บทที่ 2 พี่น้อง

ตอนที่ 2 พี่น้อง

จากการการสังเกตของสืออีเหนียง จวนสกุลหลัวครอบครองพื้นที่ประมาณสามสิบไร่ ทิศตะวันออกคือเรือนจืออวิ๋น ตรงกลางคือห้องโถงซื่อจือ ทิศตะวันตกคือเรือนซวงซิ่ง ประตูหลังเรือนซวงซิ่งมีอุโมงค์ที่มีน้ำไหลไปสู่ทะเลสาบ ผ่านอุโมงค์ไป มีลานเล็กๆ ที่มีห้องสิบกว่าห้อง เรียกว่าหลินฟางไจ ทางทิศตะวันออกของหลินฟางไจก็คือสวนข้างหลังของจวนสกุลหลัว

และหอลู่จวินก็อยู่ตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือของสวนข้างหลัง

สืออีเหนียงพาปินจวี๋เดินตามป้าเหยาออกมาจากหอลู่จวิน เดินผ่านทางเดินระหว่างหอลู่จวินและเรือนจืออวิ๋น มาถึงเรือนจืออวิ๋นอย่างรวดเร็ว

เมื่อพวกนางเดินเข้าไป พวกนางเห็นป้าสวี่พาสาวใช้สี่ห้าคนเดินออกไปข้างนอก

ป้าสวี่คือคนที่สนิทที่สุดของนายหญิงใหญ่ คอยช่วยเหลือนายหญิงใหญ่ดูแลคนและเงินในจวน ส่วนป้าเหยาช่วยเหลือนายหญิงใหญ่ดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในจวน

สืออีเหนียงเรียกนางด้วยความเคารพ “ป้าเหยา”

ป้าเหยาและปินจวี๋เดินไปคำนับป้าสวี่ จากนั้นก็ทักทายอย่างเป็นกันเอง “ท่านกำลังวุ่นอยู่กับสิ่งใดหรือ”

ป้าสวี่อายุสี่สิบกว่า หน้าตาอ้วนๆ ขาวๆ ถึงแม้ว่านางจะเป็นคนสนิทของนายหญิงใหญ่ แต่เจอกับใครนางก็มักจะยิ้มให้ ทุกคนในจวนสกุลหลัวล้วนแต่อยากจะใกล้ชิดกับนาง

นางยิ้มคำนับสืออีเหนียง จากนั้นก็คำนับกับป้าเหยาและปินจวี๋ “นายหญิงใหญ่บอกให้ข้าเอาเงินค่าน้ำมันงาไปให้วัดฉืออาน”

ป้าเหยาตกใจแล้วพูดว่า “ผู้ดูแลวัดฉืออานต้องมาเอาเองไม่ใช่หรือ”

ป้าสวี่ยิ้มและพูดว่า “นายหญิงใหญ่อยากจะจุดตะเกียงใหญ่”

ป้าเหยายิ่งรู้สึกแปลกใจขึ้นไปใหญ่

วัดฉืออานอยู่ห่างจากที่นี่กว่ายี่สิบลี้ ไปกลับต้องใช้เวลาเป็นวัน ในเมื่อจะไปทำไมถึงพึ่งออกเดินทางตอนนี้

นางยังอยากจะถามต่อแต่ป้าสวี่พูดกับสืออีเหนียงก่อน “...ทำให้ท่านเป็นห่วง บอกให้ตงชิงเอาน้ำจิ้มถั่วเหลืองมาให้บ่าว”

สืออีเหนียงยิ้มอย่างเกรงใจ “ไม่ใช่ของดีอะไร ท่านป้าไม่ต้องเกรงใจ”

“ท่านต่างหากที่เกรงใจเกินไปเจ้าค่ะ” ป้าสวี่ยิ้ม “ครั้งก่อนพี่สะใภ้ของตงชิงมาที่นี่ใช่หรือไม่ ตอนนั้นท่านก็บอกให้ตงชิงเอามาให้บ่าวสองโถ ตอนนั้นบ่าวก็คิดอยู่ว่ามันเป็นฝีมือของใคร ทำไมถึงอร่อยเช่นนี้ บ่าวสี่สิบกว่าแล้วก็ยังไม่เคยกินน้ำจิ้มที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน...”

