายเป็นนิสัยไปในที่สุด
พวกมันมีนิสัยและบุคลิกเป็นของตัวเอง ถึงแม้จะเป็นสัตว์อสูรชนิดเดียวกันแต่นิสัยล้วนแตกต่างกันเช่นเดียวกับมนุษย์
หากมนุษย์ผู้หนึ่งมีนิสัยขี้ขลาด แต่เมื่อได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มข้นสักสองหรือสามปี บุคลิกของเขาจะเปลี่ยนไป ทั้งมีความกล้ามากขึ้น แข็งแกร่งมากขึ้น และแนวคิดนี้นั้นสามารถใช้กับสัตว์อสูรได้เช่นกัน
ที่เจ้าต้าซื่อมันขี้เกียจมากอย่างนี้อาจเป็นเพราะนอนอยู่ในบ้านทั้งวันจนติดเตียงแล้ว
เกาเผิงก้มลงไปกระซิบข้างหูต้าซื่อ “นี่นายหิวมั้ย ออกไปข้างนอกกันเถอะ มีพวกแมลงน่าอร่อยอยู่ข้างนอกเต็มไปหมดเลยนะ”
หนวดของต้าซื่อตั้งตรงขึ้นมา มันหันมามองเกาเผิงและยิ้มกว้าง
เกาเผิงใส่ปลอกคอที่ผูกติดกับโซ่จูงสีเงินอยู่ในมือของตัวเองให้ต้าซื่อ เขาสะพายกระเป๋านักเรียนสีแดง จูงต้าซื่อเดินออกไปบนท้องถนน
แม้ว่าจะมีคนเลี้ยงตะขาบไม่มากนักแต่เกาเผิงไม่คิดว่าจะได้รับความสนใจมากขนาดนี้ ทุกครัวเรือนเลี้ยงสัตว์อสูรเป็นสัตว์เลี้ยงไม่ต่างจากพวกสุนัขหรือแมวในอดีตเลย
นอกจากนี้สัตว์อสูรยังมีขนาดแตกต่างกันด้วย คนส่วนใหญ่จะเลือกเลี้ยงตัวที่ดูน่ารักหรือสง่างาม แต่บางคนก็เลือกเลี้ยงตัวที่แปลกๆ ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละบุคคล
อย่างเช่น คุณป้าแต่งตัวแฟชั่นทันสมัยแต่ซ้ายของเธอจูงสุนัขราชสีห์เหมันต์ขนาดกลางๆ สูงสามเมตร ยาวหกเมตร
แม้จะเรียกว่าราชสีห์ทว่ามันเป็นแค่สุนัขเท่านั้น สุนัขสายพันธุ์หนึ่งที่มีขนาดกลาง
ส่วนคุณผู้ชายใส่สูท เดินอย่างเร่งรีบตรงข้างหน้าเกาเผิง เขามีนกแก้วสีแดงดำเกาะอยู่บนไหล่ของเขา
ชายชุดสูทกำลังเดินผ่านสุนัขราชสีห์เหมันต์ เจ้านกแก้วลืมตาและหันมาด่าเจ้าหมาว่า “เจ้าโง่”
สุนัขราชสีห์หยุดเดิน เงยหน้าไปมองนกแก้วอย่างสงสัย
“เจ้าโง่! มองหาพ่อแกเหรอ?” เจ้านกแก้วส่งเสียงด่าออกไป
“โฮ่ง!” สุนัขราชสีห์เหมันต์เห่าใส่นกแก้วอย่างมีความสุขราวกับอยากเลียเจ้านกแก้ว
นกแก้วบินหนีไป ทิ้งให้ชายชุดสูทต้องรับมือสุนัขราชสีห์เหมันต์เพียงลำพัง แถมชุดของเขาต้องเปื้อนน้ำลายมันด้วย
คุณป้ารีบไปขอโทษทันควัน ชายชุดสูทยิ้มตอบแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ เป็นความผิดของเจ้านกแก้วปากเสียของผมเอง ผมเจอแบบนี้ประจำเลยครับ เดี๋ยวผมจะเปลี่ยนชุดเมื่อถึงที่ทำงานครับ” เขาเปิดกระเป๋าให้ดูชุดสำรองที่เตรียมไว้
นี่เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวันของคนยุคนี้ พวกเขาได้ปรับตัวอย่างหนักกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงที่เป็นสัตว์อสูรของพวกเขา
ด้านหลังของคุณป้ากับชายชุดสูทเป็นชายชราวัยเจ็ดสิบปีเดินกับคางคกยักษ์สีสันสดใสขนาดเท่าหินโม่ คางคกตัวนี้มีตุ่มขนาดเท่าลูกปิงปองเต็มหลัง มันคือคางคกห้าสี โดยสายพันธุ์นี้ไม่มีพิษ มีบางคนบอกว่ามันดูน่ารักจึงทำให้มันเป็นสัตว์อสูรที่นิยมเลี้ยงในปัจจุบัน
เมื่อเทียบกับต้าซื่อแล้วดูธรรมดาไปเลย แต่เมื่อมองดูต้าซื่อดีๆ แล้วมันก็น่ารักนะ น่ารักไปทางน่าเกลียดเสียมากกว่า
บางคนเลือกเดินคนเดียว ไม่มีสัตว์อสูรเหมือนกับคนอื่นๆ แต่น้อยมาก
เมื่อออกมาข้างนอก ทุกตัวจะมีสายจูงหมดทุกตัว แม้ว่าสัตว์อสูรจะสามารถทำลายสายจูงได้ง่ายๆ แต่พวกมันไม่ทำอย่างนั้น เพราะเป็นการแสดงถึงความเคารพต่อเจ้านายของมัน
เกาเผิงใกล้ถึงโรงเรียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนักแล้ว แค่ครึ่งชั่วโมงก็เดินมาถึง
ในทุกวันนี้ทุกโรงเรียนอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลทั้งหมด จึงไม่มีโรงเรียนเอกชนอีกต่อไป
