ซีนที่ 14

หลังเรื่องราวการตายของซัทผ่านพ้นไป ไหนจะชีคที่ต้องนอนคุกอีก มันก็แน่นอนว่า ซีรีส์นักฆ่าใจกล้าพังไม่เป็นท่าแน่นอน มันถูกประกาศยกเลิกอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไร เกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนั้น

เข้าสู่เดือนมิถุนายน วันที่ 1 วันแรกของเดือนสุดท้ายในการฝึกงานของพลูโต และวันแรกในฐานะสมาชิกของกลุ่มมัจฉาดารา ประธานรุจบอกว่า เขาจะได้เข้าทำงานที่นี่แน่นอน ก็เป็นอันว่าความมั่นคงทางอนาคตของพลูโตนั้นสดใสเป็นอย่างมากในเวลานี้

นอกจากความก้าวหน้าในอาชีพแล้ว สิทธิพิเศษในฐานะสมาชิกของกลุ่มก็มีอีกมากมายหลายหลากด้วยกัน ซึ่งในเดือนสุดท้ายของการฝึกงานนี้ พลูโตกำลังจะได้ก้าวเข้าสู่พื้นที่ ที่คนทั่วไปไม่มีวันได้เข้าถึง มันอยู่หลังม่านของวงการบันเทิง เป็นมุมมืดสนิท ที่ถ้าเลือกได้ เขาขอไม่รับรู้มันดีกว่า

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้น ในตอนที่พลูโตได้กลับมาพบเจอกับรุ่นน้องคนหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นตัวสำรองหมายเลข 2 ของบทอัศวินในงานละครเวทีของมหาลัย ชื่อน้องอิฐ

น้องอิฐพึ่งจะเซ็นสัญญาเข้าสังกัดของเฟท และถูกหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เขาเข้ามาแทนที่ของซัท โดยจับให้เขาไปประกบคู่กับวี ในงานภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาถูกจับตามองเป็นอย่างมาก

ทว่าแท้จริงแล้วน้องอิฐไม่ได้เป็นนักแสดงใหม่ของเฟทแต่อย่างใด เขาอยู่กับเฟทมานานแล้ว แต่ก็ได้รับแค่บทเล็ก ๆ บทตัวประกอบ เป็นดาราที่ขายไม่ออกก็แค่นั้น

ส่วนสาเหตุที่ขายไม่ออก ไม่ใช่ว่าน้องไม่เก่ง หรือไร้ความสามารถหรอก แต่น้องแข็งข้อมากไป คิดว่าการจะอยู่รอดในวงการนี้นั้น ต้องพึ่งความสามารถอย่างเดียว ซึ่งน้องคิดผิดถนัด เพราะวงการบันเทิง เส้นสายมาก่อนความสามารถเสมอ

อย่างไรก็ดี หลังจากน้องอยู่มาสักพัก และได้ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ น้องก็เริ่มปลง หลังการจากไปของซัท มีดารามามากต้องการเข้ามาแทนที่ น้องอิฐเองก็เป็นหนึ่งในนั้น น้องคุยกับประธานรุจ ขอให้เขาสนับสนุนตนเอง โดยที่น้องอิฐพร้อมทำทุกอย่างเพื่อขึ้นไปเป็นดาราหมายเลข 1 ของเฟท

แล้วไอ้น้ำหนักของคำว่า พร้อมทำทุกอย่างนั้น ก็ได้รับการพิสูจน์อย่างรวดเร็ว เรื่องราวการพบเจอกันของน้องอิฐ กับพลูโตจึงได้เริ่มต้นขึ้น ในงานลับของมัจฉาดารา ที่เขาไปเดินเคียงข้างกับวี ภายใต้หน้ากากที่ถ้าเป็นคนรู้จักกันยังไงก็จำกันได้อยู่แล้ว