ทั้งสองคนมาหานายหญิงใหญ่ตามคำสั่ง คนหนึ่งต้องออกไปข้างนอกตามคำสั่งของนายหญิงใหญ่ พวกนางล้วนแต่ไม่กล้ารอช้า พูดคุยกันสองสามประโยคก็แยกย้ายกันไป

ป้าเหยาพาสืออีเหนียงไปหานายหญิงใหญ่ที่ห้องทางทิศตะวันออกของชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องที่นายหญิงใหญ่ชอบมานั่งพักผ่อน “คุณหนูสิบเอ็ด บ่าวไปรายงานนายหญิงใหญ่ก่อนนะเจ้าคะ!"

นางทิ้งสืออีเหนียงและปินจวี๋แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน มีสาวใช้คอยยกชาและขนมต้อนรับพวกนาง

ปินจวี๋อดไม่ได้ที่จะสังเกตการตกแต่งภายในห้อง

ตรงหน้ามีเตียงหลัวฮั่นที่คลุมด้วยหนังเสือสีดำ บนเตียงมีกระถางเหวินหวังที่มีลวดลายสองสามกระถางและกล่องธูป โต๊ะสูงที่อยู่สองข้างมีบอนไซหินหมื่นปีที่มีใบเป็นมรกต มีก้านเป็นหยก ข้างหน้าพัดแก้วคือเก้าอี้ที่มีผ้าทอลายมังกรคลุมอยู่ กระเบื้องปูพื้นใต้เท้าเปล่งประกายราวกับกระจก ใสจนเห็นเงาคน...

ปกติตงชิงจะเป็นคนมาเรือนจืออวิ๋นกับสืออีเหนียง แต่ครั้งนี้คุณหนูสิบเอ็ดกลับพานางมาด้วย

การตกแต่งของห้องนี้ไม่เหมือนกับตอนที่นางเคยมาครั้งก่อน

ครั้งก่อนที่นางมานั้นคือช่วงไว้ทุกข์ ทุกที่ล้วนแต่เป็นสีขาว มองดูแล้วโศกเศร้า แต่ครั้งนี้ มันกลับมีความงดงามแบบเยือกเย็น ที่ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก

นึกถึงเรื่องที่เมื่อครู่ไม่มีโอกาสบอกสืออีเหนียง และเห็นว่าพวกสาวใช้ล้วนออกไปข้างนอกหมดแล้ว ในห้องเหลือเพียงคุณหนูสิบเอ็ดกับนางเท่านั้น ปินจวี๋จึงอดไม่ได้ที่จะเดินไปข้างหน้าและพูดเบาๆ ว่า “คุณหนูสิบเอ็ด ถ้าหาก...ปฏิเสธเรื่องของพี่ตงชิงไม่ได้...ท่านก็รับปากไปเถิดเจ้าค่ะ!” นางพูดแล้วน้ำตาไหลออกมา สายตาที่แวววับ “นี่คือคำพูดที่พี่ตงชิงวานให้บ่าวบอกคุณหนูก่อนที่เราจะออกมา นางยังบอกอีกว่าต่อไปเรายังมีเรื่องที่ต้องขอร้องอีกมากมาย ไม่จำเป็นต้องทำให้นายหญิงใหญ่ไม่พอใจเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้”

สืออีเหนียงมองดูถ้วยชาสีชมพูที่อยู่ในมือแต่ก็ไม่พูดอะไร

ปินจวี๋กับนางอยู่ด้วยกันมาสามปี ปินจวี๋รู้ดีว่านางดูเป็นคนง่ายๆ ไม่มากความ แต่เรื่องที่นางตัดสินใจแล้วไม่มีใครเปลี่ยนความคิดนางได้ จึงพูดเตือนเบาๆ “หากท่านสงสารพี่ตงชิง ต่อไปหากท่านแต่งงาน ท่านก็เรียกพวกเขามาคอยรับใช้ มีคนสนับสนุน ด้วยพรสวรรค์ของพี่ตงชิง นางต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน...”

