ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง

บ้านของผมเป็นทาวน์เฮ้าส์เก่าแก่ที่อยู่ชานเมือง ที่รู้สึกว่าจะเป็นมรดกตกทอดมาจากคุณปู่ แต่ตอนนี้ครอบครัวของผมก็เหลือแค่พ่อแม่ลูกสามคนเท่านั้น แถมด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทำให้เพื่อนบ้านลดลงอย่างน่าใจหาย

ส่วนคนที่อยู่ก็ต้องคอยระวังตัวตลอดเวลา แล้วสาเหตุก็ไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่ แค่อาชญากรรมจากคนที่ฉวยโอกาสทำตามใจตัวเอง ด้วยข้ออ้างวันสิ้นโลกมันเยอะขึ้นจนตำรวจทำงานกันไม่ไหว แถมบางครั้งก็ยังเป็นตำรวจหรือทหารซะเองที่ก่อเรื่อง

ยังดีที่เหล่าผู้ที่มีจิตสำนึกลุกขึ้นมาจัดการ ทำให้สามารถจัดการคนบ้าได้อย่างทันท่วงที แต่ก็แลกมาด้วยการแบ่งแยกเมืองออกจากกันอย่างชัดเจน โดยพื้นที่สำหรับคนปกติที่ยังมีหัวคิดและหวังว่าโลกจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม จะอยู่ในตัวเมือง

ส่วนพื้นที่นอกกฎหมายของคนต่อต้านสังคมทุกรูปแบบ จะอยู่ตามพื้นที่รกร้างว่างเปล่า รวมถึงสลัมที่โดนหางเลขไปด้วย ซึ่งบริเวณเหล่านี้หากใครเฉียดเข้าไปใกล้ก็เท่ากับรนหาที่

และจากเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้ประชากรของประเทศลดลงถึงหนึ่งในสาม เพราะความวุ่นวายเกิดขึ้นทั่วประเทศ หรือพูดให้ถูกคือทั่วโลก ทั้งการปล้นสะดม ฉุดคร่าข่มขืน ทำร้ายร่างกาย เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า เพียงเพราะคิดว่าโลกจะถึงกาลอวสาน

"เฮ้อ อาบน้ำแล้วค่อยยังชั่วหน่อย"

ผมออกจากห้องน้ำพร้อมกับเอาเสื้อที่ล้างเลือดออกแล้วไปซัก ส่วนกางเกงยีนส์ไม่ได้สกปรกอะไรก็เลยเอาไปตากแดดซะหน่อย จากนั้นพอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จถึงได้รู้ว่าเวลาผ่านไปแค่ชั่วโมงกว่า

ทำให้ได้รู้ว่ามิติปิดกั้นที่พระเจ้าสร้างให้ผู้ถูกเลือกฝึกฝนมีกระแสเวลาที่ต่างไปจากโลกนี้ เพราะผมมั่นใจว่าอยู่ในมิติมากกว่าสี่ชั่วโมงแน่นอน แต่พอกลับออกมาเวลากลับเดินช้ากว่าที่คิด

เพราะผมคาดว่าจะกลับมาในช่วงเที่ยง หลังจากได้เป็นผู้ถูกเลือกในช่วงดึกของเมื่อวาน พร้อมกับการประกาศจากระบบว่าผู้ถูกเลือกรุ่นที่ห้าคนสุดท้ายของประเทศไทยเสียชีวิตแล้ว

จากนั้นก็ใช้เวลาทำใจกับเตรียมตัวฝึกฝนเพื่อกู้โลก จากการอ่านคู่มือของระบบจนถึงเช้า แล้วผมก็รอให้พ่อกับแม่ออกไปทำงานก่อนจะออกไปซื้อมีดทำครัวจากร้านใกล้บ้าน แล้วเข้ามิติฝึกฝนช่วงแปดโมงเช้า

"แต่แบบนี้ก็ดี จะได้มีเวลาฝึกมากขึ้นด้วย"

จากนั้นผมก็กลับห้องเพื่อเตรียมตัวเข้ามิติฝึกฝนอีกครั้ง โดยในตอนนี้มีอุปกรณ์จากระบบสองชิ้น คือดาบหนอนชาเขียว กับสร้อยคอขนหางกบิลปักษา ที่หากดูจากค่าสถานะของผมแล้ว ดาบนี่จะให้พลังโจมตีสิบหน่วย ดังนั้นสร้อยนี่ก็ต้องลองใส่ดูถึงจะรู้ว่าสินะ

