บทที่ 12 ช่วยชีวิตเด็กหญิง (1)
สวนสาธารณะบึงต้นหลิวตั้งอยู่ชานเมือง มีเนื้อที่นับร้อยไร่ อยู่ติดกับภูเขา แต่เดิมเป็นป่าธรรมชาติ แต่เพราะความเจริญค่อยๆพัฒนาเข้ามา ทางเทศบาลจึงแบ่งพื้นที่ป่าในส่วนพื้นราบปรับปรุงทำเป็นสวนสาธารณะและแหล่งท่องเที่ยว มีบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง รอบๆบึงเป็นต้นหลิวขนาดใหญ่ ส่วนตื้นของทะเลสาบถูกกันให้คนมาว่ายน้ำเล่นได้ แต่คนส่วนใหญ่จะชอบมาเดินชมสวนและนั่งเล่นปิกนิกกันมากกว่า ส่วนคนที่เล่นน้ำส่วนใหญ่ก็เล่นกันในริมบึงที่ตื้นๆ ซึ่งเวลานี้ของปีที่อากาศยังหนาวเย็นอยู่ มีคนมาเล่นน้ำไม่มากนัก
ส่วนไกลออกไปกลางบึงจะเป็นกิจกรรมทางน้ำเช่นเล่นเซิร์ฟบอร์ด ตกปลา พายเรือชมวิวธรรมชาติอะไรพวกนั้น
ซีหลินตั้งข้อสันนิษฐานว่าจุดที่เด็กจมน้ำอาจจะไม่ใช่จุดที่มีการอนุญาตให้คนเล่นน้ำ เพราะสถานที่ที่ได้รับการอนุญาต น่าจะมีคนพลุกพล่าน มีการรักษาความปลอดภัยที่ดี หากมีเด็กสักคนจมน้ำจริง ก็น่าจะมีคนช่วยเด็กขึ้นมาได้ทัน ไม่น่าทิ้งไว้นานจนเด็กเสียชีวิต
หลังจากมาถึง เธอแวะไปริมบึงละแวกที่เขาอนุญาตให้เล่นน้ำแล้วก็คิดว่าข้อสันนิษฐานของตัวเองมีแนวโน้มจะเป็นไปได้ เพราะละแวกนี้ถึงไม่มีคนมาเล่นน้ำมากมาย เนื่องจากสภาพอากาศที่ยังหนาวเย็นอยู่ แต่ก็มีไลฟ์การ์ด และเจ้าหน้าที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัยให้อยู่ตลอด หากเกิดเหตุขึ้นที่นี่ ต้องมีคนมากมายเข้าไปช่วยเด็กไว้ได้ทันแน่นอน อย่างน้อยก็คงเร็วกว่าเธอที่ไม่ได้ฝึกฝนด้านนี้มาโดยเฉพาะ
หญิงสาวตัดสินใจตระเวนเดินดูไปรอบๆ สังเกตจุดที่มีเด็กหญิง ไว้เป็นพิเศษ เวลาบ่ายสองกว่าช่วงนี้เป็นเวลาเรียน เด็กที่มาเล่นที่สวนสาธารณะแห่งนี้จึงมีไม่มาก ส่วนใหญ่ที่มาก็มาพร้อมครอบครัว และเป็นเด็กเล็กวัยยังไม่เข้าอนุบาล
ยิ่งคิดว่าเด็กที่อาจเคราะห์ร้ายเป็นเด็กอายุแค่สองสามขวบซีหลินก็เคร่งเครียดกังวลยิ่งขึ้น เด็กโต หากจมน้ำก็อาจมีกำลังแรงพอพยุงตัวรอให้คนไปช่วยได้สักระยะ แต่ถ้าเป็นเด็กเล็ก ทั้งกำลังกายก็น้อย ความรู้การว่ายน้ำขั้นต้นก็อาจจะยังไม่ได้เรียน ถ้าหากเด็กจมน้ำไปแล้วก็โอกาสที่จะเป็นอันตรายร้ายแรงสูงมาก
ซีหลินเดินไปทั่วบึงน้ำรอบหนึ่ง พบกลุ่มที่มีเด็กผู้หญิงอยู่ในกลุ่มด้วยสามกลุ่ม หนึ่งกลุ่มมากันเป็นครอบครัวใหญ่มีคนถึงหกเจ็ดคน นั่งเล่นกันที่ริมบึงจุดที่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยแน่นหนา หากเด็กจมน้ำหรือเกิดอันตรายขึ้นที่นี่ คงมีคนมากมายเข้าไปช่วยเด็กเอาไว้ได้ทัน
อีกกลุ่ม นั่งกินอาหารและเล่นปิกนิกอยู่ในสนามหญ้าห่างออกไป ไม่มีแนวโน้มจะเข้าไปใกล้บึงน้ำแต่อย่างใด ส่วนกลุ่มสุดท้าย มีสมาชิกในกลุ่มแค่สองคนคือหญิงสูงอายุและเด็กหญิงวัยสองถึงสามขวบคนหนึ่ง
เมื่อเห็นสีหน้าที่ผิดปกติของหญิงสูงอายุคนนั้น ซีหลินก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี เธอจึงตัดสินใจเลือกตามกลุ่มนี้ หวังว่าการเลือกของเธอจะไม่ผิด
หญิงชรา เดินวนรอบบึงน้ำอยู่นานก็ไม่ได้ทำอะไร ซีหลินที่ตามมาห่างๆ เริ่มกังวลหรือว่าเธอจะเลือกตามผิดคน กำลังลังเลว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป หญิงชราอุ้มเด็กเดินข้ามสะพาน ประกอบกับตอนนั้นมีเสียงดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง ไม่ทราบว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
ซีหลินตกใจมาก คิดว่าหรือที่เกิดเหตุเด็กตกน้ำจะเป็นจุดนั้น กำลังจะวิ่งไปดูจุดที่มีเสียงดัง แต่หางตาเหลือบมองไปทางสะพานเสียก่อน และพบว่าหญิงสูงอายุกำลังวิ่งลงจากสะพานไปอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงที่เธอเคยอุ้มเอาไว้ก็หายไป
ซีหลินหัวใจหล่นวูบ มองไปที่ผิวน้ำที่อยู่ใต้สะพาน เห็นร่างเล็กๆของเด็กหญิงกำลังตะกุยน้ำพยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด!!!
