3-2 死亡之城 นครมรณา

ปีศาจสาวในอาภรณ์สีชาดลุกขึ้นจากฟูก สยายปีกหงิกงอดูไม่เป็นโครงร่าง หลังเปลี่ยนชุดจากหีบอาภรณ์ด้วยการสะบัดมือเพียงครั้ง

ร่างบอบบางของนางแทบปลิวไปกับสายลม ด้วยความที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาร่วมอาทิตย์ นางมิได้ดื่มกลืนพลังวิญญาณหลังการสู้รบกับเจ้าตำราโหด นางเดินโซเซไปทางบริเวณด้านหลังเรือนไม้

ใต้เวหาเยียบเย็นทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเหมันต์ เบื้องหน้าปรากฏเพียงความมืดมิด นางยกสองมือกอดกุมตน ริมฝีปากสีชาดสั่นระริก นางใช้เวทแห่งแสงจากฝ่ามือเป็นเครื่องนำทางแทนโคมไฟและเพื่อบรรเทาความหนาว

นัยน์ตาสีอำพันของปีศาจมองเห็นได้ไกลแม้ในความมืด นางชะเง้อคอมองถัดไปจากสวนพฤกษาขนาดเล็ก เป็นภูเขาทิศตะวันออกทอดยาวสุดตา เมืองกว้างใหญ่ไพศาลแบ่งออกเป็นแดนเหนือแดนใต้ นางพอมองเห็นเป็นเค้าโครงบ้านเรือน น่าจะเป็นที่พำนักอาศัยของเหล่ายมทูต

“เจ้าจะไปไหน?” น้ำเสียงเยียบเย็นที่ดังขึ้นจากข้างหลังเรียกนาง ถิงถิงหน้าตาตื่นตระหนก ก่อนจะตั้งสติได้ว่านางไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเขาผู้นี้ ไม่มีทางทำร้ายนางแน่ ตราบใดที่นางยังมีประโยชน์

“ข้ามาเดินเล่น ดูข้างหลังห้องข้า ข้าจะไปที่ไหนได้”

“เจ้ารู้ก็ดี ผู้ไม่มีพลังยมทูต ไม่สามารถเปิดทางเข้าออกแดนมรณา...”

เทพมรณาเอามือไพล่หลัง กดสายตาลงมองนางด้วยท่าทางดูแคลน คล้ายจะบอกว่า ‘เจ้าปีศาจน่ารำคาญ เจ้าไปไหนไม่ได้อยู่ดี’ เขาขยับฝีเท้าเข้าไปใกล้นาง

ถิงถิงเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสีชาด เอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ที่ข้าหยุดร้องไห้คร่ำครวญเป็นเพราะว่าข้าหมดเรี่ยวแรง ข้าไม่ได้กินอะไรเลย”

เทพมรณาผายมือออก ยื่นลูกแก้ววิญญาณให้นาง เมินหน้าหนีไปอีกทาง

“ข้าไม่กิน”

“เจ้ารู้สึกดีขึ้นเมื่อไร จะได้กลับมาทำงานของเจ้า เรื่องต้นไม้วิญญาณ ข้าจะจัดการให้เจ้าในภายหลัง”

“ภพชาตินี้ของข้าเป็นปีศาจต่ำช้าบาปหนา ข้าไม่รับพลังจากลูกแก้ววิญญาณ ไม่สร้างวิบากกรรมใหม่ พวกเขาสมควรไปเวียนว่ายตายเกิด ข้าดับกระหายด้วยผลของต้นไม้วิญญาณเท่านั้น”

‘เจ้าปีศาจเรื่องมาก!’

ความเกรี้ยวกราดภายในใจเทพมรณาไม่ประกาศออกมาเสียทีเดียว ทว่าดวงตาคู่คมปลาบประกายดุดันสีโลหิตราวกับว่าจะเข่นฆ่านาง มือหยาบกร้านยื่นลูกแก้ววิญญาณให้นางอย่างยัดเยียด แต่นางกลั้นหายใจ

“จะเดินทางไปหาต้นไม้วิญญาณไม่ใช่เรื่องง่าย ข้ายังไม่สะดวกไปตามหาแหล่งอาหารชั้นยอดให้เจ้า”

“เพียงข้ามไปยังภพภูมิปีศาจ ไม่ไกลจากบ้านหลังเดิมของข้า อาจเป็นภพภูมิลับแล ในเทวโลกชั้นน้ำ ภพภูมิบาดาล เทพระดับท่านกะพริบตาครั้งเดียวก็เกิดขึ้นได้แล้ว”

“ข้ายังไม่ว่างไปตอนนี้ ทำไมเจ้าพูดไม่รู้เรื่อง?”