"ไหนดูสิว่าเป็นยังไง"

ผมเปิดหน้าต่างค่าสถานะออกมาดู ก่อนจะแปลกใจกับค่าพลังชีวิตกับความอดทน แต่ตอนนี้ต้องดูก่อนว่าสร้อยนี่ทำอะไรได้

ผู้ถูกเลือก เลเวล 20

ชื่อ ทวีโชค ใจงาม

สัญชาติ ไทย

พลังชีวิต 185 พลังเวท 10

ความแข็งแกร่ง 10 ความอดทน 50

ความว่องไว 10 (+5) ความแม่นยำ 9

พลังโจมตี 5 (+10) พลังป้องกัน 100

แต้มทักษะ 80

ทักษะ​ ฟื้นฟู​ขั้นกลาง

ความสามารถ​พิเศษ​ - ควบคุมประจุไฟฟ้าในร่างกายและพลังงานไฟฟ้าในอากาศ​

และดูเหมือนสร้อยคอเส้นนี้จะเพิ่มความว่องไวให้ห้าหน่วย ก็ถือว่าดีใช้ได้ในระดับเริ่มต้น จากนั้นผมก็ย้อนกลับมานึกถึงสาเหตุที่ค่าพลังชีวิตกับความอดทนของผมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แถมยังมีความว่องไวกับความแม่นยำที่รู้สึกจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อยด้วย

"จะบอกว่าการกัดฟันทนจนรอดมาได้นี่ ช่วยเพิ่มค่าสถานะเหรอ"

ผมนั่งมองค่าสถานะที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับนึกหาวิธีอื่นๆ ที่ไม่ต้องเจ็บตัวได้แต่ผล และจากค่าสถานะตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นสายตั้งรับอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยความอดทนกับพลังป้องกันที่สูงขนาดนี้ ทำให้ผมเหมาะจะเป็นแนวหน้าในปาร์ตี้ที่คอยรับการโจมตีแทนคนอื่น

เพียงแต่ในโลกแห่งความจริงที่มีชีวิตเดียว ผมก็ไม่คิดจะทำหน้าที่เสี่ยงตายแบบนั้น แถมการจะไปรวมกลุ่มกับผู้ถูกเลือกคนอื่นก็ไม่อยาก เพราะไม่รู้ว่าจะเจอคนบ้าเหมือนที่เป็นข่าวอีกรึเปล่า

"จะว่าไป ทางรัฐบาลให้การสนับสนุนผู้ถูกเลือก แลกกับการเก็บข้อมูลนี่นะ ลองเข้าไปดูหน่อยดีกว่า"

ด้วยจำนวนผู้ถูกเลือกรุ่นละร้อยคน ทำให้รัฐบาลตัดสินใจให้การสนับสนุน แต่ในความเป็นจริงมันคือการจับตาดูมากกว่า เพราะผู้ถูกเลือกคือกลุ่มคนที่มีพลังของระบบ และสามารถเป็นภัยกับประเทศได้ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่รัฐบาลจะอยากควบคุมไว้

เหมือนในหนังต่างๆที่แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวต่อผู้มีพลังพิเศษ จนมีการตามล่าเพื่อขังไว้รวมกัน ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะถึงจะได้รับการสนับสนุนในด้านต่างๆ แต่ต้องแลกมาด้วยอิสระภาพมันไม่คุ้ม

แถมครอบครัวของผมก็มีความเสี่ยงที่จะถูกจับเป็นตัวประกัน หากรัฐบาลต้องการให้ผมทำงานให้ หรือบังคับให้เข้าสู่บททดสอบทันที เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับรุ่นก่อนหน้านี้ ที่ผู้ถูกเลือกโดนบังคับให้ไปตายโดยรัฐบาล

"มีผู้ถูกเลือกเข้ารายงานตัวแล้วสิบหกคน ถือว่าน้อยถ้าคิดถึงจำนวนทั้งหมด แต่ก็ไม่แปลกหากมองถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นละนะ"

