บทที่ 29 พี่หญิง (กลาง)

ตอนที่ 29 พี่หญิง(กลาง)

จู่ๆ ก็มีเสียงสะอื้นเบาๆ ดังขึ้นมา

ป้าเถาที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าหยุดเดินทันที

อู่เหนียงได้สติกลับมา นางยิ้มยืนอยู่หน้าม่าน “ท่านป้า หยกนิ้วพระหัตถ์ช่างสวยงามจริงๆ สิ่งนี้ทำมาจากหยกทั้งก้อนเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ป้าเถาหันกลับมา มองอู่เหนียงด้วยสายตาที่ตกใจและชมเชยที่ปิดไม่อยู่“หยกนิ้วพระหัตถ์นี้ทำมาจากหยกทั้งก้อนจริงๆ เจ้าค่ะ ที่แท้คุณหนูห้าสนใจเรื่องพวกนี้” นางพูดแล้วก็พาทั้งสองคนเดินไปยังตัวเป่าเก๋อที่อยู่ทางทิศตะวันตก “ที่นี่ยังมีเครื่องหยกอีก คุณหนูห้าลองชมดูเจ้าค่ะ”

นางจงใจให้พวกนางเลี่ยงออกมา

อู่เหนียงยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณท่านป้า ข้าจะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง”

สืออีเหนียงยิ้มอ่อน

อู่เหนียงยิ่งกระฉับกระเฉงมากเท่าไร นางก็จะยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น!

นางยืนดูเครื่องหยกและเครื่องสังคโลกต่างๆ นาๆ ที่อยู่ด้านหน้าของตัวเป่าเก๋อกับอู่เหนียง แต่ป้าเถากลับเอียงหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวในห้อง

ทั้งสามคนล้วนแต่ใจลอย

โชคดีที่บรรยากาศนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีแม่นางที่สวมเสื้อข้างในสีแดง สวมเสื้อกั๊กสีฟ้าเขียวที่เหมือนกับสาวใช้ออกมาจากห้องทางทิศตะวันตก “ป้าเถา ฮูหยินบอกว่าเชิญคุณหนูทั้งสองไปนั่งข้างในเจ้าค่ะ”

กำลังจะได้เจอกับหลัวหยวนเหนียง คนที่สามารถควบคุมอนาคตของพวกนางได้แล้ว... ถึงแม้ว่าอู่เหนียงและสืออีเหนียงจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาบนใบหน้า แต่ในใจของพวกนางกลับเต้นแรงพร้อมๆ กัน

ป้าเถาตอบกลับทันที “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ยิ้มและเชิญพวกนางเข้าไปในห้องทางทิศตะวันตก

สืออีเหนียงก้มหน้าก้มตาเดินตามป้าเถาอ้อมม่านกันลมเข้าไปในห้องนอนของหยวนเหนียงอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็แอบมองสำรวจทางด้านขวาอย่างรวดเร็ว เหมือนห้องนอนทั่วไป

เตียงขนาดใหญ่ที่มีผ้าคลุมสีแดงคลุมอยู่ ผู้หญิงอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกนอนเอนกายพิงอยู่บนหมอนปักลายดอกสีเหลืองขนาดใหญ่บนหัวเตียง นางสวมเสื้อกั๊กผ้าปักลายดอกไป๋อวี้สีฟ้า ม้วนผมสีดำเป็นมวยอย่างเรียบร้อย ปักปิ่นปักผมสีทองประดับด้วยเครื่องประดับขี้ผึ้ง สีหน้าซีดเซียวและผอมแห้งดูน่ากลัว ดวงตาสีดำที่แวววาว มองไปยังนายหญิงใหญ่ที่นั่งน้ำตาคลออยู่ข้างเตียง ใบหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยความสุขของการกลับมาเจอกันอีกครั้งของมารดาบุตรสาว

หลัวหยวนเหนียงที่เป็นเช่นนี้...

สืออีเหนียงรู้สึกตกใจ

นางเคยคาดเดามานับครั้งไม่ถ้วน...คิดว่านางจะได้เจอกับผู้หญิงที่เยือกเย็นและหยิ่งผยอง หรือผู้หญิงที่เข้มงวดและเคร่งขรึม หรือผู้หญิงที่มีหน้าตาอ่อนโยนแต่สายตาเฉียบแหลม...คิดไม่ถึงว่า นางจะได้เจอกับหลัวหยวนเหนียงที่อ่อนโยนและยังมีความเป็นเด็กเช่นนี้!