ณ ที่แห่งนั้น พลูโตได้พบเข้ากับน้องอิฐ ในร่างกายเปลือยเปล่า ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ ยืนอยู่กลางห้องประชุม โดยมีผู้คนมากมายต่างก็แวะเวียนกันมาเชยชมเรือนร่าง และไม่ใช่แค่น้องอิฐเท่านั้น ยังมีผู้คนมากมาย ทั้งชายหญิง ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับน้องอิฐ มันเป็นดั่งงานแสดงศิลปะ เพียงแต่สิ่งที่จัดแสดงในงานนี้คือมนุษย์ มิใช่งานศิลปะแต่อย่างใด

ซึ่งในงานนี้เอง น้องอิฐถูกประมูลไปด้วยราคาสูงที่สุดในงาน เขาจึงต้องไปบริการ รับใช้ผู้สนับสนุนของเขารายนี้ แลกกับความกาวหน้าในอาชีพการงาน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม น้องอิฐดาราขายไม่ออก ถึงได้รับการคาดหวังจากทางค่าย ให้ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแทนซัท และไม่ใช่แค่การค้ามนุษย์แบบในกรณีนี้เพียงอย่างเดียว แต่อีกโลกที่พลูโตได้ก้าวเข้าไปคือโลกของยาเสพติด

มีครั้งหนึ่งที่พลูโตได้รับมอบหมายงานจากวี ให้ไปรับของที่ศูนย์กระจายสินค้าของบริษัท B-Leave ซึ่งวีเน้นย้ำให้บอกพนักงานว่า

"มารับมัจฉะดารา"

แล้วให้แสดงสัญลักษณ์รูปปลาดาวที่ได้รับมาด้วย

ซึ่งพลูโตก็ทำตามนั้น พอแสดงตัวตนในฐานะสมาชิกเสร็จ พนักงานก็รับเข็มกลัดปลาดาวตัวนั้นไปสแกน ก่อนจะยืนยันว่าพลูโตเป็นสมาชิกจริง ๆ แล้วก็ส่งกล่องพัสดุมาให้พลูโต และเมื่อกลับไปถึงบ้าน พลูโตก็เห็นวีแกะกล่องนั้นออก และสิ่งที่อยู่ภายในกล่องก็คือยาเสพติดนั่นเอง

เท่าที่พลูโตพอจะคิดได้ดูเหมือนว่า QR Code ที่อยู่ใจกลางเครื่องประดับรูปปลาดาวนั้น จะบันทึกข้อมูลตัวตนของผู้ถือครองไว้ทั้งหมดแล้ว ถ้างั้นเครื่องประดับของพี่กบก็ไร้ประโยชน์ เพราะคนอื่นไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้ ต้องเป็นเจ้าของเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่พวกเขาตัดสินใจถูกแล้ว ที่ไม่ได้เผยแพร่เรื่องของชิ้นนั้นไป และส่งพลูโตแฝงตัวเข้ามาแทน

พลูโตได้รับรู้ ได้เห็น ได้สัมผัสเรื่องราวความลับดำมืดของเฟทมาทั้งหมดแล้ว แต่ทว่าเขาไม่สามารถส่งข้อมูลเหล่านั้นไปให้ตาณได้เลย อันที่จริงเขาไม่รู้ว่ามีใครที่เขาไว้ใจได้ด้วยซ้ำในตอนนี้ เพราะกลุ่มมัจฉาดารานั้น มีตั้งแต่ชนชั้นล่างอย่างพนักงานในบริษัทขนส่ง ไปยันชนชั้นสูงของประเทศ

ตามแผนเดิมที่วางไว้ คนที่จะส่งข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ จากพลูโตไปให้ตาณคือบุ๊ก แต่ตอนนี้บุ๊กไม่อยู่แล้ว ทว่าคุณชายสายเผือกนั้นยังอยู่ คาดว่าคงเป็นวีที่มาสานงานนี้ต่อ ถึงกระนั้นพลูโตก็ไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่า วีเป็นมิตรหรือศัตรู แม้ทั้งสองจะทำงานด้วยกันมาเกือบเดือน แต่แทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย นอกจากตอนที่วีจะเรียกใช้ให้เขาไปทำอะไรบางอย่างให้เท่านั้น