“ข้ากินพวกเขาไม่ลงเจ้าค่ะ ท่านพาลูกแก้วในมือท่านไปส่งปรภูมิเถิด”

“หากว่าเจ้าไม่ไหว อย่ามาหาว่าข้าแล้งน้ำใจ เพราะยมทูตล้วนไม่มี...”

“ข้าจะจำคำนั้นเอาไว้” นางตอบด้วยแววตาก้าวร้าว ไม่สนใจใบหน้าหล่อเหลาที่เกรี้ยวกราด แม้ว่าเขาจะพยายามต่อรองกับนาง สะบัดปีกหงิกงอราวดอกไม้แห้งเหี่ยวกลับเข้าเรือนนอนไป

 

ด้วยสัญชาตญาณปีศาจราตรี เป็นพวกรักศักดิ์ศรีจนตัวตาย

ถึงแม้ว่านางทั้งหวาดกลัวและหิวโหย แต่นางเป็นพวกมากเรื่อง ปากท้องสำคัญเท่าฟ้า นางยอมตายได้เพื่ออาหารจานเดียว นางเคยอ่านตำราในเรือนใต้ จากปากต่อปาก ได้ยินมาว่ามนุษย์บนโลกก็เป็นเช่นนั้น

มนุษย์สามารถทำทุกอย่างเพื่ออาหารอันโอชะ พระกระยาหารของฮ่องเต้พิถีพิถันทุกขั้นตอน ต้องประกอบด้วยเนื้อสัตว์ ข้าว อาหาร สิ่งล้ำค่า ภาชนะที่บรรจุพระกระยาหารก็ต้องไม่ซ้ำกัน

ประชาชนทั่วไปยังทำกับข้าวเต็มโต๊ะอาหาร ต้อนรับการกลับมาของครอบครัว ภรรยาปรุงอาหารบำรุงบำเรอใจสามีและลูกน้อย

ในเมืองปีศาจแทบทุกเรือนมีสุราอาหารสำหรับการสังสรรค์ในยามราตรี แม้แต่เทพก็ยังสังสรรค์ให้การต้อนรับมิตรสหายในบางโอกาส

นางไม่กินขยะพวกนี้!

สตรีในอาภรณ์สีนิลนำผลไม้หน้าตาประหลาดมาให้นาง ซุปต้มกระดูกโรยด้วยข้าวเปลือกแห้ง ๆ รสชาติห่วยแตกสิ้นดี

โยนให้สุนัขกิน มันจะกินหรือเปล่า?

พอนางถามพวกเขาไปตามตรง ยมทูตนี่ไม่รู้วิธีการทำอาหารเลยหรือยังไง พวกเขาหน้าตาบึ้งตึงแล้วหายไป ยมทูตตนใหม่ในร่างชายชรานำอาหารมาให้นางอีก นางเลยบอกว่ามันกินไม่ได้ ทำไมท่านลุงไม่ลองกินเข้าไปดูล่ะ

ค่ำนี้อาหารทั้งน้ำต้มแกงและผักทอดบนโต๊ะไม้สักที่เหมือนกับห้องนอนของนางในเรือนใต้ ยังคงเย็นชืดและไม่พร่องหายไป กระทั่งกลุ่มเมฆาหยินหยางก่อตัวขึ้นกลางหอนอน

บุรุษร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีนิลยืนเอามือไพล่หลัง นัยน์ตาสีชาดแลดูดุดันร้ายกาจกว่าทุกวัน

“เจ้าคิดว่ามีข้อต่อรองกับข้าหรือ? เจ้าปีศาจผีเสื้อ”

