ตอนที่ 17 ยุ่งเหยิง
มีบทกวีที่บอกว่า “เดิมทีถั่วและก้านถั่วเติบโตมาด้วยกัน เหตุใดก้านถั่วถึงได้ทรมานเมล็ดถั่วเช่นนั้น” พูดอย่างจริงจังก็คือ เมื่อเทียบกับคุณหนูสิบพวกนางก็แค่กลิ้งจากพื้นขึ้นไปบนเสื่อไม้ไผ่ก็แค่นั้น สูงขึ้นไปแค่นั้น เพราะเช่นนี้คุณหนูสิบเอ็ดถึงได้ยอมคุณหนูสิบขนาดนั้น แต่ใครจะรู้ หู่พั่วกลับเป็นคนก่อเรื่อง ทำให้ทุกคนอยู่ไม่เป็นสุข
ปินจวี๋ไปที่เรือนของสืออีเหนียงด้วยความโมโห นางเห็นหู่พั่วกับสืออีเหนียงกำลังคุยกันเรื่องการตัดเสื้อผ้าพอดี “...ทำให้ท่านกับคุณหนูห้าก่อนแล้ว ของคุณหนูสิบยังไม่ได้ทำ แต่ไม่รู้ว่าคุณหนูสิบสองทำต่อจากท่านหรือว่าทำต่อจากคุณหนูสิบ”
ดวงตาของสืออีเหนียงเป็นประกาย นางแค่ยิ้ม แต่สีหน้าของปินจวี๋กลับซีดเซียว ความรู้สึกดีๆ ที่นางมีต่อหู่พั่ว ได้หายไปจากเมื่องานเลี้ยงต้อนรับแขกที่ศาลาหน่วนถิงวันนั้น
ตงชิงเห็นว่าสถานการณ์ไม่ปกติ นางจึงไล่ปินจวี๋ออกไป “ข้าช่วยคุณหนูแยกด้ายเย็บถุงผ้า เจ้าไปหาป้าสวี่ คุณหนูรีบปักม่านกันลมข้ามวันข้ามคืน ต้องใช้ถ่านเยอะ บอกให้นางเอามาให้เราเยอะหน่อย”
ปินจวี๋พยักหน้าและเดินออกไป
สืออีเหนียงหยิบเข็มและด้ายขึ้นมา บอกว่านางกำลังจะเริ่มปัก
หู่พั่วทำเป็นมองไม่เห็น หยิบคีมคีบถ่านออกมาพลิกถ่านในถาดไฟ ยิ้มแล้วพูดว่า “บ่าวยังได้ยินมาว่า สองสามวันนี้คุณหนูสิบกำลังเขียนคัมภีร์ให้นายหญิงใหญ่ บอกว่าอยากเขียนให้เสร็จก่อนปีใหม่ ให้นายหญิงใหญ่เอาไปให้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่วัดฉืออานในวันที่เก้า วันเกิดของพระโพธิสัตว์กวนอิม!”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจเล็กน้อย “เช่นนั้นเรือนอี๋เหนียงใหญ่...”
“ได้ยินพี่ซานหูบอกว่า เพราะว่าอี๋เหนียงใหญ่ขอร้องให้คุณหนูสิบเขียนคัมภีร์ คุณหนูสิบถึงนึกขึ้นมาได้ว่านายหญิงใหญ่นับถือศาสนาพุทธ” หู่พั่วยิ้ม “คุณหนูสิบยังบอกอีกว่า เมื่อก่อนตอนที่นางยังเด็ก นายหญิงใหญ่รักและเอ็นดูนาง แต่นางกลับไม่รู้ ตอนนี้นางโตขึ้นแล้ว เรียนหนังสือกับท่านอาจารย์ นางถึงได้รู้เรื่องของนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็บอกว่า ‘ตั้งใจเรียนเป็นเรื่องที่ดี’ ตอนนี้คุณหนูสิบก็รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ!”
ความแปลกใจปรากฎขึ้นมาในแววตาของสืออีเหนียง “นางพูดเช่นนี้ต่อหน้านายหญิงใหญ่?”