สถานการณ์มันบังคับให้พลูโตต้องทำอะไรบางอย่าง เขาอดทนรออย่างใจเย็น และในที่สุดช่วงเวลาแห่งการฝึกงานก็ผ่านพ้นไป แน่นอนว่าเขาผ่านการฝึกงานไปได้ด้วยดี ตอนนี้เขาไม่ต้องไปทำงาน วัน ๆ อยู่แต่ในบ้าน เวลาว่างก็มีมากมาย เขาจึงตัดสินใจต่อสายไปหาตาณโดยตรง

"สวัสดีครับคุณตาณสะดวกคุยไหมครับ"

พลูโตพูดอย่างแผ่วเบา แม้จะอยู่คนเดียวในห้องของตัวเองก็ตาม

"กำลังรออยู่เลย"

ตาณพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"ผมได้ทุกอย่างมาแล้วครับ เราไปเจอกันที่ไหนดี"

พลูโตพูดแล้วจ้องมองไปยังตุ๊กตาวูดูที่ซัทเคยให้เขาที่งานวัดในไชน่าทาวน์

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ย้อนกลับไปวันที่ 2 พฤษภาคม ตอนที่บุ๊กกับตาณกำลังคุยเรื่องแผนการต่อจากนี้กันอยู่ พวกเขาตกลงกันว่า บุ๊กจะเป็นคนส่งมอบหลักฐาน จึงกันพลูโตกับซัทออกมา พวกเขาคาดการว่า ทั้งคู่จะเป็นจุดสนใจจากหลาย ๆ ฝ่าย ควรรู้เกี่ยวกับแผนการทั้งหมดให้น้อยที่สุด เผื่อไว้ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด ถ้าความแตกแล้วพวกเขาถูกจับตัวไปเค้นข้อมูล บุ๊กที่เป็นคนส่งมอบหลักฐานจะได้ปลอดภัย

"เอาคืนไปนายจืด"

ซัทพูดพร้อมกับยื่นตุ๊กตาวูดูให้พลูโต

"ที่พี่เอาไปคราวก่อนนี่ ก่อนที่เราจะทะเลาะกัน พี่เอาไปทำไมเหรอ"

พลูโตพูดก่อนจะรับของไว้ แล้วพลิกไปพลิกมา เพื่อหาว่ามีอะไรเปลี่ยนไปรึเปล่า

"ดูเหมือนมันจะหนักขึ้นนะครับ"

พลูโตพึมพำออกมา ทำเอาซัทประหลาดใจ

"เก่งดีนี่นายจืด แต่โดยรวมมันก็ดูเหมือนเดิมใช่ไหมล่ะ ส่วนสาเหตุที่มันหนักขึ้นก็เพราะข้างในมีกล้อง แล้วก็พวกแผงวงจรต่าง ๆ ไหนจะแบตเตอรี่อีก"

คำพูดของซัททำเอาพลูโตตาลุกวาวขึ้นมาเลยทีเดียว

"อย่างกับในหนังสายลับ"

พลูโตบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ก่อนจะหยิบมันมาไว้ข้างหู แล้วเขย่าเบา ๆ

"อย่าเล่นสินายจืด เดี๋ยวก็พังหรอก รักษาเท่าชีวิตเลยนะ ไม่มีอันสำรองแล้ว ถึงมี แต่พอนายเข้าไปอยู่กับพวกนั้นแล้ว การที่จะมาหาพวกเราก็ลำบาก นายยังถอนตัวทันนะนายจืด"

"มาถึงขั้นนี้แล้ว ถอยไม่ได้หรอกครับ เล่นใหญ่กันไปตั้งขนาดนั้นด้วย"

"ก็จริงนะ"

