ตอนที่ 9 สืบข่าว
สืออีเหนียงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมา ซานหูคนของนายหญิงใหญ่ได้มาถึงแล้ว หู่พั่วกำลังพูดคุยอยู่กับนาง เมื่อเห็นสืออีเหนียงซานหูก็เดินเข้าไปคำนับ ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูสิบเอ็ด บ่าวมาขอความช่วยเหลือจากท่านเจ้าค่ะ”
ในเมื่อมาขอให้ช่วย ก็ต้องไตร่ตรองอยู่ในใจอยู่หลายรอบแล้ว คิดว่าคงได้ผลจึงได้เอ่ยปาก
สืออีเหนียงเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของนาง เรื่องที่ขอร้องคงไม่ใช่เรื่องยากอะไรแน่นอน ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ซานหูมีอะไรก็บอกมาได้เลย!”
ซานหูเหลือบมองหู่พั่ว ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเองก็รู้ว่าเดิมทีหู่พั่วเป็นคนดูแลเสื้อผ้าและเครื่องประดับของนายหญิงใหญ่ ตอนนี้ได้มาอยู่กับท่านแล้ว งานเดิมที่นางเคยทำบ่าวจึงต้องเป็นคนรับต่อ” ขณะที่พูดก็เผยใบหน้าที่ดูสง่าผ่าเผยเล็กน้อย “ปิ่นปักผมในกล่องของคุณนายใหญ่สองสามอันที่ห่อด้วยกำมะหยี่สีทอง พวกสาวใช้ได้เอาออกมาดู แต่ใส่กลับคืนให้เป็นเหมือนเดิมไม่ได้...อยากจะให้หู่พั่วไปดูสักหน่อยเจ้าค่ะ”
คงเป็นนางเองที่อยากรู้อยากเห็น จึงหยิบออกมาดูแล้วใส่กลับคืนไปเหมือนเดิมไม่ได้กระมัง!
สืออีเหนียงยิ้ม “เจ้ากับหู่พั่วเป็นพี่น้องกัน กับตงชิงก็เช่นกัน มีเรื่องอะไรก็ให้พวกนางช่วย ไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้”
เมื่อซานหูได้ยินก็มีสีหน้าดีใจ คำนับสืออีเหนียงอย่างมีความสุขแล้วลากหู่พั่วเดินออกไป
ข้างนอกท้องฟ้าแจ่มใส เมฆสีขาวสะอาด กิ่งก้านเล็กใหญ่ของต้นหวงหยางยืนต้นอย่างเงียบสงบ
หู่พั่วถอนหายใจ
“นี่ยังไม่ถึงหนึ่งวันก็เริ่มถอนหายใจแล้ว!” ซานหูพูดติดตลก “เป็นอะไรหรือ หรือว่าอยากกลับไปอยู่กับนายหญิงใหญ่”
หู่พั่วยิ้มแต่ไม่ได้ตอบ เพียงแค่ควงแขนซานหูอย่างสนิทสนม “ขอบคุณท่านพี่ที่มาได้ทันเวลาพอดี มิเช่นนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจริงๆ ”
“มีอะไรที่ทำไม่ได้” ซานหูยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เดิมทีเจ้าก็แค่คิดจะหาข้ออ้างหลบออกมาเพื่อให้พวกนางได้พูดคุยกัน ต่อให้ข้าไม่ได้มา เจ้าก็คงหาข้ออ้างอื่นๆ ซึ่งก็ไม่ได้ต่างกันเลย มีอะไรที่เจ้าจัดการไม่ได้เช่นนั้นหรือ แล้วยังกำชับให้ข้าต้องมาหาเจ้าในเวลานี้เพื่อเรียกเจ้าออกไป นี่คือความหวังดีของเจ้า ให้พวกนางรู้จะเป็นเช่นไรไป!”
