ตอนที่ ๑๓ สูญเสียครอบครัวคนสำคัญ

กระท่อมน้อยกลางป่าไผ่

ฟ่งหลันหลั่นเดินทางกลับมายังกระท่อมน้อยของตนด้วยใบหน้าเบิกบานและสุขใจ มือข้างหนึ่งถือห่อยาสมุนไพรหายาก ส่วนอีกข้างคือสุราชั้นดีสองไหจากหอมู่ต๋า

ฟ่งหลันหลั่นส่งเสียงสดใสร้องตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล

"ตาเฒ่า ข้ากลับมาแล้ว วันนี้ข้ามียาบำรุงกับสุราชั้นดีของโปรดท่านมาฝากด้วย" เสียงของนางดังขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินผ่านประตูด้านหน้าทางเข้ากระท่อมด้วยซ้ำ

แต่พอสตรีน้อยเดินก้าวขาผ่านพ้นประตูไม้ที่โครงสร้างค่อนข้างทรุดโทรมจะพังแหล่มิพังแหล่ เข้ามาจนถึงบริเวณลานด้านหน้าของกระท่อม นางก็เริ่มเห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง

ภาพโดยรอบที่ปรากฏต่อสายตา ทำให้ต้องตกใจและเกิดความหวั่นวิตกขึ้นมาอย่างฉับพลัน

ปลาตัวเล็กน้อยและสมุนไพรป่าตากแห้งอยู่ในกระจาด ซึ่งเคยตั้งวางอยู่บนรางไม้ระแนง ตอนนี้กลับหล่นกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น

ถ้วยโถโอชา ข้าวของเครื่องใช้ แม้กระทั่งไหและเครื่องปั้นดินเผาที่เคยเต็มไปด้วยน้ำ บ้างก็ล้มระเนระนาด กลิ้งขลุกขลิกอยู่บนพื้น บ้างก็แตกเสียหายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนไม่เหลือสภาพเดิม

ฟ่งหลันหลั่นพูดโพล่งขึ้นกับตัวเอง "ทำไมสภาพกระท่อมถึงได้ดูเละเทะแบบนี้" ในขณะที่สตรีน้อยบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างสงสัย จังหวะนั้นมีสายลมอ่อนพัดโชยมาจากทางตัวกระท่อม ความผิดปกติบางอย่างทำให้นางต้องรีบยกแขนขึ้นมาปิดจมูกของตัวเองอย่างรวดเร็ว

"หื้ม! นี่มันกลิ่นเหม็นเน่าอะไรกัน ทำไมถึงได้ส่งกลิ่นรุนแรงเช่นนี้"

ตอนนี้คำถามและความเป็นกังวลมากมายเริ่มผุดขึ้นมาในหัวสมองอันน้อย ๆ นี้ เพื่อขจัดความสงสัยนั้น นางเดินอย่างรีบร้อนตรงดิ่งไปยังประตูไม้ไผ่ของตัวกระท่อม มือทั้งสองข้างก็ผลักประตูไม้ผุ ๆ นั้นอย่างแรงจนเปิดออกและกระแทกไปโดนผนังด้านข้าง

ปัง!

สภาพด้านในกระท่อมมีหยากไย่ขึ้นตามฝาผนังและมีฝุ่นเกาะหนาเตอะอยู่ตามจุดต่าง ๆ ราวกับไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่มาหลายวันแล้ว แถมโต๊ะเก้าอี้ล้มคว่ำระเนระนาดกองอยู่บนพื้น ทิ้งร่องรอยของการต่อสู้ไว้ ยิ่งทำให้นางกังวลหนักขึ้น

ตาเฒ่า!

เมื่อนางฉุกคิดขึ้นมาได้เช่นนั้น จึงวิ่งปรี่ตรงเข้าไปยังห้องนอนด้านในอย่างรวดเร็ว

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าถึงกับทำให้สติของสตรีน้อยขาดวิ่นหลุดลอย และหัวเข่าทั้งสองข้างแทบทรุดลงไปนั่งลงบนพื้น มือทั้งสองข้างไร้เรี่ยวแรงไปชั่วขณะจนเผลอปล่อยสิ่งของที่ถืออยู่ในมือร่วงตกลงพื้น แตกกระจายจนเหล้ากระเซ็นไปทั่วพื้น

เพล้ง!

ชายชราคนที่เลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนนางมาตั้งแต่จำความได้ เขานอนหงายแผ่หลาอยู่บนเตียงไม้ไผ่อย่างสงบนิ่ง แถมยังมีแมลงหวี่แมลงวันบินตอมไปทั่วทั้งตัว ซึ่งตอนนี้สภาพภายนอกอันผอมแห้งมีแต่หนังหุ้มกระดูกนั้น เริ่มส่งกลิ่นอันไม่น่าพึงประสงค์โชยคลุ้งไปทั่วห้องเล็ก ๆ นั้น

"มะ ไม่จริง นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง...ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่! ข้าแค่ฝันไป..."