หู่พั่วเติมถ่านสองก้อนลงในถาดแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าต้องพูดเช่นนี้ต่อหน้านายหญิงใหญ่อยู่แล้วเจ้าค่ะ ตอนนั้นพี่ซานหูก็ยืนอยู่ข้างๆ!”
คิดไม่ถึงว่าสือเหนียงจะเริ่มก้มหัวประจบสอพลอนายหญิงใหญ่แล้ว แต่พึ่งมาประจบสอพลอเอาตอนนี้ มันไม่สายเกินไปหรอกหรือ
สืออีเหนียงครุ่นคิด หู่พั่วก็เอ่ยต่อว่า “สองสามวันนี้เรือนของนายหญิงใหญ่คึกคักจริงๆ คุณหนูห้าอยู่กับนายหญิงใหญ่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ คุณหนูสิบก็ไปอยู่ด้วยเป็นครั้งคราว คุณหนูสิบสอง นางก็ไปที่นั่นบ่อยกว่าปกติ ไปพูดคุยเป็นเพื่อนพี่สาวทั้งสองทั้งเช้าและค่ำ หยอกล้อนายหญิงใหญ่มีความสุขจนยิ้มไม่หุบ”
สืออีเหนียงตกใจและยิ้มอย่างขมขื่น
เช่นนี้ก็น่าอิจฉาอย่างนั้นหรือ...
หู่พั่วมองดูสีหน้าของสืออีเหนียง แต่ปากกลับพูดไม่หยุด “ค่ำแล้ว บ่าวไปดูว่าชิวจวี๋นำอาหารมาแล้วหรือยัง คุณหนูลำบากเช่นนี้ ต้องกินอะไรอร่อยๆ สักหน่อยเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวตอนบ่ายบ่าวจะไปที่เรือนสะใภ้หลิว ไปดูว่าพวกนางจะตัดเสื้อผ้าของคุณหนูสิบเมื่อไหร่...เราจะได้เตรียมตัวเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงหัวเราะ “ใช่แล้ว เราจะได้เตรียมตัว”
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้สายตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมา แวววาวราวกับดวงดาวในฤดูร้อน “คุณหนู เช่นนั้นบ่าวจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้!”
สืออีเหนียงพยักหน้า
หู่พั่วเดินออกไปอย่างแผ่วเบา จู๋เซียงเข้ามาแทน
นางโค้งคำนับและพูดว่า “คุณหนู อี๋เหนียงห้ามาหาเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก
นึกถึงตอนแรก ตอนที่นางพึ่งจะฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน นางเคยตกใจตื่นเพราะเสียงร้องไห้ในตอนกลางคืน เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่ามีหญิงงามสวมเสื้อผ้าสีขาวกำลังนั่งเช็ดน้ำตาอยู่หน้าเตียง ตอนนั้นนางตกใจ คิดว่าตัวเองเจอกับเรื่องอะไรที่เหลือเชื่ออีกครั้ง ตกใจจนไม่กล้าขยับไปไหน หลังจากที่ได้ยินนางพูดกับตงชิง นางถึงได้รู้ว่าหญิงผู้นี้คือหญิงสกุลหลู่ มารดาแท้ๆ ของตัวเอง
เห็นว่านางแค่กล้าที่จะแอบห่วงใยลูกสาวของตัวเองอย่างลับๆ ล่อๆ สืออีเหนียงก็พลันรู้สึกสงสารหญิงที่น่าเวทนาคนนี้ขึ้นมาทันที