“พริบตาเดียวก็ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว” เสียงที่ไม่คุ้นเคยแฝงด้วยเสียงหัวเราะดังขึ้นมาข้างหูของนาง “ที่แท้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มักจะเดินตามหลังข้ามาตลอดล้วนเติบโตเป็นหญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวกันหมดแล้ว!”

“พี่หญิงใหญ่!” อู่เหนียงที่เดินอยู่ข้างหน้าสืออีเหนียง จู่ๆ ก็สะอื้นและคุกเข่าลง “ข้า ข้าคิดถึงท่านมาก...ข้ายังจำตอนที่ท่านนำขนมวัวซือถังจากจวนที่หังโจวมาฝากข้าได้อยู่เลยเจ้าค่ะ!” พูดจบนางก็ร้องไห้ออกมา

สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้นางจึงคุกเข่าตามทันที ก้มหน้าลงด้วยท่าทีที่นอบน้อม

“รีบลุกขึ้นมา พื้นมันเย็น!” ในน้ำเสียงที่อ่อนโยนเจือความโมโห “โตขนาดนี้แล้ว ทำไมยังเหมือนเมื่อก่อน เอะอะก็ร้องไห้ เอะอะก็คุกเข่า...”

ทันใดนั้นก็มีสาวใช้มาพยุงพวกนางลุกขึ้น

สืออีเหนียงไม่ขยับ ใช้หางตาเหลือบมองอู่เหนียง พอเห็นนางลุกขึ้นยืน นางจึงลุกขึ้นยืนตาม

“มา มานั่งข้างข้าสักประเดี๋ยว เราพี่น้องจะได้พูดคุยกัน”

พูดจบก็มีสาวใช้ไปยกเก้าอี้มาวางไว้ข้างเตียง

อู่เหนียงและสืออีเหนียงคำนับขอบคุณพร้อมกัน จากนั้นก็เดินไปก้มหัวคำนับหยวนเหนียงอย่างเป็นทางการตามมารยาทพี่น้อง สาวใช้ฉลาดหลักแหลมที่อยู่ข้างๆ ก็ไปหยิบเบาะรองมาวางที่เข่าก่อนที่พวกนางจะคุกเข่าลง หลังจากที่พวกนางก้มหัวคำนับเสร็จแล้ว ก็มีสาวใช้เดินเข้ามาพยุงพวกนางลุกขึ้น

การกระทำของบรรดาสาวใช้เงียบสงัดและรวดเร็ว

สืออีเหนียงแอบตกใจกับสาวใช้ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีในเรือนของหยวนเหนียง นางและอู่เหนียงเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่วางอยู่หน้าเตียง

มีสาวใช้ยกชาและผลไม้เข้ามา

หยวนเหนียงยิ้มและมองดูน้องสาวทั้งสองคน “น้องหญิงห้าหน้าตาสะสวยมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้แตกต่างไปจากที่ข้าคิดไว้ น้องหญิงสิบเอ็ดนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอกับเจ้า ดูคางที่เรียวยาวนั่นสิ ช่างเหมือนอี๋เหนียงห้าเสียจริง แต่ว่าผมเหมือนกับข้า ผมดำผมดก”

สืออีเหนียงได้ยินว่ามีคนพูดถึงนาง นางก็หน้าแดงขึ้นมา ก้มหน้าพึมพำอยู่ตั้งนาน ไม่รู้เหมือนกันว่าพึมพำอะไร ท่าทางดูเขินอายและขี้ขลาด

“อะไรเหมือนเจ้านะ” นายหญิงใหญ่ยิ้ม “เหมือนท่านย่าของเจ้าต่างหาก”

หยวนเหนียงยิ้มมุมปาก ทุกคนก็พากันหัวเราะขึ้นมา บรรยากาศในห้องคึกคักขึ้นมาไม่น้อย

หยวนเหนียงบอกสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ “นำกล่องสีแดงแกะสลักสองกล่องใต้หมอนของข้าออกมา”

สาวใช้ตอบรับและคุกเข่าปีนเข้าไปล้วงใต้หมอนของหยวนเหนียงและนำกล่องกลมๆ ขนาดเท่าฝ่ามือสองกล่องออกมา

“พี่ก็ไม่รู้ว่าพวกเจ้าชอบอะไร นึกขึ้นได้ว่ามีป้ายหยกสองอันในมือที่พอจะนำออกมาได้ จึงบอกให้คนไปหามา” นางพูดพร้อมกับบอกให้สาวใช้นำกล่องสีแดงแกะสลักในมือให้กับอู่เหนียงและสืออีเหนียง “พวกเจ้ารับไปคนละชิ้น รับไปเถิด!”