ผมมองข้อมูลในหน้าเว็บไซต์ ที่แสดงถึงจำนวนผู้ถูกเลือกที่เข้ารายงานตัว แต่ข้อมูลก็มีเพียงแค่นี้ ส่วนรายละเอียดอื่นๆถูกปิดเป็นความลับ ก็อย่างว่า ในตอนนี้ที่มีคนบ้าอยู่มากกว่าคนปกติ การเปิดเผยเรื่องนี้มีแต่จะสร้างผลเสียมากกว่าอยู่แล้ว

โดยเฉพาะครอบครัวของผู้ถูกเลือก ที่อาจจะโดนลูกหลงไปด้วย จากความไร้เหตุผลของสังคม ที่ต้องการแพะรับบาปในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เหมือนกับครอบครัวของ อรุณ ผู้ถูกเลือกรุ่นแรกที่ถูกสังคมประนามเพราะล้มเหลว

"จะว่าไป หาทักษะเกี่ยวกับช่องเก็บของไว้ใช้น่าจะดี"

แม้ในยุคนี้การพกอาวุธไปไหนมาไหนจะเป็นเรื่องปกติ แต่อาวุธที่ได้จากระบบมันก็แตะตาอยู่ดี เพราะแค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่ของที่สร้างด้วยน้ำมือมนุษย์ อย่างดาบหนอนชาเขียวที่พึ่งได้มาก็เช่นกัน

ถึงหน้าตามันจะทุเรศไปสักหน่อย แต่ถ้าไปเทียบกับดาบที่คนสร้างขึ้นมาเอง มันก็ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยรัศมีที่เปล่งออกมาจางๆแต่ก็เห็นได้ด้วยตาเปล่า กับพลังโจมตีที่มากกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด

เพราะต่อให้ของที่มนุษย์สร้างจะสวยงามน่าเกรงขามแค่ไหน พลังโจมตีที่ได้ก็ไม่เกินสองหรือสามหน่วย พอมาเทียบกับพลังโจมตีสิบหน่วยของดาบหนอนชาเขียว ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาก็รู้ได้ว่าอะไรดีกว่า

"ทักษะช่องเก็บของต่างมิติ ขั้นต้นจะมีช่องเก็บของให้สิบช่อง ใช้แต้มทักษะร้อยหน่วย"

ผมคิดคำนวนเลเวลาที่ต้องเพิ่ม ด้วยแต้มทักษะจะได้รับก็ต่อเมื่อเลเวลเพิ่มขึ้นหนึ่งเลเวล ซึ่งจำนวนที่ได้จะคงที่ตลอด ทำให้ผมต้องการอีกยี่สิบหน่วยจะครบร้อย ก็หมายความว่าต้องเพิ่มเลเวลอีกสองเลเวล

แต่ทักษะที่ต้องการจริงๆอย่าง ฟื้นฟูขั้นสูง ต้องใช้แต้มทักษะแลกร้อยห้าสิบหน่วย และหากผมจะแลกทั้งสองทักษะ ก็ต้องเพิ่มเลเวลถึงสิบเจ็ดเลเวล ซึ่งคงไม่มีทางทำได้ในวันสองวันแน่นอน

"มีแต่ต้องเลือกว่าจะแลกทักษะไหนก่อน แต่ถ้าคิดถึงความปลอดภัยในชีวิต ทักษะฟื้นฟูขั้นสูง มันก็จำเป็นกว่าอยู่แล้วละนะ"

แต่ก่อนที่ผมจะได้เรียกใช้งานระบบเพื่อเข้ามิติปิดกันไปเก็บเลเวล ท้องก็ร้องขึ้นมาจนนึกได้ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้ผมตัดสินใจออกไปซื้อข้าวเช้ามากินจากร้านข้างแกงแถมบ้าน

และแน่นอนผมก็ไม่ลืมที่จะหยิบชะแลงเหล็กติดมือไปด้วย เพราะถึงแถวนี้จะนับเป็นเขตเมือง แต่ก็ใกล้กับพื้นที่นอกกฎหมายที่มีพวกบ้ามาสุมหัวกันอยู่ ดังนั้นการมีอาวุธติดตัวไว้ให้อุ่นใจย่อมดีกว่า