"ช่วยด้วย มีเด็กจมน้ำ มีเด็กจมน้ำ!!"
เธอตะโกนเสียงดังสุดเสียง แล้วเอานกหวีดที่แขวนไว้รอบคอขึ้นมาเป่าเสียงดังเพื่อหวังดึงความสนใจให้คนเห็นความผิดปกติรีบเข้ามาช่วยเหลือ ขณะเดียวกับที่เป่านกหวีดก็วิ่งเต็มฝีเท้าไปยังสะพานใกล้จุดที่เด็กจมน้ำให้มากที่สุด
แม้จากข้อมูลที่เธอศึกษามา คนที่ช่วยผู้จมน้ำ ไม่ควรกระโดดลงไปช่วยด้วยตัวเอง แต่ผู้ประสบเหตุตอนนี้เป็นแค่เด็กอายุสองถึงสามขวบ ต่อให้เธอโยนห่วงยางลงไปให้ก็ไม่รู้ว่าเด็กจะคว้าจับได้หรือเปล่า ในช่วงความเป็นความตายซีหลินเลิกสนใจเรื่องหลักวิชาการ เธอโยนห่วงยางลงไปใกล้ๆจุดที่เด็กจมน้ำ จากนั้นก็กระโดดตามลงไปดึงตัวเด็กหญิงที่กำลังหมดแรงจมลงไปในน้ำขึ้นมาได้
เด็กหญิงตะเกียกตะกายพยามเกาะยึดซีหลินเอาไว้แน่น ถ้าเป็นการกระทำของผู้ใหญ่ก็เป็นไปได้ว่าการเกาะยึดนี้จะทำให้ซีหลินเคลื่อนแขนเพื่อว่ายน้ำพยุงตัวไม่ได้ เสี่ยงให้พวกเราจมลงไปด้วยกันทั้งคู่ ยังดีว่านี่เป็นเด็กวัยสองสามขวบ แขนขายังไม่มีแรงรัดอะไรมาก ซีหลินสามารถดึงเด็กหญิงออกจากตัวแล้วอุ้มให้เธอไปนั่งบนห่วงยางได้ในที่สุด
เด็กหญิงเหมือนหมดแรงหมดสติไป ซีหลินตกใจกลัวจะมีอะไรร้ายแรง จึงรีบว่ายน้ำผลักห่วงยางไปริมตลิ่งให้เร็วที่สุด แม้สะพานจะอยู่ใกล้มาก แต่เพราะมีความสูงมากเกินไปทั้งยังมีราวสะพานที่ถี่แคบ ผู้ใหญ่หรือเด็กไม่สามารถลอดผ่านไปได้ สถานการณ์ตอนนี้เธอไม่สามารถพาตัวเองและเด็กปีนกลับขึ้นไปทางสะพานซึ่งเป็นจุดที่ใกล้ที่สุดได้ จะขึ้นฝั่งได้จึงมีแค่ไปขึ้นที่ริมตลิ่งเท่านั้น แต่จุดที่เด็กตกน้ำคือกลางสะพาน แทบจะอยู่กลางบึงด้วยซ้ำ จึงต้องใช้แรงและกำลังเป็นอย่างมากที่จะพาเธอและเด็กว่ายไปถึงฝั่ง
โชคดีที่เสียงนกหวีดที่เธอยังคาบเอาไว้ดังมากพอจะดึงความสนใจให้คนมองมา มีคนรู้ว่ามีคนตกน้ำที่จุดนี้ ทั้งพลเมืองดีและไลฟ์การ์ดประจำบึงหลายคนก็กระโดดน้ำลงมาช่วยเหลือ ในที่สุดซีหลินและเด็กหญิงก็ถูกพาขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย
"ช่วยดูอาการของเด็กด้วยค่ะ เธอปลอดภัยไหม!!"
เมื่อขึ้นมาบนฝั่งซีหลินก็รีบร้องบอกให้คนช่วยดูอาการของเด็กหญิงที่หมดสติไป แม้ซีหลินจะเข้าไปช่วยเด็กไว้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้แล้ว แต่ตอนที่เธอเข้าถึงตัวเด็กหญิงก็เริ่มหมดแรงจมลงไปในน้ำแล้ว เป็นไปได้ว่าช่วงนั้นเด็กอาจมีน้ำเข้าปอดเข้าจมูกส่งผลกระทบอันตรายอะไรหรือเปล่า
ไลฟ์การ์ดรีบเข้ามาช่วยตรวจสอบการหายใจและการเต้นหัวใจของเด็ก แม้เด็กหญิงจะหมดสติ แต่เมื่อพบว่ายังหายใจและมีการเต้นหัวใจอยู่ทุกคนจึงโล่งใจ
พยายามปลุกจนเด็กหญิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะมีสำลักน้ำบ้างเล็กน้อยแต่เหมือนว่าอาการจะปลอดภัยแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยเจ้าหน้าที่จึงทำการโทรเรียกรถฉุกเฉินให้มารับตัวเด็กหญิงไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลอีกครั้ง