หยวนเหนียงพูดอย่างสุภาพ แต่พวกนางทั้งสองคนกลับไม่คิดว่าป้ายหยกสองชิ้นนั้นแค่ ‘พอจะนำออกมาได้’ เท่านั้น พวกนางก็ลุกขึ้นขอบคุณและรับกล่องมาอย่างน้อบน้อม

“เปิดดูสิ” หยวนเหนียงยิ้ม “ดูสิว่าชอบกันหรือไม่”

อู่เหนียงและสืออีเหนียงตกใจ

มีใครที่ไหนเปิดของขวัญต่อหน้าคนให้ของขวัญ...

นายหญิงใหญ่ก็พูดอยู่ข้างๆ “เปิดดูสิ มันเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากพี่หญิงของพวกเจ้า” พวกนางไม่กล้าลังเลอีกต่อไป ทั้งสองคนเปิดกล่องในมือ

ช่างชุ่มชื้นและโปร่งแสง ขาวสะอาดไร้ที่ติ ราวกับไขมันที่แข็งตัว แค่ดูก็รู้ว่ามันคือหยกหยางจืออวี้ชั้นดี

หยกทั้งสองชิ้นเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดหนึ่งนิ้ว แต่ชิ้นหนึ่งแกะสลักดอกเหมยสองสามดอกและคำว่า ‘ความปิติที่เก็บซ่อนไว้ไม่อยู่’ อีกชิ้นหนึ่งแกะสลักทับทิมในปากค้างคาวและคำว่า ‘มากลูกหลานหลากเปรมปรีดิ์’

มันหมายความว่าอะไร

หรือว่าจะจับฉลากเช่นนั้นหรือ

เช่นนั้น ‘ความปิติที่เก็บซ่อนไว้ไม่อยู่’ ถูกรางวัล หรือ ‘มากลูกหลานหลากเปรมปรีดิ์’ ถูกรางวัล?

สืออีเหนียงมองไปที่ป้ายหยกที่แกะสลักคำว่า ‘มากลูกหลานหลากเปรมปรีดิ์’ ในมือ นางรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่อู่เหนียงกลับมีความสุขดั่งคำบนป้ายหยกที่สลักไว้ว่า ‘ความปิติที่เก็บซ่อนไว้ไม่อยู่’

“ขอบพระคุณพี่หญิงเจ้าค่ะ!” สายตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ข้าชอบมันมากเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงพยักหน้า บอกว่าเห็นด้วยกับคำพูดของอู่เหนียง“สวยจริงๆ ”

หยวนเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มและพูดว่า “พวกเจ้าชอบมันก็ดี!”

ทันทีที่นางพูดจบ ก็มีสาวใช้พูดด้วยความเคารพผ่านม่านกันลม “ฮูหยิน คุณชายจุนมาแล้วเจ้าค่ะ!”

สีหน้าชองหยวนเหนียงก็สดใสขึ้นมาทันทีรีบพาเขาเข้ามา!”

ทันใดนั้นก็มีหญิงรูปร่างสูงอวบอุ้มเด็กผู้ชายตัวเล็กที่สวมเสื้อผ้าไหมสีแดงเดินเข้ามา ข้างหลังยังมีสาวใช้ที่หน้าตาสวยงามตามมาอีกสองคน แต่สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปยังเด็กผู้ชายคนนั้น

ผิวของเขาขาวสะอาด คิ้วที่ได้รูป งดงามราวกับตุ๊กตา อายุแค่สองสามขวบ ในดวงตามีความอ่อนแอและขี้อายปรากฎอยู่ ดูก็รู้ว่าเขาร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง

“จุนเกอ!” นายหญิงใหญ่น้ำตาคลอเดินเข้าไป เอื้อมมือออกไปอุ้มเขา

แต่เขากลับหันหน้าหนี ซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของหญิงที่อุ้มเขาอยู่ สร้อยข้อมือทองคำที่ใส่อยู่ก็มีเสียงกระดิ่งดังขึ้นมา

สีหน้าของนายหญิงใหญ่แข็งทื่อ

หยวนเหนียงอธิบายด้วยความรู้สึกผิด “เขาค่อนข้างกลัวคนแปลกหน้าเจ้าค่ะ!”