"อ้าว วี มากินข้าวเหรอ"

"ครับป้า ขอซื้อกลับบ้านครับ เอาพะโล้รวมกับผัดวุ้นเส้น แล้วก็ข้าวถุงนึงครับ"

ป้าเจ้าของร้านทักทายผมด้วยรอยยิ้ม แต่ลูกค้าในร้านก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แถมยังมีลุงสามีของป้ามานั่งรักษาความปลอดภัยหน้าร้าน ยิ่งตอกย้ำว่ายุคสมัยที่สงบสุขมันหายไปแล้ว

"แล้วยังอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่อีกเหรอ ยุคนี้แล้ว ไปสมัครเป็นทหารหรือไม่ก็ตำรวจไม่ดีกว่าเหรอ"

ป้าถามหลังจากส่งถุงกับข้าวมาให้ผม เพราะระบบสังคมที่เลือกได้ว่าแทบจะล้มสลาย ทำให้ความรู้วิชาการถูกลดท่อนความสำคัญลง พร้อมกับการใช้กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญ ส่งผลให้อาชีพต่างๆมีความต้องการที่แตกต่างไปจากปกติ

ที่แม้งานเอกสารจะยังคงมีอยู่ แต่ทรัพยากรมนุษย์นั้นถูกคาดหวังให้ปกป้องตัวเองได้เป็นอันดับแรก และแน่นอนว่าถึงความต้องการจะเปลี่ยนไป ก็ใช่ว่าจะมีคนปรับตัวตามได้ทันที ดังนั้นกองกำลังรักษาความปลอดภัยจึงเป็นที่ต้องการ

อย่างที่บริษัทของพ่อกับแม่ก็มีการจ้างกองกำลังของตัวเอง โดยใช้กำลังทหารผสมกับคนจากบริษัทรักษาความปลอดภัยเอกชน ส่วนพนักงานทั่วไปที่ไม่จำเป็นก็ถูกให้ออกจากงาน ส่งผลให้เงินเดือนของพนักงานรักษาความปลอดภัยสูงขึ้นแซงหน้าทุกอาชีพ

"จะเปลี่ยนทันทีคงไม่ไหวครับป้า แล้วผมก็ว่าจะลองสอบเข้าอีกรอบ ถ้าไม่ไหวค่อยหางานสายอื่น"

"อืม ยังไงก็พยายามเข้านะ ถึงพระเจ้าจะบอกว่ามีเวลาอีกครึ่งปี ก็ใช่ว่าโลกจะแตกสักหน่อย เอานี่เงินทอน"

ป้าพูดตามประสาคนมองโลกในแง่ดี หลังจากทอนเงินให้ผมห้าร้อยบาทจากที่จ่ายไปพันบาท ซึ่งราคานี้ก็ไม่ได้แพงในยุคนี้ แถมยังถือว่าถูกด้วยซ้ำไป หากเทียบกับฟาสต์ฟูดที่ขายเซ็ตละพันกว่า

หลังจากได้ข้าวเช้าแล้วผมก็มุ่งหน้ากลับบ้าน แต่ระหว่างทางก็ได้เจอกับกลุ่มคนที่ดูยังไงก็เป็นบ้าหลุดโลก เพราะพวกมันแต่งตัวเหมือนหลุดมาจากหนังแนววันสิ้นโลก และแน่นอนว่าพวกมันไม่ได้มาเที่ยวเล่นชัวร์

"ยะฮู้ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้จักมองความจริงมันเยอะจริงเว้ย พวกเราปล้นมันให้หมด"

"เย้"

ผัวะ

แต่ก่อนที่พวกมันจะได้ลงมือทำอะไร ลุงร้านข้าวแกงก็เดินไปเข้าเหล็กเส้นฟาดหัวมันเต็มแรง ส่วนคนในชุมชนก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือจนพวกมันนอนจมกองเลือด ส่วนผมเองก็เข้าไปช่วยผสมโรงนิดหน่อย

จากนั้นทุกคนก็จับพวกมันมัดรวมกันไว้ที่กลางถนน ก่อนจะแจ้งตำรวจให้มาจัดการ ซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปซะแล้ว และครั้งนี้ถือว่ายังดีที่ไม่มีใครตกเป็นเหยื่อของพวกบ้านี่