หู่พั่วถอนหายใจเบาๆ “อย่างไรข้าก็เป็นคนที่เข้าไปแทรกกลาง พี่ตงชิงกับพี่ปินจวี๋เคยรับใช้คุณหนูสิบเอ็ดอย่างตั้งใจตอนที่คุณหนูป่วย มีบางเรื่องที่ควรต้องระวังมากกว่านี้”
ซานหูไม่เห็นด้วย เมื่อได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา “เจ้านี่จริงๆ เลย ถือความซื่อสัตย์เป็นใหญ่ ข้าไม่รู้จะพูดอะไรเลยจริงๆ เจ้ายอมให้ได้หนึ่งครั้ง แต่เจ้ายอมตลอดไปได้หรือ เจ้าเป็นคนฉลาด ตงชิงอายุมากกว่าคุณหนูสิบเอ็ดหกปี เกรงว่าจะอยู่ไม่ถึงตอนที่คุณหนูแต่งออกไป แม้ว่าจะรอถึง ป้าเหยาก็คงจะแอบเสียเปรียบอยู่บ้าง ตอนนี้นายหญิงใหญ่ได้ให้เจ้าไปอยู่กับคุณหนูสิบเอ็ด ดูเผินๆ เหมือนว่าเจ้าเสียเปรียบ จากที่ได้อยู่กับภรรยาเอกที่ใครๆ ต่างก็อิจฉาแต่กลับต้องไปอยู่กับบุตรสาวอนุ แต่ความจริงแล้วนี่คือพระคุณของนายหญิงใหญ่ที่มีต่อเจ้า” กล่าวด้วยความรู้สึกโศกเศร้า “ไม่เหมือนพวกเรา ต่อไปก็เป็นเช่นนี้ หากไม่ให้ไปอยู่กับคุณชายใหญ่หรือคุณชายสี่ ก็จะให้แต่งกับคนรับใช้ แต่งกับคนรับใช้ยังพอได้ แต่หากยกให้คุณชายใหญ่หรือคุณชายสี่ บรรดานายหญิงต่างก็รู้ว่าพวกเราเคยรับใช้นายหญิงใหญ่มาก่อน เป็นไปไม่ได้ที่ในใจจะไม่รู้สึกอึดอัด หากรอถึงวันที่นายหญิงเหล่านั้นมีอำนาจ พวกเราก็อายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะถูกนายท่านโยนไปไว้ไหน...เป็นเช่นเจ้านี่แหละดีแล้ว! เจ้าอายุมากกว่าคุณหนูสิบเอ็ดเพียงสามปี เมื่ออยู่กับนาง ด้วยรูปลักษณ์และความสามารถของเจ้า คงมีสักวันที่เจ้าจะได้มีความรัก จากนั้นก็คลอดบุตรชายหรือบุตรสาวสักหนึ่งคน ชีวิตต่อจากนี้ก็จะมีที่พึ่ง...”
หู่พั่วไม่ได้พูดอะไร มองไปที่ต้นหวงหยางด้วยแววตาโศกเศร้าเล็กน้อย
“มีเพียงแค่ท่านพี่ที่พูดความในใจกับข้า” นางกุมมือซานหู ปลายนิ้วของนางเย็นราวกับน้ำแข็ง “อย่างที่ท่านพี่พูด เมื่อถึงเวลาเกรงว่าข้าจะต้องตามคุณหนูสิบเอ็ดไปอยู่บ้านคุณชาย แม้ว่านี่จะเป็นความหวังดีของนายหญิงใหญ่ แต่ว่าเจ้าดูคุณหนูสามที่เกิดจากอี๋เหนียงใหญ่สิ ได้ยินว่ามีสาวใช้ติดตามไปสี่คน คนหนึ่งป่วยตาย อีกคนหนึ่งให้เป็นรางวัลคนจูงม้าของคุณชาย อีกสองคนถูกคุณชายมอบให้คนอื่นตอนเมา...ถึงจะเป็นคุณหนูสิบเอ็ดข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกเอาไปไว้ที่ไหน แล้วยิ่งเป็นคนอย่างพวกเรา! ท่านพี่ ไม่ว่าจะเดินทางไหนก็ไม่ง่ายเลย!”