ว่าแล้วทั้งสองคนก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ใครจะไปคิดว่าหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็จะไม่มีโอกาสได้พูดคุยและหัวเราะร่วมกันอีก

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กลางดึกของคืนวันที่ 7 กรกฎาคม พลูโตแอบย่องออกจากบ้านตอนกลางดึก ขึ้นแท็กซี่ไปไชน่าทาวน์ ไปอาคารจอดแล้วจรชั้นบนสุดของสถานีรถไฟฟ้า แล้วมองหารถตามลักษณะ และเลขทะเบียนรถที่ตาณให้มา อยู่พักหนึ่งจนเจอ กับรถที่ตรงตามที่ตาณบอก จึงเดินไปเคาะกระจกด้านคนขับ แล้วกระจกก็เลื่อนลงมาไม่กี่เซน

"มาส่งของให้คุณตาณครับ"

พลูโตพูด หลังจากนั้นกระจกก็ปิดลงดังเดิม เพิ่มเติมคือเสียงปลดล็อกประตูรถทางเบาะด้านหลังคนขับ พลูโตจึงเดินไปเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งในรถอย่างรู้งาน หลังจากนั้นรถก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไป

พลูโตแอบออกจากบ้านมาตอน 4 ทุ่มกว่า ๆ มาถึงไชน่าทาวน์ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว หลังจากขึ้นรถ คนขับรถก็ขับวกไปวนมาอยู่แถวนั้นอีกเป็นชั่วโมง กว่าจะพาเขาไปถึงที่หมาย ก็ตี 3 กว่า ๆ แล้ว ซึ่งสถานที่นัดพบทำให้พลูโตประหลาดใจมาก มันคือสนามยิงปืนที่เขาคุ้นเคยนั่นเอง ซึ่งหลังจากพลูโตลงมาจากรถ รถก็ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านเขา แล้วหายวับไป

"ถ้าจะมาที่นี่ตั้งแต่แรก ก็ไม่เห็นจะต้องทำอะไรให้มันซับซ้อนเลย คนขับก็ใส่หมวกใส่หน้ากากปิดหูปิดตาไม่พูดไม่จาน่ากลัวจะตาย"

พลูโตบ่นพึมพำ ในขณะที่ก้าวเข้าไปข้างในสนามยิงปืนอันมืดมิด พร้อมกับไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือของตน บรรยากาศอันมืดมิดและไร้ผู้คนของสนามยิงปืนเวลานี้ มันดูวังเวงและน่ากลัวพิกล

เมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านใน สถานที่แรกที่พลูโตส่องไฟและมองไปก็คือห้องอาหาร อันเป็นสถานที่ประจำที่พวกเขามักจะนั่งคุยและนัดแนะกัน

ณ ที่แห่งนั้น พลูโตเห็นเงาคนลาง ๆ ยืนอยู่ไกล ๆ เขาจึงเดินเข้าไป จนอยู่ในระยะห่างกันไม่ถึงสิบก้าว พลูโตจึงเห็นแผ่นหลังของคนคนนั้น และเขารู้ได้ทันทีว่า มันไม่ใช่แผ่นหลังของตาณ เขาจำแผ่นหลังของตาณได้ เพราะมันคล้ายกันกับแผ่นหลังของซัท แต่คนที่อยู่เบื้องหน้าเขาตอนนี้ไม่ใช่ทั้งคู่แน่นอน

ว่าแล้วพลูโตจึงตัดสินใจค่อย ๆ เดินถอยหลัง ทว่าถอยมาได้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น พลูโตก็ต้องหยุดชะงักลง เมื่อเขารู้สึกได้ว่า มีแท่งแข็ง ๆ บางอย่างกำลังจี้หลังเขาอยู่ เขารู้ได้ในทันทีว่ามันเป็นปืนแน่นอน พลูโตจึงค่อย ๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปเหนือหัวอย่างรู้งาน