ฟ่งหลันหลั่นปากสั่นพูดพึมพำเบา ๆ และหัวเราะกับตัวเองอย่างกับคนไร้สติ หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาจากดวงตากลมโตใสหยดแหมะลงบนเป็นสายลงบนพวงแก้มงาม

นางพยายามประคองสองขาอันไร้เรี่ยวแรง เดินตรงไปยังเตียงนอนตรงหน้า ซึ่งตามความจริงอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าว แต่นางกับใช้เวลาเกือบหนึ่งส่วนสี่ของก้านธูปเพื่อจะเดินไปถึงจุดนั้น

มือน้อย ๆ สั่นเทาคู่นั้นของสตรีน้อย ค่อย ๆ วางสัมผัสลงไปบนเจ้าของเรือนร่างไร้ลมหายใจบนเตียงไม้ไผ่ อย่างแทบไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง ว่ามันคือความจริง

ฟ่งหลันหลั่นโน้มตัวลงสวมกอดร่างอันไร้วิญญาณ ใบหน้าแนบซบลงไปบนแผ่นอกของตาเฒ่าฟ่งไว้อย่างแนบแน่นโดยไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์ หยาดน้ำตาหลั่งไหลพรั่งพรูหล่นลงพวงแก้มงามราวกับสายน้ำ ดวงใจดวงน้อยเจ็บปวดยิ่งยวดเหมือนถูกเข็มเล็ก ๆ นับพันนับหมื่นเล่มทิ่มแทงก็ไม่ปาน

บัดนี้ คนในครอบครัวเพียงคนเดียวในชีวิตนี้ของนาง ได้ถูกมัจจุราชพรากดวงวิญญาณเขาจากโลกนี้ไปตลอดกาล

"ฮือฮือ...ตาเฒ่า! มันเกิดอะไรขึ้น ท่านจะทิ้งข้าไปแบบนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีท่าน ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เยี่ยงไรกัน...ขอเพียงแค่ท่านยอมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าท่านจะบ่น ดุด่าว่ากล่าวอันใด ข้าสัญญาว่าจะเชื่อฟังและจะไม่เถียงท่านอีกต่อไป ฮือฮือ..."

เสียงร้องไห้ฟูมฟาย เสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด รวดร้าวทรมานและเสียใจอย่างที่สุดดังระงมไปทั่วกระท่อมไม้ไผ่นั้น

"ตาเฒ่า...ไหนท่านบอกว่าจะช่วยสอนหนังสือและสอนการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ให้กับข้ายังไงกันล่ะ แถมท่านก็ยังไม่ได้เห็นข้าแต่งงานเลยมิใช่หรือ หากข้าไม่มีท่านแล้ว ผู้ใดกันเล่าจะเป็นคนส่งตัวข้าเข้าห้องหอกัน ท่านจะมาผิดสัญญาและทิ้งข้าไปแบบนี้ไม่ได้นะ ข้าไม่ยอม!"

หัวใจดวงน้อยเจ็บปวดแทบแตกสลาย และนางไม่อาจจะยอมรับ ความจริงตรงหน้าได้ว่า ตาเฒ่าผู้ที่เป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียว ได้ลาลับจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว

ฮือฮือ...หยาดน้ำตายังคงร่วงเผาะดุจดังไข่มุกอยู่บนใบหน้างามของนาง

ช่วงเสี้ยวหนึ่ง สตรีน้อยสัมผัสได้ว่าความเจ็บปวดทรมานนี้ที่ลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจเยี่ยงนี้ เหมือนเหตุการณ์ในลักษณะมันเคยเกิดขึ้นกับตนมาก่อน แต่พอพยายามคิดกลับนึกอะไรไม่ออก

ฟ่งหลันหลั่นนั่งร้องไห้เสียใจอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่นานหลายชั่วยาม ตอนนี้ในใจเต็มไปด้วยความสับสนมืดมนหนทาง ไม่รู้จะคิดอ่านต่อไปยังไงดี เพราะไม่ว่าจะหันมองไปทางไหน ภาพความทรงจำมากมายผุดขึ้นมาในหัวสมองน้อย ๆ ราวดอกเห็ดนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวของนางและเขา ที่เคยใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่นางจำความได้นับเป็นสิบปี

ในขณะที่จิตใจและร่างกายเหนื่อยล้าจนแทบหมดเรี่ยวแรง แม้แต่คราบน้ำตาบนพวงแก้มสองข้างก็ยังแห้งกรัง

สตรีน้อยจึงค่อย ๆ ตั้งสติให้กลับมา สายตาพลางเหลือบมองไล่ต่ำไปตรงขอบเตียง พลันเห็นมือข้างหนึ่งของตาเฒ่าฟ่งกำมือไว้แน่น และเหมือนมีเศษชิ้นส่วนของบางสิ่งบางอย่างโผล่ยื่นออกมาเล็กน้อย

สตรีน้อยยกมือปากคราบน้ำตาอันแห้งกรัง ก่อนจะยื่นมือไปแกะฝ่ามือของตาเฒ่าฟ่งคลี่หมัดนั้นออก ปรากฏว่าเป็นกระดาษสาสีน้ำตาลไหม้แผ่นเล็ก ๆ และมีตัวอักษรบางอย่างเขียนไว้

แต่ยังไม่ทันที่จะได้คลี่มันออกดู

ปัง!

โครม!

เสียงดังเอะอะโครมครามที่อยู่ทางด้านนอกตัวกระท่อม ทำให้ฟ่งหลันหลั่นก็ต้องรีบยัดกระดาษแผ่นนั้นเข้าไปเหน็บใส่เข้าซ่อนไว้ในตัวเสื้อด้านในของตนอย่างรวดเร็ว

"เฮ้ย! พวกเจ้ารีบไปค้นให้ทั่วกระท่อมอีกครั้ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางนั่นจะไม่ย้อนกลับมาหาตาแก่ของมัน"

ดูเหมือนว่าเหตุการณ์แย่ ๆ และความโชคร้ายที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตของฟ่งหลันหลั่นจะยังไม่จบลงง่าย ๆ เสียแล้ว

....

เซียงไค 盛開