ซานหูอ้าปากจะพูดแต่ก็ไม่พูดอะไร
ไม่มีทางไหนที่ง่ายเลยจริงๆ! มีความสิ้นหวังปรากฏขึ้นในแววตาของนาง ยกมือขึ้นมาโอบไหล่หู่พั่วเป็นการปลอบใจนาง “น้องสาวผู้แสนดีของข้า นายหญิงใหญ่เลือกเจ้าจากในบรรดาพวกเราทั้งหลาย นี่ถือเป็นโชคดีของเจ้า!”
แต่น้ำเสียงกลับดูเศร้าหมองราวกับไร้เรี่ยวแรงจะพูด
******
เมื่อเห็นว่าหู่พั่วกับซานหูเดินออกจากหอลู่จวินไปแล้ว สืออีเหนียงก็กำชับกับคนรอบข้างว่า “ในเมื่อนายหญิงใหญ่ให้นางมาอยู่กับพวกเรา เช่นนั้นก็เป็นคนในบ้านเรา นางมาที่นี่เป็นครั้งแรกอาจจะดูแปลกหน้าไปเล็กน้อย แต่ทุกคนต้องปฏิบัติต่อกันเหมือนพี่น้อง”
ตงชิง ปินจวี๋ ชิวจวี๋ จู๋เซียง ป้าชินและป้าถังต่างคุกเข่าคำนับแล้วตอบรับว่า “เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มพลางยกถ้วยชาขึ้นมา “ตงชิงกับปินจวี๋อยู่ก่อน ข้ามีเรื่องจะถาม”
ชิวจวี๋และคนอื่นๆ คุกเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
สืออีเหนียงชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ “เรามานั่งคุยกันเถิด”
ทั้งสองรู้ว่าสืออีเหนียงไม่ใช่คนพิธีรีตองอะไร หากบอกให้นั่งก็แสดงว่าต้องการให้นั่งจากใจจริง หากไม่อยากให้นั่งก็ไม่มีทางจะพูดเช่นนี้
ตงชิงกับปินจวี๋นั่งข้างกันบนเก้าอี้
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงเบาว่า “พวกเจ้าทั้งสองคือกระดูกสันหลังของบ้าน ระหว่างที่หู่พั่วไม่อยู่ข้ามีงานที่ต้องการให้พวกเจ้าไปทำ!” แล้วพูดต่ออีกว่า “เรื่องพวกนี้ มีแค่พวกเจ้าสองคนรู้ก็พอแล้ว”
ความหมายก็คือไม่ให้พวกนางไปบอกคนอื่น!
เมื่อทั้งสองเห็นว่าสืออีเหนียงท่าทางเคร่งขรึมเล็กน้อยและดูจริงจัง จึงพูดขึ้นมาพร้อมกันว่า “คุณหนูสิบเอ็ดวางใจได้เลย พวกเราจะไม่บอกใครเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ปินจวี๋ เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับจื่อย่วนคนรับใช้ของคุณหนูห้า ช่วงสองสามวันนี้ไปหานางบ่อยๆ ดูว่าช่วงนี้คุณหนูห้ากำลังทำอะไร มีใครมาเยี่ยมนางบ้าง และนางไปเยี่ยมใครบ้าง ยิ่งละเอียดยิ่งดี!”