แสงไฟจากมือถือของพลูโต ยังคงสาดส่องไปทางด้านหน้า ไปยังแผ่นหลังของชายปริศนารายนั้น ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ หันหลังกลับมาหาพลูโตอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นใบหน้าที่พลูโตคุ้นเคยเป็นอย่างดี ใบหน้าของประธานรุจนั่นเอง

"มีอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่ค่อยชอบ นอกจากการอะไรที่ควบคุมไม่ได้แล้ว สิ่งนั้นคืออะไรรู้ไหม อะไรที่มันง่ายเกินไปจนหมดความท้าทาย แบบนายนั่นแหละ"

พูดจบประธานรุจก็ดึงเก้าอี้ออกมา แล้วนั่งลงตรงหน้าพลูโต

"ตั้งแต่วินาทีแรก ที่คลิปตอนนายถูกซัทตบ หลุดไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต มันมีสิ่งหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของฉัน คือจอมมารของเรามือความเป็นมืออาชีพมาก ๆ ไม่ว่าจะปล่อยข่าวฉาวไปขนาดไหน เขาก็ยังทำงานอย่างตั้งใจต่อไป ที่สำคัญคือ เขารักและแคร์ความรู้สึกของแฟนคลับเอาเสียมาก ๆ แต่แล้วเขากลับแสดงความไม่เป็นมืออาชีพต่อหน้าแฟนคลับ สองสิ่งนั้นที่เขายึดเหนี่ยวไว้ เขากลับทิ้งมันไปในวันเดียวกัน จะว่ามันบังเอิญ...ก็ได้อยู่หรอก ซึ่งเผอิญว่าฉันไม่เชื่อเรื่องนั้น แต่ก็มีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นอีกจนได้ เมื่อคุณชายสายเผือกปล่อยข่าวรักสามเส้าเรื่องนั้นอย่างถูกจังหวะราวกับนัดกันมา แล้วนายก็หันหน้าเข้าหาสมาคมอะไรนั่น ทำเหมือนจะแก้แค้น ซึ่งฉันเกือบจะหลงกลสิ่งที่คุณชายสายเผือกบอกแล้ว ว่าพวกนายแอบกิ๊กกันจริง ๆ แต่ แต่ แต่ ถ้าคุณชายสายเผือกกับพวกนายรวมหัวกันล่ะ ถ้าคิดได้แบบนั้นอะไรที่ดูเป็นไปไม่ได้ มันก็ดูจะลงตัวพอดี แล้วพวกนายติดต่อคุณชายสายเผือกผู้ลึกลับได้ยังไงกันล่ะ นั่นเป็นเรื่องที่ฉันคิดอยู่นานเลยกว่าจะได้คำตอบที่มีน้ำหนักมากพอ"

ประธานรุจหยุดบ่น แล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินมาใกล้ ๆ พลูโต แล้วจ้องหน้าเขาอย่างจริงจัง

"นายนั่นแหละ คือคุณชายสายเผือก"

ทันทีที่ประธานรุจพูดจบ เขาก็สังเกตเห็นว่า สีหน้าแววตาของพลูโตมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

"ใช่จริง ๆ ด้วยงั้นสินะ"

ประธานรุจบ่นพึมพำ แล้วละสายตาไปจากพลูโต ก่อนจะกลับหลังหัน แล้วลงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม

"ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ใช่คุณชายสายเผือก"

พลูโตรีบตอบตะโกนตอบทันที แต่ไม่รู้ว่าทำไมความจริงที่ออกมาจากปากเขาในตอนนี้ มันถึงดูเหมือนคำโกหกก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะสีหน้าแววตาที่เขาเผลอแสดงออกมาเมื่อกี้หรือเปล่า แต่ว่าเมื่อกี้เขาไม่ได้ตกใจที่ความลับแตกนะ แต่ตกใจที่มีคนหาว่าเขาเป็นคุณชายสายเผือกอีกแล้วต่างหาก

"มาแก้ตัวตอนนี้ ก็ไม่ทันแล้ว เฮ้ยนายน่ะ ค้นตัวมันสิ แล้วก็สั่งให้เปิดไฟได้แล้ว"