แต่จะว่าไป ลูกสาวร้านข้าวแกงรู้สึกจะโดนคนจำพวกนี้ฉุดไปนี่นา ถึงว่าลุงถึงเดินไปใส่ก่อนเลย แล้วถ้าใครถูกคนพวกนี้จับไปก็อย่าหวังว่าจะรอด เพราะถ้าไม่กลายเป็นพวกมัน ก็มีแต่กลายเป็นศพเท่านั้นเอง

"จริงสิ คราวนี้พกขวานไปด้วยน่าจะเหมาะ เพราะมีป่าอยู่ด้วยนี่นะ"

ระหว่างเดินกลับบ้านผมก็แวะร้านขายของจิปาถะ แล้วเลือกซื้อมีดดายหญ้ากับขวานตัดไม้มาอย่างละอัน ซึ่งความจริงผมก็อยากซื้อถุงมือด้วย แต่ติดที่ว่าพลังจิตของผมมันใช้ผ่านถุงมือไม่ได้ ทำให้ต้องใช้มือเปล่าต่อ แต่ถึงมือจะเป็นแผลยังไง เดี๋ยวทักษะก็รักษาให้เองละนะ

"เอาล่ะ เติมพลังเรียบร้อย ของก็พร้อม ไปลุยอีกสักรอบก็แล้วกัน"

ผมใส่กางเกงยีนส์ที่ตากแดดไว้ ก่อนจะสวมเสื้อเชิ้ตทับเสื้อยืดคอกลม กับรองเท้าผ้าใบซอมซ่อที่ใช้มาตั้งแต่ ม.ต้น เพื่อเข้าไปยังมิติปิดกั้นอีกครั้ง

"เข้าสู่มิติปิดกั้น"

-ทำการเปิดมิติปิดกั้น เริ่มกระบวนการเคลื่อนย้าย-

แล้วภาพเบื้องหน้าของผมก็บิดเบี้ยวก่อนจะกลายเป็นสีขาวโพลน จากนั้นร่างของผมก็เหมือนอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักครู่หนึ่ง และเมื่อเวลาผ่านไปราวสี่ถึงห้าวินาที ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าของผมก็คือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ที่มีป่าสีเขียวขจีอยู่ห่างออกไป

และพื้นที่ทุ่งหญ้านี้ก็เหมือนพื้นที่สำหรับเด็กใหม่ ที่มีสัตว์มายาระดับต่ำอย่างหนอนชาเขียว หรือผีเสื้ออมยิ้ม ที่หากฟังแค่ชื่อมันออกจะน่ารักดีอยู่หรอก แต่เวลาเจอของจริงแล้ว ไอ้พวกนี้มันก็ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายในหนังผจญภัย

ที่หากประมาทแม้แต่นิดเดียวก็สามารถส่งผู้ถูกเลือกที่ไม่รอบคอบไปหาพระเจ้าได้ไม่ยาก แล้วรู้สึกว่ามิติปิดกั้นนี่จะมีการแบ่งเขตเหมือนกับเกมด้วย เพราะยิ่งเดินทางลึกเข้าสู่จุดศูนย์กลางมากเท่าไหร่ สัตว์มายาก็จะอันตรายมากขึ้นเท่านั้น

-ท่านเข้าสู่มิติปิดกั้น-

-ท่านได้รับภารกิจ กำจัด สุนัขช็อกโกแลต จำนวนห้าสิบตัว-

แล้วไม่ทันไรระบบก็มอบภารกิจมาให้อีกแล้ว แต่คราวนี้เป็นหมาแทนหนอน แล้วรู้สึกว่าไอ้หมานี่มันจะอยู่ใกล้กับป่าหิมพานต์ เพราะถ้าจำไม่ผิดตอนเข้าไปลองของที่ป่าก็เห็นอยู่สองสามตัว

แต่ชักสงสัยแฮะ ว่าระบบจะให้ภารกิจทุกครั้งที่เข้ามามิติปิดกั้นเลยรึไงนะ แต่เป้าหมายในตอนนี้คือเพิ่มเลเวลให้ถึงยี่สิบเจ็ด จะได้แลกทักษะฟื้นฟูระดับสูงซะที

"เอาละ ลุย"