ต่อมาก็เห็นอี๋เหนียงห้าตัดเครื่องประดับทองคำของตัวเองเป็นชิ้นเล็กๆ ยื่นให้ตงชิง ให้ตงชิงเอาไปซื้อสมุนไพรที่ราคาแพงๆ เช่นโสมหรือรังนกมาให้นางดูแลร่างกาย นางก็ยิ่งรู้สึกตื้นตันมากกว่าเดิม
ดังนั้น หลังจากที่นางเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองและนิสัยของนายหญิงใหญ่แล้ว นางจึงรักษาระยะห่างจากอี๋เหนียงห้า
นางไม่อยากทำให้นายหญิงใหญ่ไม่พอใจและพาดพิงมาถึงหญิงอ่อนแอผู้นี้ แต่อี๋เหนียงห้า เมื่อนางรู้สึกว่าสืออีเหนียงพยายามทำตัวห่างเหิน ถึงแม้ว่านางจะเสียใจ แต่นางก็ให้ความร่วมมือกับการตัดสินใจของสืออีเหนียง หากไม่มีเรื่องอะไร นางไม่มีทางมาถึงเรือนของสืออีเหนียง
ดังนั้นที่นางมาที่นี่ มันจะต้องมีเรื่องบางอย่างแน่นอน
“รีบเชิญอี๋เหนียงเข้ามา!” ถึงแม้ว่าในใจของสืออีเหนียงจะกระวนกระวาย แต่นางก็ไม่แสดงสีหน้าออกมา นางยิ้มและสั่งจู๋เซียง
จู๋เซียงรีบเชิญอี๋เหนียงห้าเข้ามา
ตงชิงเดินเข้ามาคำนับนาง นางพยักหน้าอย่างใจลอยแล้วถามสืออีเหนียงว่า “ม่านกันลมของเจ้าต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะปักเสร็จ”
นางท่าทางดูเป็นกังวล สืออีเหนียงตกใจ ตอบกลับ “อี๋เหนียงอยากจะให้ข้าช่วยเย็บปักอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่!” นางรีบปฏิเสธ จากนั้นก็ดูเหมือนลังเลที่จะพูด
สืออีเหนียงขยิบตาให้ตงชิง
ตงชิงยิ้มและพาจู๋เซียงออกไป “บ่าวไปชงชามาให้อี๋เหนียงนะเจ้าคะ”
อี๋เหนียงห้าพยักหน้าอย่างส่งๆ เห็นว่าทั้งสองคนออกไปแล้ว ไม่รอให้สืออีเหนียงพูดอะไรนางก็พูดออกมา “เจ้าเป็นคนดีเกินไป มักจะเสียเปรียบ”
สืออีเหนียงฟังแล้วไม่เข้าใจ
“เจ้าปักม่านกันลมอยู่ในเรือนทุกวัน คุณหนูห้ากับคุณหนูสิบคอยอยู่เป็นเพื่อนนายหญิงใหญ่...เจ้าก็ต้องคอยระวัง!”
พูดถึงเรื่องระวัง เกรงว่าคงมีคนไม่กี่คนในจวนที่เชื่องช้ากว่าอี๋เหนียงห้า!
สืออีเหนียงอดหัวเราะกับความคิดนี้ของตัวเองไม่ได้
คิดไม่ถึงว่า แม้แต่อี๋เหนียงห้าที่ไม่สนใจเรื่องภายนอกมาตลอดยังรู้ว่าช่วงนี้อู่เหนียงกับสือเหนียงคอยเอาอกเอาใจนายหญิงใหญ่ กระวนกระวายแทนตัวเอง...
อี๋เหนียงห้าเห็นนางหัวเราะ นางจึงพูดด้วยความแปลกใจ “เจ้าอย่าทำเป็นหูทวนลม ข้าทำเพื่อเจ้าทั้งนั้น” นางพูดแล้วตาแดงก่ำขึ้นมา “พูดแล้วก็เพราะว่าข้าเอง คนฉลาดๆ เช่นเจ้า แต่กลับมาอยู่ในท้องข้า...”
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองสามารถเลือกได้!
สืออีเหนียงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้อี๋เหนียงห้า “ดูอี๋เหนียงพูดเข้าสิ หากข้าไม่มาอยู่ในท้องของท่าน ข้าจะมีชีวิตที่ดีเช่นนี้ได้เช่นไรล่ะเจ้าคะ ท่านอย่าร้องไห้เลย ที่ท่านพูดข้ารู้อยู่แล้ว การปักม่านกันลมก็เป็นการแสดงความกตัญญู นายหญิงใหญ่เป็นคนมีเหตุผล นางจะต้องรู้ถึงความลำบากของข้าแน่นอนเจ้าค่ะ”
อี๋เหนียงห้าได้ยินเช่นนี้นางก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย จากนั้นก็พูดว่า “ก็จริง จิตใจของนายหญิงใหญ่ราวกับกระจก อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรผิด อะไรถูก นางรู้เสมอ”
มารดาแท้ๆ ของนางชื่นชมภรรยาเอกมาโดยตลอด สืออีเหนียงชินตั้งนานแล้ว ปลอบใจอี๋เหนียงห้าสักสองสามประโยค ดื่มชาที่ตงชิงยกมาให้ อี๋เหนียงห้าก็รู้สึกดีขึ้นมาก นางลุกขึ้นและขอตัวออกไป
สืออีเหนียงเดินไปส่งอี๋เหนียงห้าออกจากหอลู่จวินด้วยตัวเอง เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นปินจวี๋และชิวจวี๋ยืนพูดคุยอะไรกันอยู่ในศาลาแปดเหลี่ยมข้างนอกหอลู่จวิน สีหน้าที่ดูไม่สบายใจของชิวจวี๋และสีหน้าที่เคร่งขรึมของปินจวี๋
หู่พั่ว บอกว่าจะไปบอกให้ชิวจวี๋ยกอาหารมาไม่ใช่หรือ ทำไมชิวจวี๋ถึงได้ยืนคุยกับปินจวี๋อยู่ที่นี่
นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมฆลอยอยู่ในท้องฟ้าราวกับถุงผ้าฝ้ายที่ฉีกขาด ทำให้แสงมืดมน ดูไม่ออกว่ากี่โมงกี่ยาม
เมื่อทั้งสองคนเห็นสืออีเหนียง พวกนางก็รีบมาคำนับอี๋เหนียงห้า
อี๋เหนียงห้าพูดคุยกับพวกนางสองสามประโยค จากนั้นก็ให้สาวใช้พยุงกลับไปที่เรือนของตัวเอง ชิวจวี๋กับปินจวี๋ก็แยกย้ายกันไป “ข้าไปยกกล่องอาหาร!”
ปินจวี๋ขยิบตาให้และตอบรับชิวจวี๋ “ไปเถอะ!”
ชิวจวี๋รับปากแล้วเดินออกไป ปินจวี๋พยุงสืออีเหนียงกลับหอลู่จวิน
“หู่พั่ว ไม่ได้บอกให้ชิวจวี๋ไปยกอาหารมาหรอกหรือ”
“บอกแล้วเจ้าค่ะ” ปินจวี๋บอก “นางแค่บังเอิญมาเจอบ่าว พูดคุยกันสองสามประโยค”
สืออีเหนียงได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็พยักหน้าเบาๆ
ปินจวี๋มีนิสัยร่าเริง มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และตรงไปตรงมา ยิ่งอยู่กับนางนานเท่าไหร่ สืออีเหนียงก็ยิ่งชอบนางมากขึ้นเท่านั้น
“คุณหนู บ่าวมีอะไรจะบอกท่าน”
แววตาที่ดีใจของนาง ทำให้สืออีเหนียงมีความสุข สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพูดเบาๆ ว่า “หรือว่าเรื่องอี๋เหนียง...”