ลูกน้องของประธานรุจที่จี้ปืนใส่หลังพลูโตอยู่ ได้ยินคำสั่งของเจ้านายแล้วจึงเริ่มค้นตัวพลูโต โดยใช้มือซ้ายข้างเดียว ลูบคลำไปเรื่อย ๆ ส่วนมือขวาก็ถือปืนจี้ต่อไป แล้วในที่สุดเขาก็ค้นพบบางอย่าง เขาจึงพยายามหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงของพลูโต มันคือตุ๊กตาวูดูตัวนั้นนั่นเอง

"รักษาเท่าชีวิต"

เสียงของซัทยังดังก้องอยู่ในหัวของพลูโต เขาจึงตัดสินใจสะบัดตัวหนี ก่อนที่นายคนนี้จะหยิบมันออกมาได้สำเร็จ ซึ่งน่าเสียนายที่ไม่เป็นผล เพราะนายคนนี้ตัวสูงและแข็งแรงกว่าเขาประมาณหนึ่ง มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับตอนที่ไฟติดพอดี ก่อนที่พลูโตจะถูกจบกดลงไปบนพื้น พลูโตจึงได้เห็นว่าชายคนนี้ที่กำลังกดตัวเขาไว้ เป็นคนขับรถที่พาเขามาส่งที่นี่

"หรือว่าเขาจะติดกับ สถานที่นัดพบของจริงไม่ใช่ที่นี่"

นั่นคือสิ่งที่พลูโตคิดได้ตอนนี้ ในขณะที่ชายคนนั้น หยิบตุ๊กตาวูดูออกมาจากกระเป๋ากางเกงของพลูโต และประธานรุจที่เดินเข้ามาใกล้ ๆ ชายคนที่เป็นลูกน้องทำท่าเหมือนจะยื่นตุ๊กตาวูดูให้กับประธานรุจ แต่ว่าเมื่อประธานรุจเดินมาใกล้ในระยะสามก้าว ชายคนนั้นกลับชักมือที่ยื่นตุ๊กตากลับ แล้วหันกระบอกปืนไปทางประธานรุจแทน ประธานรุจเห็นแบบนั้นจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัว

"เพราะแบบนี้ไงฉันถึงไม่ชอบอะไรที่มันง่ายเกินไป"

ประธานรุจบ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิด

ชายคนนั้นเลิกกดตัวพลูโต แล้วใส่ตุ๊กตาวูดูกลับเข้าไปที่เดิม ในกระเป๋ากางเกงของพลูโต จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนโดยที่สายตาและกระบอกปืนยังจับจ้องไปที่ประธานรุจ

"อย่าพึ่งลุกนะนายจืด"

เสียงและวิธีการพูดของเขา มันช่างดูคุ้นหู จนพลูโตอดที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองเขาไม่ได้ พลูโตมีความคิดบางอย่างอยู่ในหัว แล้วน้ำตาก็เริ่มซึมออกมา

ชายคนนั้นยืนตัวตรง ในมือขวาถือปืนและหันปากกระบอกไปยังประธานรุจ นิ้วชี้อยู่ในไกปืน พร้อมลั่นมันออกไปถ้าประธานรุจทำอะไรตุกติก จากนั้นเขาจึงใช้มือซ้ายถอดหมวก ถอดหน้ากากออกไปจนหมดสิ้น เผยให้เห็นใบหน้าของเขาแบบเต็ม ๆ ตา

"นี่แกยังไม่ตายเหรอ หรือว่าไอ้เด็กนี่"

ประธานรุจอุทานออกมาเสียงดัง ก่อนจะหันไปเหลือบมองพลูโตที่นอนร้องไห้อยู่กับพื้น

"ไม่ใช่สิ นี่แกหลอกพวกเดียวกันด้วยเหรอไอ้ซัท"

