หลังจากเรียนเวทมนตร์กับภัสสรหลายชั่วโมงติดต่อกัน ก็ถึงเวลาอาหารเย็นที่ถือเป็นเวลาพักเสียที และตอนนี้ผมอยู่ในมิติปิดกั้นมากว่าสิบชั่วโมงแล้ว ซึ่งถือเป็นเวลาที่นานที่สุดเท่าที่เคยอยู่มาเลย
แต่ถ้าเทียบกับโลกภายนอกแล้ว ก็น่าจะผ่านไปแค่สองชั่วโมงนิดๆ ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะทานอาหารร่วมกับภัสสร โดยมีละไมร่วมทานด้วย แล้วตั้งใจว่าจะออกไปพักที่บ้านหลังจากนี้
ทว่าก่อนที่ผมจะออกจากมิติปิดกั้น ละไมก็เข้ามากระซิบข้างหูว่า มะลิอยากจะปรนนิบัติผมในคืนนี้ด้วย ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ขอให้กลับมามิติปิดกั้นก่อนรุ่งเช้า และแน่นอนว่าผมไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว
"ผมไปก่อนนะ แล้วจะรีบกลับ"
"ข้าพเจ้าจะรอนะเจ้าคะ"
เมื่อกลับมาที่โลกแห่งความเป็นจริง เวลาก็ผ่านไปเกือบสามชั่วโมง ทำให้ตอนนี้อยู่ในช่วงใกล้เที่ยง ดังนั้นเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ผมจึงเดินออกจากบ้านไปซื้อกับข้าวที่ร้านเจ้าประจำ
จากนั้นเมื่อกลับมาถึงบ้านผมก็นำเอาอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นเองมาวางกองรวมกัน เพื่อดูว่ามีของชิ้นไหนที่พอจะเอาไปขายได้บ้าง เนื่องจากสิ่งของบนโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ไม่ว่าจะเป็นของดีเลิศขนาดไหน หากนำเข้ามิติปิดกั้นก็จะมีพลังแค่หนึ่ง
ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากพวกรุ่นก่อนๆแล้ว และผมเองก็ทดลองด้วยมีดทำครัวแล้วเหมือนกัน ดังนั้นหากเป็นอุปกรณ์ที่ให้พลังมากกว่าหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพลังโจมตีหรือป้องกัน ย่อมขายได้ราคาหลายแสน
และการขายของพวกนี้นั้น เป้าหมายของผมก็คือผู้ถูกเลือกที่อยู่ในความดูแลของกองทัพ หรือก็คือยัยเตี้ยเมริสานั่นเอง แล้วในเมื่อฝ่ายนั้นต้องการแลกช่องทางติดต่อกับผม ก็ขอใช้หาเงินหน่อยก็แล้วกัน
"แต่จะติดต่อไปแบบนี้มีหวังหาที่อยู่เจอแน่ ดังนั้นต้องใช้วิธีมุดกันหน่อย"
ผมเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยระบบวีพีเอ็น (VPN - virtual private network) ที่จะช่วยปิดบังสถานที่เชื่อมต่อได้ระดับหนึ่ง ก่อนจะกดยืนยันในแอปพลิเคชันสำหรับติดต่อสื่อสาร และเท่านี้ผมก็ส่งข้อความหายัยเตี้ยได้แล้ว
"ก่อนอื่นลองถามดูก่อนว่าอยากได้อุปกรณ์ป้องกันไหม"
ผมถ่ายรูปปลอกแขนที่ทำเองส่งไปให้เมริสา โดยบอกว่าเป็นของที่ได้จากระบบ แต่ได้ซ้ำกันเลยอยากจะขาย แล้วถ้าสนใจให้มาเจอกันที่หนองน้ำครั้งก่อน และแน่นอนว่าผมให้ฝ่ายนั้นเป็นคนระบุเวลาที่สะดวกมา