ปินจวี๋พยักหน้าตอบรับทันที “เจ้าค่ะ”
“เจ้าให้ชิวจวี๋ไปสืบเรื่องในตอนนั้นของอี๋เหนียงใหญ่กับอี๋เหนียงสอง...นางเป็นบุตรของคนรับใช้ที่เกิดในจวนนี้ จะต้องมีคนรอบตัวที่รู้เรื่องนี้อยู่บ้าง”
ในเมื่อให้นางเป็นคนไปกำชับ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ต้องเก็บเป็นความลับแม้แต่กับชิวจวี๋ ไม่ให้นางรู้ว่าสืออีเหนียงกำลังสืบเรื่องของอี๋เหนียงทั้งสอง
ปินจวี๋ตอบรับทันที “เจ้าค่ะ”
สายตาของสืออีเหนียงเลื่อนมาอยู่ที่ตงชิง “ข้าเตรียมจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับหู่พั่ว ให้ไปเชิญชวนป้าสวี่ อู๋เซี่ยวเฉวียน ป้าเหยา แล้วก็คนรับใช้ของนายหญิงใหญ่ คนรับใช้ในหอลู่จวิน และคนรับใช้เรือนเจียวหยวนมาร่วมงานด้วย เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเจ้า”
“เชิญท่านป้าสักสองสามคนด้วยหรือเจ้าคะ” ตงชิงตกใจเล็กน้อย “ท่านป้าเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่มีอำนาจของนายหญิงใหญ่ เกรงว่า...”
ความหมายก็คือเกรงว่าพวกนางจะไม่มีอำนาจพอที่จะไปเชื้อเชิญ!
“จะมาหรือไม่มาก็เป็นเรื่องของพวกนาง จะเชิญหรือไม่เชิญก็เป็นเรื่องของพวกเรา” คุณหนูสิบเอ็ดไม่ได้สนใจความลังเลของนาง “เจ้าเพียงแค่ฟังคำสั่งของข้าไปเชิญคนมาก็พอแล้ว”
ก็จริง หากไม่เชิญก็คงจะเสียมารยาท...แต่อย่างไรก็คงไม่มา แค่ไปเชิญพอเป็นพิธีก็พอแล้ว
ตงชิงพยักหน้า
สืออีเหนียงได้พูดขึ้นมาอีกว่า “ข้าจะไปเชิญคนของนายหญิงใหญ่เอง ส่วนเจ้าไปเชิญท่านป้าทั้งสามท่านด้วยตัวเอง สำหรับเรือนเจียวหยวนกับหอลู่จวินแค่ส่งเทียบเชิญไปก็พอแล้ว”
คุณหนูพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่งตัวเองไป ต่อให้ท่านป้าเหล่านั้นไม่มาก็ไม่ถึงขั้นเสียหน้า
ตงชิงตอบรับ “เจ้าค่ะ”
“เวลาสำหรับงานเลี้ยงถูกกำหนดไว้ที่หกโมงเย็น สถานที่จัดงานเลี้ยงคือศาลาหน่วนถิงที่ทุกคนมักใช้สำหรับจัดงาน เมื่อถึงเวลาเจ้าก็พูดคุยกับสาวใช้ของนายหญิงใหญ่เหล่านั้นให้เยอะๆ ถามว่าช่วงนี้ที่เรือนของนายหญิงใหญ่มีเรื่องอะไรบ้าง อย่างเช่นนายท่านใหญ่และคุณชายใหญ่ได้ส่งจดหมายมาให้นายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่มีท่าทางอย่างไรตอนที่ได้รับจดหมายของนายท่านใหญ่ และมีท่าทางอย่างไรตอนที่ได้รับจดหมายของคุณชายใหญ่...”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ตงชิงก็เข้าใจในทันที
ในฤดูหนาวเวลาในช่วงกลางวันมักจะสั้น เพียงแค่หกโมงเย็นท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว เจ้าของเรือนแต่ละหลังก็กินข้าวเย็นกันแล้ว สาวใช้จึงไม่ต้องคอยรับใช้ งานเลี้ยงได้กำหนดเริ่มเป็นเวลานี้ หากอยากมาก็จะมาเอง หากไม่อยากมาก็จะหาข้ออ้างไม่มา ใครอยากมา ใครไม่อยากมา แค่ดูก็รู้แล้ว
จะว่าไปเรื่องคนไปเชิญแขก ตัวเองเป็นคนรับใช้ แต่กลับถูกให้ไปเชิญท่านป้าที่มีอำนาจทั้งสามคน เรือนเจียวหยวนของคุณหนูห้า หอลู่จวินของคุณหนูสิบและคุณหนูสิบสอง ทั้งหมดล้วนเป็นเจ้านายที่แท้จริงของจวนสกุลหลัว แต่กลับส่งไปเพียงแค่เทียบเชิญ คุณหนูไม่ได้คิดจะเชิญท่านป้าทั้งสามคนและคุณหนูทั้งสามท่านอยู่แล้ว
เมื่อถึงเวลา อากาศเริ่มเย็น ในงานเลี้ยงมีเพียงสาวใช้น้อยใหญ่อย่างพวกนาง เมื่อดื่มเหล้าไปสองสามแก้วทุกคนก็ได้ผ่อนคลาย สิ่งที่ควรพูด สิ่งที่ไม่ควรพูด เกรงว่าจะพูดออกมาจนหมด ยิ่งไปกว่านั้นนางยังได้พูดคุยกับสาวใช้ในจวนนายหญิงใหญ่อีกด้วย...