“ระวัง หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง” สืออีเหนียงพูดออกมาเบาๆ แต่ปินจวี๋กลับหน้าแดง

นางรู้ว่าตัวเองใจร้อนเกินไป จึงตอบกลับไปเบาๆ และยืนอยู่ข้างหลังสืออีเหนียงไม่กล้าพูดอะไรอีก

คอยรับใช้!

หญิงสองคนนี้คิดกันไว้ซะดิบดี แต่เมื่อหมดหนทาง อยากจะเดินทางนี้ก็ใช่ว่าตัวเองจะทำได้ เกรงว่าพวกนางคงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก

สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

ในเรือนจืออวิ๋นมีคนรับใช้มากมาย แล้วยังมักจะมีอี๋เหนียงสองสามคนมาเล่าเรื่องสนุกให้นายหญิงใหญ่ฟัง ครึกครื้นอยู่เสมอ แต่วันนี้ระหว่างทางที่นางเดินมา นางเห็นแค่สาวใช้สองสามคน แล้วแต่ละคนก็คอยระมัดระวังตัว...ทำให้นางรู้สึกเหมือนฝนกำลังจะตก

หรือว่าป้าเหยาพูดอะไรกับนายหญิงใหญ่

เหมือนกับครั้งก่อนที่นางหลอกนายหญิงใหญ่ บอกว่าหลานชายของป้าเหยาอาศัยที่ว่าป้าเหยาเป็นคนของนายหญิงใหญ่ ถึงได้มีงานทำ...หรือนายหญิงใหญ่ไล่คนอื่นออกไปเพื่อที่จะสั่งสอนตัวเอง?

หัวของสืออีเหนียงหมุนไปๆ มาๆ อย่างรวดเร็ว

วันนี้ตอนเช้าที่มาคารวะทักทายนายหญิงใหญ่นางยังปกติดีอยู่เลย นางหัวเราะและบอกว่าขนมมันเทศที่นางทำอร่อย บอกให้พรุ่งนี้นางทำมาอีกสองสามชิ้น แล้วยังให้ปิ่นหยกฝังทองคำเป็นรางวัลให้นาง หากมีอะไรเปลี่ยนไป เช่นนั้นก็ต้องเป็นตอนที่นางออกไปแล้ว น่าเสียดายที่ป้าเหยาคอยดูอยู่อย่างใกล้ชิด นางปลีกตัวออกไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้น ซานหูสาวใช้คนสนิทรองลงมาของนายหญิงใหญ่ที่สนิทสนมกับตงชิงมาโดยตลอด เพียงแค่เอ่ยปากถาม นางก็คงจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

คิดได้เช่นนี้ นางก็จับปิ่นหยกฝังทองคำที่ตั้งใจใส่มาอันนั้น หวังว่านายหญิงใหญ่จะเห็นปิ่นนี้แล้วนึกขึ้นได้ว่า สองสามปีมานี้ตัวเองเป็นเด็กดีและเชื่อฟังนางมากเพียงใด ทำอะไรก็จะได้ไว้หน้าตัวนางบ้าง

ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะแอบวางแผนอยู่ในใจ แต่ตัวของนางราวกับเชือกที่มัดแน่น สังเกตความเคลื่อนไหวรอบตัวอยู่เสมอ

ผ่านไปไม่นาน นางก็ได้กลิ่นหอมของไม้จันทน์อ่อนๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กระทบกับกระโปรงเดินมาเบาๆ

นายหญิงใหญ่ชอบไหว้พระ บนตัวนางมักจะมีกลิ่นหอมของไม้จันทน์ตลอด...

สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นยืน เห็นม่านขยับ หญิงสาวที่สวมชุดสีชมพูพยุงภรรยาเอกที่รูปร่างสูงส่งสง่างามเดินเข้ามา

มีสาวใช้เจ็ดแปดคนอยู่ข้างหลัง ป้าเหยาเองก็อยู่ในนั้นด้วย

“นายหญิงใหญ่!” สืออีเหนียงยิ้มและเดินเข้าไปพยุงแขนอีกข้างหนึ่งของนายหญิงใหญ่

“ดูพวกเจ้าสองคนสิ!” นายหญิงใหญ่ยิ้มอย่างอบอุ่น “ทำราวกับว่าข้าเป็นคนเฒ่าเดินไม่ไหว”

“ท่านแม่ยังสาวอยู่เลย จะเดินไม่ไหวได้เช่นไร” หญิงสาวในชุดสีชมพูพูดขึ้น “พวกเราแค่อยากจะใช้โอกาสนี้ใกล้ชิดท่านแม่สักหน่อย ท่านอย่าปฏิเสธพวกเราเลยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนางอ่อนโยน มีกลิ่นอายของหญิงสาวที่ไร้เดียงสา ทำให้ผู้คนที่ได้ยินรักและเอ็นดู นางพูดพร้อมกับยิ้มถามสืออีเหนียง “ใช่หรือไม่ น้องหญิงสิบเอ็ด!”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ! พี่หญิงห้า” สืออีเหนียงมองนางด้วยรอยยิ้ม ราวกับชื่นชมความสดใสร่าเริงของนาง

หญิงสาวคนนี้คืออู่เหนียง เป็นพี่สาวของสืออีเหนียง หลัวเจิ้นเซิงคุณชายสี่ของจวนสกุลหลัวคือน้องชายมารดาเดียวกันของนาง

นายหญิงสกุลเคอคือมารดาแท้ๆ ของพวกเขา เป็นอนุภรรยาลำดับที่สาม เดิมทีเป็นสาวใช้คนสนิทของนายหญิงใหญ่ ถึงแม้ว่าต่อมาได้เลื่อนไปเป็นอี๋เหนียง มีบุตรสาวหนึ่งคนบุตรชายหนึ่งคน แต่กลับทำตัวเหมือนเมื่อก่อน ยังคอยปรนนิบัติรับใช้นายหญิงใหญ่อยู่ในห้องนอนของนายหญิงใหญ่เหมือนเดิม นายหญิงใหญ่ก็ดีกับนางไม่น้อย ให้คุณหนูห้าและคุณชายสี่อยู่เคียงข้างตัวเอง เลี้ยงดูพวกเขาราวกับลูกแท้ๆ เหมือนหยวนเหนียงและคุณชายใหญ่ รักและเอ็นดูพวกเขาเป็นอย่างมาก

นายหญิงใหญ่เห็นพวกนางพี่น้องรักกันดี รอยยิ้มของนางก็เต็มไปด้วยความพอใจ

นางตบที่หลังมือของสืออีเหนียงเบาๆ ราวกับปลอบใจ จากนั้นก็ยื่นนิ้วมือชี้ไปที่หน้าผากของอู่เหนียง “มีแค่เจ้าที่ทำได้! อยู่ต่อหน้าข้ายังกล้าตำหนิน้องสาว!”

ในคำพูดมีกลิ่นอายของความสนิทสนม แน่นอนว่าอู่เหนียงไม่ได้จริงจังกับคำพูดของนายหญิงใหญ่ นางหัวเราะและถามสืออีเหนียง “ท่านแม่บอกว่าข้าจะตำหนิเจ้า เจ้าลองบอกสิว่าข้าตำหนิเจ้าแล้วหรือไม่”

สืออีเหนียงไม่ตอบ นางแค่ยิ้ม

อู่เหนียงจึงดึงแขนเสื้อของนายหญิงใหญ่มาอ้อน “ท่านดูสิ ท่านดูสิว่าน้องหญิงสิบเอ็ดก็ไม่พูดอะไร ท่านลำเอียง กลัวว่าน้องหญิงสิบเอ็ดจะได้รับความไม่เป็นธรรม ทำไมถึงไม่สงสารข้าบ้าง ข้าก็เหมือนกับสืออีเหนียง แบกรับความไม่เป็นธรรมไม่ได้!”

นายหญิงใหญ่ตลกในความเป็นเด็กของนาง จับมืออู่เหนียงมานั่งลงบนเตียงหลัวฮั่น “เอาล่ะ เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าใส่ร้ายอู่เหนียงของพวกเรา ทำให้อู่เหนียงไม่ได้รับความเป็นธรรม" จากนั้นก็สั่งสาวใช้ไปเอาเก้าอี้จิ่นอู่มาให้สืออีเหนียง

“แน่นอนอยู่แล้ว!” อู่เหนียงทำหน้ามุ่ยนั่งบนเตียงหลัวฮั่น แต่เมื่อเห็นสาวใช้ยกชาเดินเข้ามา นางก็ลุกขึ้นไปรับถ้วยชามาให้นายหญิงใหญ่ “ท่านแม่ ดื่มชาเจ้าค่ะ!”