ปินจวี๋พยักหน้า
ทั้งสองคนเดินออกจากมาหอลู่จวินอีกครั้ง ออกมายืนอยู่ที่ศาลาที่ปินจวี๋กับชิวจวี๋พูดคุยกันเมื่อครู่ มุมมองของที่นี่กว้างขว้าง หากมีคนมาก็จะเห็นทันที ไม่จำเป็นต้องแอบฟัง
“ชิวจวี๋กลับไปถามแม่ของนาง” ปินจวี๋พูดอย่างเคร่งขรึม “แม่ของนางบอกว่า อี๋เหนียงใหญ่เป็นลูกของสาวใช้นายท่าน แต่ว่าพ่อแม่ของนางเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก นางอาศัยอยู่กับท่านลุงคนหนึ่ง ต่อมาท่านลุงแต่งงานกับป้าสะใภ้ นางอยู่ไม่ได้แล้ว จึงคิดหาวิธีเข้ามาทำงานในจวน เพราะว่าหน้าตาที่สะสวย นิสัยก็อ่อนโยน เหล่าไท่จวิน[footnoteRef:1]จึงส่งนางไปอยู่ที่เรือนของนายท่านใหญ่ ทุกคนในเรือนล้วนแต่ชอบนาง ส่วนอี๋เหนียงสองก็หนีน้ำท่วมมาที่จวน นางมาขายตัวเองเป็นทาส เข้ามาในจวน นางมีหน้าที่กวาดลานข้างนอก แต่ไม่รู้ว่าไปถูกใจกับหลานชายของหนิวอานหลี่พ่อบ้านใหญ่ที่ดูแลบัญชีของจวนได้เช่นไร จึงได้รับความช่วยเหลือจากพ่อบ้านหนิว นางย้ายจากลานข้างนอกเข้ามาข้างใน มาดูแลห้องปลูกดอกไม้ในลานข้างใน ผ่านไปไม่กี่วัน ก็ถือโอกาสตอนที่ส่งดอกไม้ไปให้เหล่าไท่จวิน เอาอกเอาใจเหล่าไท่จวิน นางจึงถูกส่งตัวไปอยู่ที่เรือนของนายท่านใหญ่ ทั้งสองคนอยู่ที่เรือนของนายท่านใหญ่มาแล้วห้าหกปี จากสาวใช้ระดับสามมาถึงสาวใช้ระดับหนึ่ง เมื่อนายหญิงใหญ่แต่งเข้ามาอยู่ที่จวน นางจึงยอมรับทั้งสองคน” [1: เหล่าไท่จวิน ผู้นำตระกูลหญิงคนก่อน]
หนิวอานหลี่เป็นพ่อบ้านรุ่นพี่ของสวี่เซี่ยวเฉวียน หลังจากที่สวี่เซี่ยวเฉวียนเลื่อนมาเป็นพ่อบ้านแทน หนิวอานหลี่ก็ขอลาออกและพาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่หยางโจว แต่ถึงแม้ว่าหนิวอานหลี่จะออกไปจากจวนสกุลหลัวแล้วตั้งหลายปี แต่คนในจวนสกุลหลัวก็มักจะเอ่ยถึงเขาอยู่บ่อยๆ เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับสกุลหลัวไม่เลวเลยทีเดียว
สืออีเหนียงได้ยินกลับขมวดคิ้ว
หากเป็นเช่นนี้ แสดงว่าอี๋เหนียงใหญ่เป็นคนดี แต่อี๋เหนียงสองเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร จวนสกุลหลัวไม่เคยคลาดแคล้วคนเช่นนี้
มันปกติอยู่แล้ว!
“คุณหนู ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง!” เสียงของปินจวี๋เบาลง “ชิวจวี๋บอกว่าตอนที่แม่ของนางพูดถึงอี๋เหนียงสอง แม่ของนางดูถูกอี๋เหนียงสองเป็นอย่างมาก”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมถึงดูถูก”
“บอกว่าอี๋เหนียงสองเป็นยัยจิ้งจอก ทำให้หลานชายของพ่อบ้านหนิวต้องตาย!”
สืออีเหนียงมองปินจวี๋ด้วยความตกใจ
“หลานชายของพ่อบ้านหนิวเฝ้ารอให้อี๋เหนียงสองถูกปล่อยตัวออกมาโดยตลอด แต่สุดท้ายอี๋เหนียงสองกลับไปเป็นภรรยาของนายท่านใหญ่ หลานชายของพ่อบ้านหนิวโมโหจึงกระโดดลงไปในบ่อน้ำ! แม่ของชิวจวี๋ยังบอกอีกว่า ที่พ่อบ้านหนิวลาออก ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!”