ประธานรุจตะโกนเสียงดังด้วยความโมโห

"ผมยังตายไม่ได้หรอก ก็ผมเป็นพระเอก แล้วก็ไม่เคยได้ยินสำนวนนี้เหรอพี่เขย การจะหลอกศัตรูให้สำเร็จ ต้องหลอกพวกเดียวกันให้ได้ก่อน"

"งั้นเหรอ ฉันโดนซ้อนแผนสินะ ส่งสายลับที่เก็บความรู้สึกไม่เป็นมาเพราะแบบนี้นี่เอง"

พูดจบประธานรุจก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก

"แต่ว่านะซัท ทำแบบนี้ไม่ห่วงพี่สาวเหรอ"

ประธานรุจพูดแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

"นายทำให้ฉันไขว้เขวไม่ได้หรอก"

"ก็ไม่แน่หรอก เราต่างก็รู้ดีว่าอะไรบ้างที่สำคัญสำหรับนาย ลองโทรไปหาพี่สาวหน่อยไหมล่ะ น้องชายฟื้นมาทั้งคน เธอน่าจะดีใจอยู่นะ"

ประธานรุจพูดยั่วยุ แล้วก็หยุดนิ่งเงียบไป ไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่มีใครพูดอะไรต่อ บรรยากาศดูเงียบสงบและน่าอึดอัด ราวกับว่าใครเอ่ยปากพูดคำต่อไปจะเป็นฝ่ายแพ้ยังไงยังงั้น ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงคำพูดเท่านั้น ที่ทำให้แพ้ แค่ซัทเหลือบตาลงมองต่ำไปดูพลูโตที่กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ แค่นั้นเขาก็แพ้แล้ว

เพียงกลอกตามองครู่เดียว ซัทก็เห็นว่าพลูโตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ซึ่งในจังหวะนั้นเอง ไฟก็มืดดับลงไปทุกที่ ยกเว้นที่เดียว ก็คือแสงจากจอโทรศัพท์ของพลูโตนั่นแหละ

ซัทเห็นท่าไม่มีรีบกระโดดคว้าตัวพลูโตไว้ โทรศัพท์จึงหลุดออกจากมือของพลูโต แล้วทั้งคู่ก็กลิ้งไปรอบ ๆ ในจังหวะที่มีเสียงปืนดังขึ้นพอดี ตามมาด้วยเสียงอะไรบางอย่างแตก แล้วแสงจอโทรศัพท์ของพลูโตหายไป

"ไม่เป็นไรใช่ไหมนายจืด"

ซัทกระซิบอย่างแผ่วเบา ในความมืด

"มะ ไม่เป็นไรครับ"

พลูโตตอบอย่างกระอักกระอ่วน ไม่ก็ขวยเขิน เพราะเขารู้สึกได้จากน้ำหนัก สัมผัสกาย และทิศทางของเสียง ได้ว่าตอนนี้ซัทกำลังนอนคร่อมอยู่บนตัวเขา

แต่ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในสถานการณ์แห่งความเป็นความตาย ไม่ใช่ในฉากเลิฟซีน พวกเขานิ่งเงียบกันอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่งเพื่อฟังเสียง และเพื่อซ่อนตัว แล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ตามมาด้วยเสียงเปิดประตู จากทิศทางออกของสนามยิงปืน ทั้งคู่จึงรีบผละตัวออกจากกัน แล้วลุกขึ้นวิ่งตามไปด้วยความรวดเร็ว

ทว่าเมื่อออกมาจากสนามยิงปืน สิ่งที่พวกเขาเห็นก็เป็นเพียงฝุ่นตลบ กับเสียงรถที่แล่นออกไปด้วยความรวดเร็ว ไม่นานนักก็มีรถอีกคันแล่นเข้ามาจอดอยู่เบื้องหน้าไม่ใกล้ไม่ไกลกันกับทั้งคู่ แล้วคนขับรถคันนั้นก็ลดกระจกลงมา เผยให้เห็นว่าตาณเป็นคนขับ

