คำสอนของคนปาดตาล ๒

"สหายหมิงแสบจริงเชียว เอาเถิด ที่ว่างตรงนั้นก็ตั้งใจเตรียมไว้ให้พวกต้าหมิงอยู่แล้วล่ะหนา แค่ช้าหรือเร็ว...แต่ใจจริงกะว่าจะรออีกสักวันสองวัน ดูว่าจะมีพ่อค้ากลุ่มอื่นมาเจรจาต่อรองขอที่ดินตรงนั้นหรือเปล่า" มินเลตยากอดอกไปพลางบ่นให้คณะผู้มาเยือนทั้งหลายฟัง หลังเห็นว่ากลุ่มสำเภาต่างแดนจากไปแล้ว

"เจอคนเจ้าเล่ห์แสนกลเสียแล้วซิ หลานเรา" ชายชราผู้เฒ่าซึ่งปลอมตัวว่าเป็นลูกของคนปาดตาลเอ่ยขึ้นกลางวง ดวงเนตรราชันกวาดไปกว้างๆ ไม่มีใครแน่ใจว่าคำพูดนี้หมายถึงใคร ระหว่างหลานที่เป็นนักบวช หลานที่มาในคณะรุ่นเยาว์ หรือบางทีอาจจะมากกว่าที่รวมไว้ข้างต้น

"ท่านต้องประสบพวกประเภทนี้บ่อยเลยหรือ" เอินหรือที่รู้ในชื่อมังเอินตรัสถามมินเลตยาผู้ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน นักบวชผมขาวหยักไหล่ก่อนตอบกลับไป

"เป็นธรรมดาของย่านนี้แหละขอรับ แลอ้ายหลินต้าวผู้นี้ก็เป็นบุรุษประเภทลูกล่อลูกชนซะด้วย มากด้วยคารมชั้นเชิงยิ่งเสวนาจะแพ้ทางเอาโดยง่าย ข้ายังนึกว่ามังสามเกียดจะถูกเขาพูดปั่นหัว หยอกจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปแล้วด้วยซ้ำ"

'ฝีปากแค่นี้น้อยยังนักเมื่อเทียบกับที่ข้าประสบพบเจอรายวัน' หลานหลวงนึก นาถะยาหันมองค้อนเล็กๆ รับรู้ว่าถูกนินทาระยะเผาขน

"ข้างนอกมีพวกเล่นแง่เล่นกลเช่นนี้อยู่มาก ลูกต้องระมัดระวังมากกว่านี้ นี่คือโลกที่เราอาศัยอยู่" เจ้าพ่อรับสั่งอบรมกับปิโยรส ทรงมองเมยะ ก่อนหันมาทางมังสามเกียด "ถ้าก้าวเดินพลาดไม่รอบคอบ พวกเราจะอันตรายกันหมด..."

"...ขอรับเจ้าพ่อ" ผู้เป็นบุตรก้มหน้าลงต่ำ แต่บิดาสังเกตทันก็กระแอมขึ้นแล้วพูดต่อ

"ที่พูดนี่มิใช่คำสั่งสอนเจ้าในฐานะอุปราชา แต่เป็นแค่คำสอนในฐานะพ่อลูก...เราอยู่ข้างนอก มันเป็นเพียงคำสอนของหลานชายคนปาดตาลเท่านั้น" บิดาแตะอังสาลูกชายของตนเบาๆ แม้รับสั่งเข้มขรึมแต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่นลึกๆ "เจ้าเติบโตขึ้นมาก วันนี้พ่อเห็นกับตาตัวเอง รู้แล้วว่าที่พี่สาวหรือแม่เจ้าเล่าให้ฟังเป็นความจริงเพียงใด เจ้าเป็นนักสู้โดยแท้"

ผู้เป็นบุตรเมื่อได้ยินก็ทรงเงยหน้าสบตาพระบิดาเป็นครั้งแรก ความรู้สึกปิติกำซาบอยู่ลึกๆ หลานหลวงรู้สึกปลาบปลื้มในใจ เหมือนหินที่แบกไว้หลุดออกไปก้อน อย่างน้อยภาพที่เห็นตรงนี้ก็ช่วยปลอบประโลมพระองค์จากภาพจำฝันร้ายคราวก่อนไปได้อย่างยิ่ง

"ดูเหมือนว่าลูกชายข้าจะมีธุระกับท่านนักบวชผู้ทรงศีล ใคร่ขอมาฝากตัวเป็นอาจารย์สอนวิชา"

"อะไรนะ..."

เมื่อมินเลตยาได้ยินคำของมังเอินดังนั้นก็ชะงักงัน พลางสังเกตเห็นว่าหลานชายตัวน้อยนั้นพกดอกบัวร้อยมาลัยติดมือมาด้วย นักบวชก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายตาของพระฤาษีหันไปที่ผู้อาวุโสสูงสุด เจ้าปู่สงสายตาตอบกลับเชิงบอกว่าสุดแท้แต่การตัดสินใจของมินเลตยาเอง

มินเลตยาจำใจ หลังครุ่นคิดอยู่นานก็เอ่ยเสียงแผ่ว "ระยะนี้ข้ายังมีงานที่พระองค์ทั้งหลายมอบมาต้องสะสางอีกมาก...เราจำต้องทำงานเป็นการลับ จะมีคนรู้มากก็ไม่ควร เพื่อไม่ให้เครือข่ายของข้าขาดช่วง คงมิอาจรับศิษย์ได้..."

"แต่ถ้าหนหน้าหลานมาอาศรมอีก ในคราวที่ภารกิจน้าลุล่วง..." เจ้าน้าสบตาหลานชาย ก่อนจะหันหลังพลางเอ่ยด้วยความใจอ่อน "ลางทีข้าอาจพิจารณาอีกที"