นายหญิงใหญ่ยิ้มแล้วรับถ้วยชามา

อู่เหนียงยกอีกถ้วยหนึ่งให้สืออีเหนียง “น้องหญิงสิบเอ็ด ดื่มชา!"

สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นรับมาดื่ม

อู่เหนียงรินชาให้ตัวเองแก้วหนึ่ง จากนั้นก็เบียดไปนั่งบนข้างๆ สืออีเหนียง ใช้เสียงที่นายหญิงใหญ่ได้ยินกระซิบกับสืออีเหนียง “เจ้าดูสิ...ตอนที่ข้ามาเป็นชาหลงจิ่ง ตอนนี้เป็นชาอู่อี๋ ท่านแม่ลำเอียงจริงๆ!"

เพียงคำพูดไม่กี่คำกลับทำให้คนทั้งห้องหัวเราะออกมา

นายหญิงใหญ่ชี้ไปที่คนที่อยู่ข้างหลังอู่เหนียงและพูดว่า “พวกเจ้าดูสิ พวกเจ้าดู ทำไมข้าถึงได้เลี้ยงลูกลิงออกมา เอะอะโวยวายทำให้ข้าไม่สงบทุกวัน”

อู่เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็มุดเข้าไปในอ้อมกอดของนายหญิงใหญ่ “ลูกลิงไม่เอะอะโวยวายกับแม่ลิง จะให้ไปเอะอะโวยวายกับใครล่ะเจ้าคะ”

สาวใช้และนายหญิงที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะเช่นกัน “นั่นเป็นเพราะว่านายหญิงใหญ่ตามใจนาง”

นายหญิงใหญ่จับหน้าผากถอนหายใจ “ไอ๊หยา...ไอ๊หยา” อย่างหมดหนทาง

ทันใดนั้น ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คึกคักเป็นอย่างมาก

สืออีเหนียงก็นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ

นายหญิงใหญ่เห็นเช่นนี้นางก็ถามอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้ยินอาจารย์เจี่ยนบอกว่า ตอนนี้เจ้าปักสองด้านเป็นแล้ว”

สกุลหลัวเชิญอาจารย์เฒ่ามาสอนหนังสือบุตรสาวที่บ้าน เชิญอาจารย์เจี่ยน อาจารย์เย็บปักถักร้อยที่มีชื่อเสียงที่สุดในหังโจวมาสอนเย็บปักถักร้อย และให้แม่บ้านเฒ่าในห้องครัวสอนพวกนางทำอาหารของจวนสกุลหลัว

หลังจากที่สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่นาน นางเลือกเย็บปักถักร้อยกับทำอาหาร

ตงชิงอดเป็นห่วงไม่ได้ “เย็บปักถักร้อยและทำอาหารมีอยู่ทุกที่ คนที่ท่องกลอนกับวาดภาพเป็นต่างหากคือคนที่มีความสามารถ...”

“นิสัยของข้า ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว” สืออีเหนียงโบกมือบอกให้นางอย่าพูดอีก “หากไม่ใช่เพราะว่าข้ากลัวนายหญิงใหญ่จะคิดว่าข้าโง่ ทำอะไรก็ไม่เป็น ต่อไปอาจจะดูถูกข้าว่าแม้แต่เย็บปักถักร้อยกับทำอาหารก็ยังไม่เป็น” ตั้งแต่นั้นมานางก็ตั้งใจเรียนเย็บปักถักร้อยกับอาจารย์เจี่ยน อาจารย์เจี่ยนเห็นว่านางตั้งใจ นางก็ชอบที่จะสอน แม้แต่ ‘งานปักสองด้าน’ ที่เป็นวิชาความรู้ของตัวเอง นางก็สืบทอดให้กับสืออีเหนียง