การศึกษายังคงเป็นเรื่องสำคัญแม้จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ก็ตาม เพื่ออบรมเหล่าเด็กๆ ไม่ให้หลงผิดจนนำไปสู่ทางที่ถูกต้อง เพราะวัยเด็กเป็นช่วงเวลาสำคัญในการเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่
ในอดีต เด็กมีปัญหามักจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบสร้างปัญหาให้กับสังคม แต่ในปัจจุบันไม่อาจใช้เรื่องนั้นมาบอกได้ว่าเด็กคนนั้นจะสร้างปัญหาได้ในอนาคต สิ่งที่ควรทำจริงๆ ก็คือการดูแลการทำพันธสัญญาเลือด หากทำสัญญากับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเกินไปและไม่สามารถควบคุมมันได้ สิ่งนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่โต
เกาเผิงเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมปลายฉางอาน ตั้งอยู่ในแถบชานเมืองและอยู่ใกล้กับสนามฝึกซ้อมของสถานีตำรวจ ขับรถไปอีกหน่อยก็ออกจากเมืองได้แล้ว
แต่ใครจะอยากออกจากเมืองกันล่ะ
ด้านนอกเป็นป่าดงดิบขนาดใหญ่ที่มีอันตรายรออยู่ทุกตารางนิ้ว
แม้ทางรัฐบาลได้ทำการสำรวจแล้วว่าไม่มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งอาศัยอยู่ แต่หากพบเจอขึ้นมาพวกเขาจะรีบทำการกำจัดให้โดยไว
รอบนอกเมืองมีกองกำลังป้องกันประจำการอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์อสูรบุกมาทำลายเมือง ทำให้บริเวณชายแดนมีแต่สัตว์อสูรระดับต่ำ ดังนั้นจึงมีนักเรียนบางคนหรือครูฝึกอสูรออกมาศึกษาเกี่ยวกับพวกมัน
ด้านหน้าประตูโรงเรียน มีรถบัสสีดำแดงจอดเต็มหน้าโรงเรียน รถแต่ละคันประกอบขึ้นจากโลหะชนิดพิเศษถึงสามชั้นและยังมีหนามแหลมออกมาจากตัวรถ ส่วนล้อรถทำมาจากยางไม้ของต้นไม้กลายพันธุ์ ทั้งหนาและยืดหยุ่น แม้แต่กระสุนยังเจาะไม่เข้า
เกาเผิงอดไม่ได้ที่จะมองรถบัสอย่างตกตะลึง ‘แม้แต่สัตว์อสูรระดับสูงก็ไม่อาจพังรถบัสพวกนี้ได้แน่ๆ’
“นักเรียนปีสองห้องสามมารวมกันที่นี่” เสียงตะโกนตรงประตูโรงเรียน
ตรงหน้ารถบัส มีหญิงสาวผมแดงสูงหนึ่งร้อยหกสิบแปดเซนติเมตร สวมแจ็คเก็ตหนังสีดำ ใส่กางเกงยีนขาม้าถือป้ายไม้ที่เขียนว่า “ปีสองห้องสาม”
“อรุณสวัสดิ์ครับ อาจารย์มู่หลาน” เกาเผิงวิ่งไปทักทายอาจารย์ด้วยสุภาพ
มู่หลาย ชิงอี้ สาวร่างใหญ่ น้ำหนักไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยสิบกิโลกรัม เธอยิ้มแล้วทักทายเกาเผิง “อ้าว สวัสดีเกาเผิง หนูขึ้นรถไปเลือกที่นั่งก่อนได้เลยนะ”
มีนักเรียนสองประเภทที่อาจารย์มักจะจำได้ดี หนึ่ง เด็กเรียนดีทำคะแนนสูง และสอง เด็กเกเร
เกาเผิงเป็นเด็กเรียนดี เขาค่อนข้างเงียบและไม่ค่อยสร้างปัญหา
เมื่อขึ้นรถบัสไปพบว่ามีเพื่อนร่วมชั้นมาถึงก่อนแล้ว เพื่อนร่วมชั้นกับเขามีความสัมพันธ์ปกติดี ไม่เคยมีปัญหาระหว่างกัน อย่างน้อยก็ในความคิดเขา แต่ในความเป็นจริง ด้วยความที่เขาตั้งใจเรียนจนคะแนนพุ่งเป็นที่สี่ของชั้นจึงทำให้เขาเป็นที่นิยมของเพื่อนๆ
ด้านขวาของเขาเป็นตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วงคลานตามเกาเผิงมา มันดึงดูดความสนใจเพื่อนร่วมของเขา
“อ๊าย! น่ารักจังเลย”
“เจ้าตะขาบตัวน้อย”
“หืม นั่นตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วงไม่ใช่เหรอ? มันเป็นสัตว์อสูรระดับแถวหน้าของกลุ่มสัตว์อสูรระดับสามัญนี่ ใครจะคิดว่าครอบครัวของเกาเผิงจะเลี้ยงสัตว์อสูรทรงพลังอย่างนี้ไว้”
“แต่เขาเป็นเด็กกำพร้าไม่ใช่เหรอ? แล้วเขาไปได้ตะขาบมาจากไหน? คงไม่ใช่ว่าไปขอยืมคนอื่นมาหรอกนะ”
ด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรนี้ ทำให้บรรยากาศในรถบัสเงียบสงัดทันที
…………………………………………….