นายหญิงใหญ่ดึงเสื้อผ้าของจุนเกอด้วยความลำบากใจ “โทษข้าที่มาหาเขาไม่บ่อย”

หญิงที่อุ้มจุนเกออยู่ ยกยิ้มและพูดว่า “หากจะโทษก็ต้องโทษที่จุนเกอของเรายังเด็ก” นางพูดพร้อมกับอุ้มจุนเกอย่อคำนับ “จุนเกอคารวะท่านยายขอรับ!”

บรรดาสาวใช้ต่างก็เรียกจุนเกอว่า ‘คุณชายจุน’ แต่หญิงผู้นี้กลับเรียก ‘จุนเกอ’ ดูแล้วน่าจะเป็นแม่นมของจุนเกอ

สืออีเหนียงครุ่นคิด เห็นนายหญิงใหญ่หัวเราะออกมาอย่างพอใจ จากนั้นก็นำกล่องสีแดงจากมือของทานป้าสวี่ยื่นให้จุนเกอ “นี่คือของขวัญที่ท่านยายเอาให้เจ้า จานฝนหมึก เจ้าโตแล้วค่อยใช้มัน”

สาวใช้ที่มากับจุนเกอก็เดินเข้ามาย่อคำนับนายหญิงใหญ่และรับแทนจุนเกอ

หยวนเหนียงชี้ไปที่อู่เหนียงกับสืออีเหนียง “จุนเกิด นี่คือท่านป้าห้าของเจ้า ส่วนนี่คือท่านป้าสิบเอ็ดของเจ้า!”

จุนเกอได้ยินเสียงของท่านแม่ เขาก็เงยหน้าขึ้นทันที หลังจากมองไปที่อู่เหนียงและสืออีเหนียง เขาก็ก้มมุดหน้าลงในอ้อมแขนของหญิงผู้นั้นอีกครั้ง อู่เหนียงกับสืออีเหนียงก็ไม่กล้าที่จะรอช้า พวกนางรีบลุกขึ้นยืน

หญิงผู้นั้นที่อุ้มจุนเกอก็พูดว่า “จุนเกอคารวะท่านป้าห้า” “จุนเกอคารวะท่านป้าสิบเอ็ด” ย่อคำนับให้กับอู่เหนียงและสืออีเหนียง

พวกนางทั้งสองคนล้วนแต่พูดว่า “ไม่กล้ารับ” แต่ก็ย่อรับ

อู่เหนียงนำป้ายมงคลไม้มู่เถาออกมาจากแขนเสื้อ “นี่คือตอนที่ข้าเขียนคัมภีร์ที่วัดฉืออาน แม่ชีฮุ่ยเจินของวัดฉืออานเป็นคนบูชาเอง มอบเป็นของขวัญให้จุนเกอ!”

ส่วนของขวัญที่สืออีเหนียงมอบให้คือเสื้อผ้าและรองเท้าสีเขียวปักฐานสีแดง “ข้าปักเอง น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ”

สาวใช้ที่มากับจุนเกอก็ยิ้มเดินเข้ามาขอบคุณแทนจุนเกอและรับไป

ทุกคนนั่งลงอีกครั้ง บรรดาสาวใช้ก็เปลี่ยนน้ำชาใหม่

หญิงผู้นั้นอุ้มจุนเกอไปที่เตียงของหยวนเหนียง ย่อเข่าลงกำลังจะคำนับ จุนเกอก็เงยหน้าขึ้นมามองไปที่หยวนเหนียงและตะโกนว่า “ท่านแม่”

สีหน้าของหยวนเหนียงอ่อนโยนลงทันที “ให้เขาอยู่ข้างๆ ข้า!”

หญิงผู้นั้นลังเลไปพักหนึ่ง จากนั้นก็วางจุนเกอไว้ข้างๆ หยวนเหนียง

จุนเกอกลิ้งสองสามทีแล้วกลิ้งเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของมารดา

“จุนเกอ เบาๆ หน่อยเจ้าค่ะ!” หญิงที่อุ้มจุนเกอคนนั้นมองดูอย่างเป็นกังวล แต่หยวนเหนียงกลับยิ้มและลูบผมที่อ่อนนุ่มของลูกชายตัวเอง “ไม่เป็นไร”

หญิงผู้นั้นเหมือนกำลังจะพูดอะไร หยวนเหนียงก็หันหน้าไปพูดกับนายหญิงใหญ่ “ทำไมไม่พาน้องสะใภ้กับซิวเกอมาด้วยล่ะเจ้าคะ จุนเกอชอบเล่นกับซิวเกอมากเลย!”