"จะว่าไป ตั้งราคายังไงดีนะ"
ด้วยอุปกรณ์สำหรับผู้ถูกเลือกเป็นของเฉพาะกลุ่ม ที่ไม่สามารถใช้ได้ทุกคน ทำให้ราคาไม่แน่นอน ซึ่งส่วนใหญ่จะจ่ายตามความพอใจของทั้งสองฝ่าย แต่ไม่ว่าจะขายถูกยังไงก็น่าจะเป็นหลักแสน สำหรับปลอกแขนที่ให้พลังป้องกันสามหน่วย
แล้วถึงจะรู้สึกไม่ดีที่ตัดสินใจขายของที่รายาปลุกเสกให้ แต่ในเมื่อตอนนี้ผมมีภัสสรที่สามารถปลุกเสกให้เหนือกว่าได้อย่างเทียบไม่ติด การเก็บไว้ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร
ดังนั้นขายเอาเงินมาเป็นทุนในการฝึกฝนย่อมเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง และผมก็คิดว่ารายาน่าจะเข้าใจเหตุผลนี้ เพราะเธอเป็นคนบอกเองว่าควรจะให้ผู้ฝึกสอนเวทมนตร์ปลุกเสกให้ เพื่อให้ได้ของที่ดีกว่า
"คิดเองเออเองก็คงไม่ได้อะไร รอยัยนั่นตอบมาแล้วกัน"
แต่ถึงจะอยากขายให้เร็วที่สุด ผมก็ไม่คิดจะอยู่รอคำตอบเป็นชั่วโมงโดยไม่ทำอะไร แถมในเมื่อรู้แล้วว่าเวลาในมิติปิดกั้นเดินเร็วกว่าราวสี่เท่า ผมที่ยังมีนัดกับละไมและมะลิ ก็อยากไปลองลิ้มรสสาวแนวโลลิถูกกฎหมายจะแย่อยู่แล้ว
"แต่จะว่าไป มีเซ็กส์โดยไม่ใส่ถุงยางกับอัปสรสีหะก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรแฮะ แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะเวลาไปซื้อที่ร้านสะดวกซื้อนี่ยังอายไม่หายเลย"
ผมนึกถึงเหตุการณ์ตอนไปซื้อถุงยางที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน ที่พนักงานคนขายเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง จนโดนแซวว่าจะนอนกับสาวที่ไหน ยังดีที่พ่อกับแม่ไม่ค่อยจะไปร้านนี้ แถมไม่ค่อยได้เจอกันด้วย เลยไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
แต่หลังจากนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ควรจะระวังคนรู้จักให้มากขึ้น เพราะหากความแตกขึ้นมาว่าผมเป็นผู้ถูกเลือก ก็อาจจะโดนขอให้ช่วยเรื่องเงินทองเหมือนคนถูกหวยก็ได้
"เช้าไปรึไงนะ หรือยัยนั่นอยู่ในมิติปิดกั้น"
ผมที่นั่งรออยู่ราวสิบนาทีก็รู้สึกว่า ยัยเตี้ยเมริสาน่าจะไม่อยู่ในสถานการณ์ที่จะตอบข้อความของผมได้ จึงตัดสินใจกลับเข้ามิติปิดกั้นเพื่อไปหาละไมกับมะลิตามสัญญา เพราะตอนนี้น่าจะราวสามทุ่มกว่าแล้วที่ฝั่งนู้น
"ยินดีต้อนรับกลับเจ้าค่ะ แล้วมะลิก็พร้อมปรนนิบัติท่านวีในคืนนี้เช่นกันนะเจ้าคะ"
เมื่อผมกลับมาที่ห้องในเรือนของกิรณา ละไมกับมะลิก็รออยู่แล้ว และโดยไม่รอช้าสองสาวก็เริ่มเปลื้องผ้าตัวเอง แล้วหลังจากนั้นผมก็ปล่อยให้ตัวเองขยับไปตามสัญชาตญาณด้วยความสุขสม
*****
(มุมมองบุคคลที่สาม)