"เร็ว ๆ ขึ้นมา"

ตาณตะโกนเรียกซัทกับพลูโต โดยที่ทั้งสองคนก็รีบวิ่งขึ้นรถไปในทันที โดยที่ซัทนั่งข้างคนขับ ส่วนพลูโตนั่งเบาะหลัง ก่อนที่ตาณจะรีบขับรถตามไปอย่างรวดเร็ว

"สรุปเรื่องมันเป็นมายังไงทำไมพี่ยังไม่ตาย"

"เรื่องมันยาวนายจืดเอาไว้ก่อนเถอะ"

"ทั้งสองคนมองไปข้างหน้า พวกเราตามมาทันแล้ว"

สิ้นเสียงของตาณทุกคนก็หันไปมองหน้ารถ แล้วพบว่าข้างหน้ามีรถกระบะคันหนึ่งแล่นอยู่ และท้ายกระบะมีคนอยู่ 3-4 คน พร้อมอาวุธครบมือที่กำลังจ่อมายังเขา

"มีอาวุธสงครามด้วย ได้เพิ่มอีกข้อหาแล้ว"

"ใจเย็นก่อนเพื่อน เรากำลังเสียเปรียบนะ"

"ไม่ต้องห่วงเพื่อน นี่รถตำรวจอย่างดี กันกระสุน"

"เอ่อ พี่ ๆ ครับดูนั่น"

พลูโตพูดพร้อมชี้ไปข้างหน้า ซัทที่กำลังคุยกับตาณอยู่จึงหันไปมองตามที่พลูโตชี้ แล้วเห็นสิ่งที่พวกนั้นพึ่งควักออกมา ทำให้สีหน้าของเขาซีดลงทันที

"แล้วรถคันนี้กันระเบิดไหมเพื่อน"

"ไม่ว่ะเพื่อน"

"ฉิบหายแล้ว"

สิ้นเสียงอุทานของซัท รถคันข้างหน้า ก็โยนระเบิดมาทางเขา เป็นเหตุให้ตาณต้องตัดสินใจหักรถไปทางซ้ายเข้าป่าข้างทางหลบระเบิด แล้วก็ตู้ม พวกเขารอดจากระเบิดมาได้หวุดหวิด แต่โชคร้ายยังไม่จบ เพราะตอนที่เขาหักรถเข้าไปในป่าข้างทางนั้นยางรถก็ดันมาแตกเอาเสียนี่

"รถโคตรกากเลยเพื่อน นอกจากกันกระสุนแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรเลย"

"ก็ใครจะไปรู้วะไอ้ซัท ว่าพวกนั้นมันจะมีอาวุธสงครามครบครันกันขนาดนั้น"

ในระหว่างที่พลูโตยืนมองสองหนุ่มสาดน้ำลายใส่กัน ก็มีรถกระบะของตำรวจอีกคันมาจอดรออยู่ใกล้ ๆ ทั้งสามหนุ่มจึงรีบวิ่งตรงไปที่รถ กระโดดขึ้นกระบะ แล้วเคาะส่งสัญญาณให้คนขับรีบขับไปทันที

"พวกพี่จะบอกผมได้รึยังว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง"

พลูโตพูดอย่างสุดเสียง แต่ทว่าแรงลมที่พัดไปตามความเร็วของรถทำให้ไม่มีใครได้ยินเลย

"พวกพี่ พวกพี่ พวกพี่"

พลูโตยังไม่ยอมแพ้เขาพยายามตะโกนอีกรอบซึ่งเป็นผล เพราะซัทได้ยินจึงหันมาคุยกับเขา

"มีอะไรเอาไว้ก่อนคุยทีหลังนะนายจืด ไม่ค่อยได้ยินเลย แต่อีกเดี๋ยวก็จบแล้วล่ะ"

ซัทตะโกนพูดกับพลูโต

.......โปรดติดตามซีนต่อไป.......