นายหญิงใหญ่ยิ้มและพูดว่า “ข้าส่งคนนำของฝากออกไปให้ท่านอาสองและท่านอาสามของเจ้าตั้งแต่เช้า กลัวว่าพวกเขาจะส่งคนนำของมาให้ จึงให้นางช่วยดูแลที่เรือน”

หยวนเหนียงราวกับโมโห “ท่านแม่ก็จริงๆ เลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่มาวันอื่นกันเล่า ท่านพ่อต้องออกไปเยี่ยมเพื่อน น้องชายก็ต้องออกไปเรียนที่สำนักศึกษา ท่านพาน้องหญิงมากันหมด ปล่อยให้น้องสะใภ้เลี้ยงหลานชายอยู่ที่เรือนคนเดียว มันไม่ค่อยดีสักเท่าไร”

“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะเป็นคุณหนูใหญ่ที่เป็นที่รักของทุกคน แต่เจ้าก็ไม่ควรตำหนิข้า” นายหญิงใหญ่หัวเราะ “ข้าถามนางแล้ว นางบอกว่าเจ้าไม่แข็งแรง ส่วนจุนเกอก็เป็นหวัดสองวันก่อนถึงพึ่งจะดีขึ้นมา กลัวว่าหากมากันหมด จะรบกวนพวกเจ้าสองแม่ลูกเกินไป บอกว่ารอให้จุนเกอดีขึ้นอีกสักหน่อยค่อยพาซิวเกอมาหาพวกเจ้า”

หยวนเหนียงยิ้มและพูดว่า “ท่านแม่อย่าโทษข้าเลย นอกจากบุตรสาวอย่างข้าที่กล้าพูดจาโผงผางกับท่าน ยังจะมีใครกล้าพูดกับท่านแบบนี้อีกกันเล่า”

นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้ นางก็น้ำตาคลอ

หยวนเหนียงเห็นเช่นนั้นจึงรีบพูดออกมาว่า “ท่านไม่ค่อยได้มาเยี่ยนจิง พรุ่งนี้ข้าจะให้ท่านพ่อพาท่านไปดูทิวทัศน์ของเยี่ยนจิง ท่านซื้อถังหูลู่[footnoteRef:1]กลับมาให้ข้าสักสองสามไม้ด้วยนะเจ้าคะ” [1: ถังหูลู่ ของว่างโบราณที่ทำจากผลซานจาเคลือบน้ำตาล รสชาติเปรี้ยวอมหวาน]

นายหญิงใหญ่หน้าแดง จากนั้นก็ทำท่าทางราวกับว่ากำลังพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง นางยิ้มและพูดว่า “ดูเจ้าสิ เหมือนคนเป็นแม่คนแล้วที่ไหนกัน ยังคิดถึงถังหูลู่บนถนน ประเดี๋ยวข้าไปบอกแม่สามีของเจ้า ให้นางทำให้เจ้าสักสิบไม้ ให้เจ้ากินจนเบื่อ”

หยวนเหนียงปิดปากยิ้ม “ถังหู่ลู่ที่ท่านแม่ทำอร่อย แต่ที่ท่านซื้อกลับมาให้ข้าก็อร่อยเช่นกันเจ้าค่ะ”

หลังมือที่ยกขึ้นมาปิดปากของนางซีดเขียวราวกับหญิงชราอายุแปดสิบ

นายหญิงใหญ่มองดูด้วยความโศกเศร้า

ความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์ที่ตั้งหน้าตั้งตารอนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวของนางจะ...ยิ่งนึกถึงเสื้อผ้าและอาหารดีๆ ของจวนสกุลสวี เรือนที่บุตรสาวเป็นคนดูแลขาดแคลนอาหารเหล่านั้น ที่นางพูดเช่นนี้ก็แค่อยากจะอ้อนตัวเองก็เท่านั้น บุตรสาวที่ล้ำค่ากว่าไข่มุกในกำมือ เมื่อกลายเป็นลูกสะใภ้ของคนอื่น แค่อยากจะบอกว่าท่านแม่ของตัวเองดีแค่ไหน ยังต้องอ้างแม่สามี...นางรู้สึกเสียใจ และกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป!

หยวนเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ตาแดงก่ำขึ้นมา

ไม่ว่าจะหยอกล้อท่านแม่เช่นไร โรคของตัวเองก็ราวกับหนามที่อยู่ในลำคอของท่านแม่ ไม่ขยับก็ยังเจ็บ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถ้าดึงหนามนั้นออกมา...