เมริสาพาอาร์ทเข้ามาฝึกฝนในมิติปิดกั้นได้หลายชั่วโมงแล้ว แต่ถ้าคำนวณเวลาในโลกแห่งความเป็นจริง ก็น่าจะผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ดังนั้นถึงจะรู้สึกสงสารเด็ก แต่เพื่อไม่ให้พวกทหารตำหนิเอาได้ ก็จำเป็นจะต้องอยู่ในนี้ให้นานขึ้น
"อาร์ท เริ่มจับจังหวะการตีได้รึยัง"
"พอได้ครับ"
เด็กชายตอบสั้นห้วนแต่ก็ยังมีหางเสียง ที่ฟังดูแล้วก้ทำให้รู้สึกเข้าหายาก ซึ่งมันก็คงไม่แปลกสำหรับเด็กที่รู้สึกว่าตัวเองถูกพ่อแม่ขายแลกเงิน ทำให้เมริสาที่อยู่ในสถานการณ์ไม่ต่างกันเกิดความรู้สึกอย่างช่วยเหลือขึ้นมา
แต่ด้วยขาดประสบการณ์ในการใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป ทำให้เมริสาไม่รู้ว่าเด็กในวัยนี้ต้องการอะไร หรือชอบเล่นสนุกแบบไหน ดังนั้นสิ่งเดียวที่เมริสาจะทำให้ได้ก็คือ การสอนวิธีเอาตัวรอด
"อาร์ท การหนีไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนะ ถ้าหากอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เห็นทางชนะ ก็วิ่งหนีซะ ต่อให้ต้องทิ้งใครไว้ก็ช่าง"
"แม้แต่พี่เมริสาเหรอครับ"
"ใช่ เพราะพี่เองถ้าเห็นว่าไม่มีทางชนะ ก็จะไม่ลังเลเลยที่จะวิ่งหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว เพราะถ้าตายไปทุกอย่างมันก็จบกันพอดี แล้วอาร์ทก็ยังไม่อยากตายใช่ไหมล่ะ"
"ครับ เข้าใจแล้วครับ"
สาววัยรุ่นที่มีชีวิตปากกัดตืนถีบตั้งแต่จำความได้อย่างเมริสา ที่สอนเรื่องเช่นนี้ให้นั้นไม่ได้ผิดอะไร และถือว่าเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว สำหรับคนที่ถูกโยนภาระอันหนักอึ้งอย่างการกู้โลกใส่ โดยที่ไม่มีการถามความสมัครใจแม้แต่น้อย
ส่วนเด็กชายที่รู้สึกว่าถูกพ่อแม่หักหลัง ก็ยอมรับคำสอนนี้เหมือนเป็นเรื่องปกติ เพราะใจจริงก็ไม่ได้อยากมาทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ถูกพ่อแม่ใช้ประโยชน์เท่านั้น ทำให้ความคิดรับผิดชอบต่อหน้าที่ผู้ถูกเลือกไม่มีอยู่แต่แรก
"งั้นก็ทำภารกิจให้เสร็จ ของอาร์ทคือกำจัดผีเสื้ออมยิ้มห้าสิบตัวสินะ"
"ใช่ครับ แล้วของพี่เมริสาละครับ"
"ของพี่เป็นแมววานิลลาห้าสิบตัว กว่าจะเสร็จก็คงสักสองชั่วโมง แล้วอาร์ทจะให้พี่อยู่ดู หรือจะลองทำคนเดียว"
"ผมลองคนเดียวได้ครับ"
และด้วยคำตอบนี้ เมริสาก็แยกกับอาร์ท โดยตกลงกันว่าหากรอที่จุดนัดพบเกินครึ่งชั่วโมง ให้ออกจากมิติปิดกั้นได้เลย ซึ่งจุดนัดพบก็คือบริเวณทุ่งหญ้ารอยต่อระหว่างถิ่นของผีเสื้ออมยิ้มกับแมววานิลลา
ซึ่งทั้งสองใช้อาวุธที่ทางกองทัพจัดหามาให้ โดยเมริสาได้ดาบไทยที่หาได้ตามสถานที่ท่องเที่ยว ส่วนอาร์ทได้ไม้เบสบอลเหล็ก และแน่นอนว่าทั้งสองชิ้นมีพลังโจมตีแค่หนึ่งหน่วย เพราะเป็นสิ่งของจากโลกภายนอก