“คิดว่ามี...” นางเชิดหน้าอย่างหยิ่งผยอง แน่ใจว่าเทพมรณาคงหวังให้นางเข้าไปต่อสู้กับตำราแห่งความตายอีก เพื่อยืดอายุขัยของยมทูต เขาจึงพยายามบังคับนางให้นางกินอาหารฟื้นฟูพลังกายแม้เพียงสักเล็กน้อย

“กินอาหารของเจ้าแล้วลุกขึ้นมาทำงาน” เสียงเข้มออกคำสั่ง มือหนากางตำราเล่มเก่าออก มันลอยอยู่กลางห้อง

สิ่งที่นางทำคือกระโจนกายเข้าไปในตำราทั้งในสภาพไร้ปีก หลังจากนั้นกลไกข้างในก็ทำให้นางเกือบเอาชีวิตไม่รอด เทพมรณาดึงนางออกมาด้วยเวทหยินก่อนที่นางจะถูกเสาต้นหนึ่งล้มทับ กรงเล็บอสุรกายตะครุบข้อเท้านางไว้ มันคงจับได้เพียงอาภรณ์ขาดวิ่น

“โง่เง่าสิ้นดี!”

บุรุษเทพบริภาษอย่างเกรี้ยวกราด นางลืมตาข้างหนึ่งมองเขา กัดกรามกรอด ๆ

รอยกรงเล็บของอสุรกายในตำรายังปรากฏบนลำคอเพรียวระหง ผิวขาวละเอียดมีโลหิตเกรอะกรัง แม้กระทั่งตรงมุมปาก

โดยปกติแล้วเขามักยืนมองนางด้วยแววตาไร้อารมณ์ แต่เมื่อนางมีลมหายใจในร่างที่ดูไม่ได้ ควรสมใจเขาหรือไม่อย่างไร นางหาได้รู้ไม่

“ข้ายอมทำตัวโง่เง่าเพราะว่าข้าหิว ข้าอยากกินของดี ๆ ข้าผิดด้วยหรือ?”

“ข้าจะพาเจ้าไป เมื่อข้าสะสางปัญหาในแดนมรณาเรียบร้อยดี”

“เมื่อไร?”

ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษของนางยืนกรานว่าเขาควรให้ความเมตตาต่อนางบ้าง นางคิดว่ามีข้อต่อรอง นางไม่ควรให้ท่านเทพเห็นนางเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่จะทำอะไรก็ได้

“เอาไว้ข้าจะบอกเจ้า”

“ข้าไม่ดับกระหายด้วยลูกแก้ววิญญาณโดยเด็ดขาด ต่อให้พวกเขาจะเป็นวิญญาณหลงทาง สูญเสียความทรงจำ ไม่คิดไปเกิดใหม่แล้วก็ตาม และหากข้าไม่มีพลังเวทเต็มกาย ข้าก็ทำงานไม่ได้” นางกระตุกยิ้มอย่างมีลับลมคมใน นึกขึ้นได้ว่าเจ้านครมรณาพยายามเข้าหานางมาสักระยะ

ก่อนหน้านี้บุรุษแปลกหน้าลักลอบเข้าห้องนอนของนาง เพื่อยื่นข้อต่อรองกับนางว่าจะมาช่วยงานให้เขาหรือไม่ เป็นนางเสียเองไม่มีโอกาสรับสาร

มักมีเหตุการณ์บางอย่างมาขัดขวางไม่ให้นางได้พูดจากับเขา ประกอบกับว่านางกำลังจะแต่งงาน จึงหาเรื่องออกไปสังสรรค์กับมิตรสหาย นางไปไหนต่อไหนประสาปีศาจรักสนุก รุ่งอรุณเมื่อใดนางไม่เคยที่จะอยู่เรือน

นางเชื่อว่าตัวนางน่ะสำคัญมากพอที่เขาจะพานางไปดื่มด่ำพลังวิญญาณแน่ เพียงแต่ว่าเมื่อไร?

ตาสบตาในห้องเงียบเชียบ นางคิดว่าเขากำลังจะให้คำตอบนาง แววตาที่แสนเยือกเย็นดันหายไปเสียเฉย ๆ นางเอามือกอดอก เบิกตาถลน

“เทพเผด็จการเช่นท่านไร้มารยาทจริง ๆ คอยดูเถิด ยังไงท่านก็ต้องพาข้าไป!”