การจัดงานเช่นนี้ก็เพื่อที่จะได้รู้ว่าทางฝั่งนายหญิงใหญ่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ก็เท่านั้น
เมื่อนางคิดถึงการมาอย่างกะทันหันของหู่พั่ว ดูแล้วเรื่องราวคงไม่ได้ง่ายเพียงแค่ว่าส่งคนคนหนึ่งมาให้ และเมื่อคิดถึงรูปร่างหน้าตาและอายุของหู่พั่ว...
ในใจของตงชิงเริ่มกังวลขึ้นเล็กน้อย
นางรับรองกับสืออีเหนียงว่า “บ่าวจะสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ฟังน้ำเสียงเด็ดขาดของตงชิง สืออีเหนียงก็รู้แล้วว่าตงชิงเข้าใจผิดแล้ว
แม้ว่านางจะต้องการสืบข่าวคราว แต่ก็กลัวว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น
“เรื่องนี้หากทำได้ก็ทำ หากทำไม่ได้ก็อย่าฝืน” สืออีเหนียงพยายามแสดงท่าทางผ่อนคลาย “อย่าให้คนอื่นรู้ หากเป็นเช่นนั้นจะแย่เอาได้”
ตงชิงอยู่กับสืออีเหนียงมาสามปี จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก
“คุณหนูได้โปรดวางใจ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้แน่นอนเจ้าค่ะ”
คุณหนูสิบเอ็ดรู้ว่าตงชิงระมัดระวังตัวอยู่เสมอ และเห็นว่าสิ่งที่ควรทำก็ได้ออกคำสั่งไปแล้ว จะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับลิขิตสวรรค์ ความอัดอั้นในใจก็ได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “เนื่องจากวันพรุ่งนี้จะทำการต้อนรับหู่พั่ว เจ้าเอาสิบสองตำลึงไปให้คนครัว ให้พวกนางช่วยจัดเตรียมอาหาร”
ตงชิงตอบรับ “เจ้าค่ะ”
ปินจวี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ พี่ตงชิงได้คืนกุญแจไปแล้ว หรือว่าจะให้นางออกเงินเอง ต่อให้พี่ตงชิงยอม แต่ฐานะนางไม่ค่อยดี อย่างไรก็ไม่มีเงินเอาไปให้!”
สืออีเหนียงลืมเรื่องนี้ไปเลยจึงอดที่จะหัวเราะไม่ได้
******
ตอนกลางคืนรอให้หู่พั่วกลับมา สืออีเหนียงก็ได้นำเรื่องงานเลี้ยงบอกกับนาง “ข้าอยากจะถือโอกาสนี้ให้เจ้าและพี่น้องสาวใช้คนอื่นๆ ได้พบกันอย่างเป็นทางการ”
หลังจากตกใจไปครู่หนึ่ง นางก็ยิ้มและกล่าวขอบคุณสืออีเหนียงในทันที แต่ในดวงตาของนางกลับมีความกังวลที่ไม่อาจปกปิดได้
คุณหนูสิบเอ็ดมองออกได้อย่างชัดเจน
คิ้วที่ขมวดจนแทบจะมองไม่เห็นคิ้ว