แต่ด้วยภารกิจที่ทั้งสองได้เป็นระดับเริ่มต้น ทำให้ไม่เหนื่อยแรงมากนักในการกำจัดเป้าหมายตามจำนวนที่กำหนด เพียงแต่เมริสานั้นรู้ดีว่าถ้าประมาทแล้วจะเป็นยังไง ด้วยประสบมาเองแล้วจากครั้งก่อน
ทำให้เมริสากำชับกับอาร์ทไม่ให้ล่าสัตว์มายาที่อยู่รวมกัน แม้จะยุ่งยากแต่ให้เลือกตัวที่อยู่เพียงลำพัง หรืออยู่กันเป็นกลุ่มไม่เกินสองถึงสามตัวเท่านั้น เพราะเมริสาเองก็ยังไม่เก่งพอจะช่วยเหลือใครได้
ส่วนอาร์ทนั้นไม่มีเหตุผลที่จะต่อต้านคำสอนนี้ ด้วยยังไร้ประสบการณ์แถมยังเป็นเด็ก จึงทำตามที่สอนอย่างเคร่งครัด ทำให้แม้จะใช้เวลานานนับชั่วโมง แต่ภารกิจกำจัดผีเสื้ออมยิ้มก็สำเร็จในเวลาเกือบสองชั่วโมง
"เสร็จแล้ว ไปรอพี่เมริสาดีกว่า"
เด็กชายไปนั่งรอที่ทุ่งหญ้าตามจุดนัดผม และมิติปิดกั้นแห่งนี้แม้จะเหมือนโลกแห่งความเป็นจริง ทั้งท้องฟ้าทุ่งหญ้าและสายลม แต่แสงแดดนั้นเป็นมิตรกว่าแดดของเมืองไทยมาก
ทำให้อาร์ทสามารถนั่งตากแดดได้โดยไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด และในระหว่างนั่งรอเกือบครบครึ่งชั่วโมง เมริสาก็เดินมาถึงจุดนัดพบพอดี
"รอนานไหม พี่นึกว่าอาร์ทจะออกไปก่อนแล้วซะอีก"
"ก็เกือบแล้วครับ นี่ผมรอมายี่สิบแปดนาทีพอดี"
อาร์ทยื่นสมาร์ทโฟนที่หน้าจอเป็นแอปจับเวลาให้เมริสาดู โดยตัวเลขยี่สิบแปดนาทีสามสิบเจ็ดวินาทีบนหน้าจอก็เป็นเครื่องยืนยันคำพูดของอาร์ท ส่วนเมริสาที่ได้ยินก็ทำได้เพียงยิ้มแห้งเท่านั้น
"อานะ พี่เสียเวลากับแมววานิลลามากไปหน่อย เพราะกว่าจะทำใจแทงดาบใส่ได้ก็หลายนาทีแล้ว"
"พี่เมริสาเป็นทาสแมวเหรอครับ"
"ก็ไม่เชิงนะ พอดีพี่ไม่เคยเลี้ยง แต่ก็อยากแหละ"
จากนั้นทั้งสองก็แลกเปลี่ยนข้อมูลของที่ได้จากภารกิจ ซึ่งอาร์ทได้ตุ้มหูเหมือนที่เมริสาเคยได้ ส่วนของที่ได้จากภารกิจกำจัดแมววานิลลาก็คือถุงมือกรงเล็บแมว ที่แม้จะมีชื่อฟังดูน่ารัก แต่หน้าตาของมันเหมือนถุงมือยางติดเล็บปลอมไม่มีผิด
"ของแบบนี้มันดีกว่าของที่พี่ทหารหามาให้จริงเหรอครับ"
"ก็นะ หน้าตาอาจจะไม่น่าดู แต่มันก็ดีกว่าแน่นอน อาร์ทเคยอ่านคำอธิบายของระบบแล้วไม่ใช่เหรอ"
"ใช่ครับ งั้นผมใส่เลยดีไหมครับ"
"ไว้ไปใส่ข้างนอกดีกว่า อาร์ทยังไม่ได้เจาะหูเลยนี่นา"
แล้วทั้งสองก็ออกจากมิติปิดกั้นก่อนจะปรากฏตัวในห้องกระจกที่มีคนสังเกตการณ์ และในครั้งนี้ทั้งสองก็ได้รับคำชมที่ได้อุปกรณ์กลับมาอีกสองชิ้น พร้อมกับได้รับอนุญาตให้ไปพักผ่อนตามใจ
ซึ่งหลังจากเมริสาแยกกับอาร์ทแล้ว ก็พบว่าแอปสื่อสารมีการแจ้งเตือนใหม่ และคนที่ติดต่อมาก็เป็นชายหนุ่มที่เมริสาลืมไปเสียสนิท เพราะต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กทำให้ไม่มีเวลาสนใจนั่นเอง
"อีตาคนที่ชื่อวียอมติดต่อมาแล้วแฮะ"
เมริสาเปิดแอปขึ้นมาบนหน้าจอ ก่อนจะได้เห็นข้อความพร้อมรูปภาพปลอกแขนที่ดูเหมือนมือสมัครเล่นเป็นคนทำ แต่จากข้อความบอกว่าเป็นอุปกรณ์ที่ได้จากมิติปิดกั้น และนายคนนี้ต้องการขายให้เธอ เพราะได้มาซ้ำ
"น่าแปลก ปกติไอเทมมันได้ซ้ำกันด้วยเหรอ"
เมริสาขมวดคิ้วกับสิ่งที่นายคนนี้บอก เพราะจากข้อมูลของกองทัพ ไอเทมที่ผู้ถูกเลือกแต่ละคนจะได้รับจากระบบนั้น ไม่มีทางซ้ำกันอย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ทางกองทัพรวบรวมข้อมูลจากผู้ถูกเลือกรุ่นก่อนๆมา ทำให้น่าเชื่อถือ
และการที่จะได้ของซ้ำกันนั้น มีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียว คือต้องแย้งมาจากผู้ถูกเลือกคนอื่น เหมือนที่อาร์ทได้ตุ้มหูเหมือนกับเมริสานั่นเอง
"อย่าบอกนะว่าอีตานี่ฆ่าคนชิงทรัพย์ แต่เดี๋ยวนะ ถ้าผู้ถูกเลือกตาย ระบบจะแจ้งมานี่นา"
แต่ก่อนที่เมริสาจะตื่นตูมไปเองก็นึกขึ้นได้ถึงการแจ้งเตือนของระบบ ถ้าหากมีผู้ถูกเลือกเสียชีวิตลง ระบบจะทำการแจ้งเตือนให้กับประชาชนที่เป็นคนชาติเดียวกัน โดยที่การแจ้งเตือนจะรับรู้ได้แม้อยู่ในมิติปิดกั้น
ดังนั้นการที่ไม่มีการแจ้งเตือนแต่นายคนที่ชื่อวีกลับได้ของซ้ำกันมันจึงค่อนข้างแปลก ซึ่งหากคิดถึงความเป็นได้แล้ว อาจจะเป็นว่าหมอนี่ไม่อยากได้ปลอกแขนนี่ เลยเอามาขายมากกว่า
แต่การที่บอกว่าได้ซ้ำน่าจะเป็นเพราะไม่ต้องการให้เมริสาคิดมากที่จะซื้ออุปกรณ์ของคนอื่น หรือไม่ก็อยากหาข้ออ้างที่ฟังดูดีแทนความจริงที่ว่ากำลังร้อนเงินก็ได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนเมริสาก็คิดว่านี่เป็นโอกาสดี
"เอาไปบอกอีตาผู้พันดีกว่า น่าจะได้งบมาไม่มากก็น้อยละนะ"
จากนั้นเมริสาก็ไปคุยกับผู้พันที่รับผิดชอบเธอ และแน่นอนว่าเมริสาได้รับอนุญาตให้ซื้อปลอกแขนชิ้นนี้ได้ในราคาไม่เกินห้าแสน พร้อมกับกำชับให้หาทางดึงตัวชายหนุ่มที่ชื่อวีมาเข้ากับกองทัพให้ได้
"ก็รู้อยู่ว่าต้องโดนสั่งแบบนี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ละนะ ใช่ว่าจะขอเงินได้ตามใจซะหน่อย"
แล้วเมริสาก็ตอบข้อความของวี เกี่ยวกับการตกลงซื้อขาย ว่าจะนัดเจอกันที่หนองน้ำชายป่าตามที่วีเสนอ ส่วนวันเวลาให้ใช้เวลาของโลกจริง โดยเป็นวันพรุ่งนี้เวลาเก้าโมงเช้า ให้ทำการเข้ามิติปิดกั้น แล้วไปที่จุดนัดพบ และหากไม่มาเกินหนึ่งชั่วโมงจะถือว่ายกเลิกการซื้อขาย
"เอาละ หวังว่าหมอนี่จะอ่านภายในวันนี้นะ"
เมริสาส่งข้อความตอบกลับตามที่ผู้พันสั่ง จากนั้นก็เดินไปอาบน้ำเพื่อพักผ่อนก่อนการเข้ามิติปิดกั้นในอีกหนึ่งชั่วโมง